วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ชีวิตพระถัมซัมจั๋ง ตอน ๑

พระถัมซัมจั๋ง
ชีวิตจริงไม่อิงนิยาย
เกริ่นนำ
สมณะเสวียนจั้งเป็นบุคคลในประวัตศาสตร์จีนที่มีชีวิตอยู่ใขช่วง พ.ศ. ๑๑๔๓ – ๑๒๐๗ ปลายราชวงศ์สุยต้นราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นยุคทองของประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในจีน
ในวัยเด็กท่าน ท่าศึกษาคัมภีร์ลัทธิเต่าและขงจื้อจากบิดา และออกบวชเมื่ออายุ ๑๓ ปี ซึ่งเป็นช่วงที่พระพุทธศาสนานกายโยคาจารกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เมื่อท่านเข้าอุปสมบทในพระพุทธศานาได้จาริกไปศึกษากับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงตามเมืองใหญ่ๆทั่วประเทศจีน ท่านพบว่าอาจารย์แต่ละท่านตีความพระคัมภีร์แตกต่างกันออกไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากคัมภีรืมีการแปลกัหลายฝ่ายและแปลไม่ครบทั้งฉบับ ท่านจึงมีแนวคิดที่จะเดินทางไปชมพูทวีปพื่อศึกษาพระคัมภีร์อัญเชิญพระคัมภีร์กลับประเทศ
สมณะเสวียนจั้งท่านเป้นพระภิกษุที่มีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ในการเดินทางไปยังชมพูทวีปนั้นต้องใช้ความอดทนและมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ถึงแม้เพื่อนสหธรรมมิกของท่านได้ขอถอนตัวเนื่องจากเดินทางออกพระราชอาณาจักรไม่ได้ ท่านต้องใช้วิธีการลักลอบเดินทางในเวลากลางคืน ข้ามทะเลทรายโกบี ข้ามเทืออกเขาฮินดูกูฏที่ชูงชันเพียงลำพัง
ตลอดการเดินทาง ท่านได้จาริกผ่านแคว้นเล็กกแคว้นน้อย นับร้อยๆแคว้น เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ฝากตัวเป็นศิษย์ของพระศีลภัทรศึกษาวิชาโยคาจาร เหตุวิทยา เป็นต้น ศึกษษภาษาสันสกฟตจนแตกฉาน ผลงานของท่านไม่ว่าจะเป้น ชุมนุมวิถีธรรม กำจัดมิจทิฏฐิ ตรีกายศาสตร์ ล้วนแต่งด้วย สำนวนสันสกฤตที่ไพเราะ
การศึกกษาของท่านนั้นไม่ได้อยู่จำกัดเพียงแค่มหาวิทยาลัยนาลันทา ท่านยังจาริกไปยังแคว้นต่างๆทั่งอินเดียทั้ง๕ แคว้นเพื่อศึกษาวิชาที่ตนร่ำเรียนมาและศึกษาประวัติพุทธสถานต่างๆ
ท่านจึงเป็นพระภิกษุชาวจีนที่มีช่อเสียงในอินเดียโบราณเป็นตรีปิฏกกาจารย์ที่แตกฉานทั้งวิชาของมหายานและสาวกยาน ครั้งหนึ่งท่านได้รับเลือกให้ขึ้นดต้วาทีธรรมซึ่งก็ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ท่านเป็นอย่างมากได้รับฉายาจากฝ่ายมหายานว่า “มหายานเทวะ”จากฝ่ายสาวกยานว่า “โมกฺษเทวะ”
ภายหลังการเดินทางกลับสู่มาตุภูมิท่านได้อัญเชิญพระไตรปิฎกฉบับภาษาสันกฤตเป็นจำนวนมากถึง ๖๕๗ ปกรณ์กลับสู่ประเทศจีน ท่านได้จัดตั้งสนามการแปลภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าถังไท่จง ด้วยปฏิปทาและความฉลาดรอบรู้อันน่าเลื่อมใส ทำให้พระมหากษัตริย์หันมาให้ความสนใจพระพุทธศานายกขึ้นให้มีสิทธิเทียบเต๋ากับขงจื้อ
ตลอดระยะเวลานานถึง ๑๙ พรรษานับตั้งแต่เดินทางกลับสู่มาตุภูมิ ท่านได้อุทิศเวลาทั้งหมดในการแปลคัมภีร์ จำนวนคัมภีร์ทั้งหมดที่ท่านแปลออกมามีมากถึง ๗๕ ปกรณ์ ๑๓๓๕ ผูก
ผลงานอันโดดเด่นของท่านคือการแปลพระคัมภีร์เพราะท่านมีความพร้อมทั้งในด้านภาษาและหลักธรรม ท่านศึกษาปรับปรุงและพัฒนาการแปลของคนรุ่นก่อนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผสมผสานการแปลที่มีทั้งพยัญชนะและแปลโดยอรรถ
งานแปลของท่านั้นเป็นที่นิยมของผู้สนใจการศึกษาธรรมในปัจจุบันอย่างมากไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ มหาปารมิตตาสูตร ปรัชญาปารมิตหฤทัยสุตร อภิธรรมหายาน เป็นต้น สมณะเสีวยนจั้งนั้นยังมีผลงานอีกฉบับที่ท่านได้เขียนขึ้นและสร้างชื่อเสียงให้กับท่านจนทุกวันนี้คือ “บันทึกการเดินทางสู่แคว้นตะวันตก” บันทึกฉบับนี้ทำใหชาวโลกได้รับรู้ความเป็นสังคมอินเดียโบราณ ทั้งดินแดนแถบเอเชียกลาง บันทึกเล่มนี้ยังทำให้เราเห้นภาพความยิ่งใหญ่ของมหาวิทยาลัยนาลันทา และนับว่าเป็นหลักฐานสำคัญนการยืนยันถึงความเจริญร่งเรืองของพระพุทธศาสนาในช่วงพระพุทธศาสนาในยุคสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๒
สมณะเสวียนจั้ง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งประวัติพระพุทธศาสนาจีนนอกจากการเป็นนักแปล นักปฏิบัติ ผู้รอบรู้พระพุทธศาสนา อุทิศชีวิตให้กับงานสมควรให้ชนรุ่นหลังยึดถือและปฏิบัติตามนำคุณค่าสู่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง

