วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เห็นผิด ต่อ ธรรมดา

คำว่า "สัมมาทิฏฐิ" คือความเห็นชอบ เห็นถูกต้อง ถ้าไม่เห็นชอบเห็นถูกต้องเรียกว่า "มิจฉาทิฏฐิ"
พระพุทธเจ้าแสดงสัมมาทิฏฐิครั้งแรกในปฐมเทศนา เพื่อแสดงให้เห้นว่าความเห้นที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นปัญหาว่ามนุษย์ส่วนมากยังเห้นกันไม่ถูกต้อง เวลาเราไปศึกษาพุทธประวัติ เวลาที่ผู้คนเดินทางไปกราบหว้พระพุทธเจ้า ผู้คนทั้งหลายต่างเอาความทุกข์ของตนบ้างของผู้อื่นบ้างไปให้พระพุทธเจ้าแก้ให้และพระพุทธเจ้าก็มีพระเมตตาแก้ข้อปัญหานั้นๆให้
ไม่ใช่ว่าเราเป็นทุกข์คนเดียวในโลกนี้ ผู้คนในโลกนี้ต่างก็มีความทุกข์เช่นเดียวกัน ทุกข์มากทุกข์น้อยมันก็เป็นทุกข์ไม่สบายใจ คนเราแก้ทุกข์เองไม่เป็นแต่การหาเรื่องหาทุกขืมาใส่ตัวเก่งนัก
เรานั้นเห้นว่าอะไรเป้นความสุขความพอใจของเรา เราก้ต้องการ ส่วนอะไรไม่เป็นความสุขความพอใจของเรา ตัวนั้้นเราก็ไม่ต้องการ ความเห้นของเราอย่างนี้ยังไม่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ บางทีความอยากความพอใจของเราเป็นความอยากที่ขัดธรรม บางทีสิ่งที่เราไม่ต้องการไม่พอใจเป็นสิ่งดีเป็นธรรมเสียอย่างนี้ ทำให้เรารู้สึกฝืนใจตัวเองอยู่เสมอ
การปฏิบัติคือการข่มใจทรมานใจซึ่งครูบาอาจารย์ก็สอนอย่างนี้ไม่ให้ตามใจไปเสียหมด มันเลยทำให้เรารู้สึกฝืนใจเราเกิดความไม่พอใจในการประพฤติปฏิบัติ พอพูดถึงเข้าวัดปฏิบัติธรรมก็เลยพากันเอียนส่ายหัวเบื่อวัดกัน ถ้าเราเข้าใจการปฏิบัติอย่างนี้มันก็น่าสงสารอย่างที่ความทุกข์ก็ไม่หมดการอบรมใจตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องฝึกปฏิบัติให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องเพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติได้ถูกต้อง
เรื่องของความจริงมันก็คือความจริง สิ่งที่เป็นธรรมชาติคือธรรมชาติมีอต่ความเห็นความคิดของเราที่ขัดต่อธรรมชาติ ความทุกข์ของเราอย่าไปแก้ที่ไหนไกลให้แก้ใจของเราก่อน สร้างความเห้นที่ถูกต้องขึ้นมาก่อน มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง
เหตุผลของคนเราอาจมีมากมายมีมากมีน้อยแตกต่างกันไป แต่เหตุผลของเราอาจไม่ใช่แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องก็เลยแก้ทุกข์ให้ตัวเองไม่ได้
ธรรมดาของโลกคือความสุขความทุกข์ไม่มีค่า ท่านไม่ใส่ความสำคัญหรือราคามาตรวัดต่อความยินดีพอแต่อย่างใด ความพอใจไม่พอใจเกิดจากการที่เราเอาความคิดไปปรุงแต่งให้ราคาความสำคัญต่อสิ่งนั้น โลกนี้ถ่าเราปรุงแต่งทุกข์ก็จบไม่ได้
ก้อนหินถ้ามันจะหนักก้ต่อเมื่อเราไปหยิบมันขึ้นมา ถ้าเรารู้เราเห็นแล้วไม่ไปหยิบมันขึ้นมาใส่บ่ามันก็ไม่ลำบาก เราก็แค่มีหน้าที่รู้มันว่าเป้นก้อนหินแค่นั้น
แต่ด้วยความที่คนมันโง่ก้มักจะเห็นความพอใจยินดีของตนว่าน่ารักใคร่น่าปราถนา พอได้มาเเล้วเป็นอย่างไรเล่า หายทุกข์ไหมพอสิ่งนั้นมันกลายเป้นของร้อนขึ้นมา ดับไฟไม่เป็น วิ่งหาคนช่วยดับบ้งก้เอาน้ำมันมาเติมบ้างก็พลอยลุกไหม้ตามกันไปด้วย
สุขทุกข์เกิดขึ้นใจเราเป็นผู้รู้ ให้เรารู้ดูเฉยๆไม่ใช่ให้ไปวิ่งตาม การที่เราไปปรุงแต่งใส่ความยินดีพอใจไม่พอใจเป็นการต่ออายุความทุกขืในใจเรา
กิลสทั้งหลายทำให้ความสุขในชีวิตของคนเราลดลงการปล่อยวางทำให้ใจเราสะอาดเป็นการปัดกวาดชำระใจคือความก้าวหน้าในธรรมที่เจริญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น