ต้นกำเนิด
ธรรทายาทแห่งพระพุทธศาสนา
ชาติภูมิ
สมณะเสวียนจั้งเกิดในตระกูลเฉิน มีนามเดิมว่าฮุย ในรัชสมัยของพระเจ้าสุยเหวินตี้ ณ นครลั่วหยาง อำเภอโกวสื่อ บิดาชื่อ เฉินหุ้ย เคยรับราชการเป็นนายอำเภอ ช่วงปลายอายุลาออกมาอยู่ที่บ้านเกิด นายเฉินหุ้ยมีบุตร ๓ คน คือ ธิดา ๑ คน ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพี่ชายคนโต ส่วนบุตรชายคนรองชื่อ ซู่ ออกบวชถือพศบรรพชิตที่วัดจิ้งถู่ นครลั่วหยาง มีสมณนามว่า เจี่ยเจี่ย ธิดาสมรสกับสกุลจาง ที่เมืองอิ๋งโจว คนสุดท้องคือ สมณเสวียนจั้ง
มารดานั้นเสียชีวิตลงเมื่อท่านอายุได้ ๕ -๖ ขวบ วัยเด็กท่านได้รับการอบรมจากบิดา เป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบและปฏิภาณดีเยี่ยม ไม่ชอบการละเล่นเหมือนเด็กๆในวัยเดียวกัน ท่านเป็นผู้มีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อ่นหนังสือที่ไร้สาระ เลื่อมใสในคำสอนของปราชญ์โบราณ จากวัยเด็กของท่านที่ได้รับการศึกษาเน้นในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ประกอบท่านเป็นเด็กช่างคิด ตรึกตรองมีเหตุมีผล กล้าหาญกตัญญูกตเวทีทำให้ท่านได้รับความเคารพจากบุคคลต่างๆโดยทั่วกัน








ชะตาพลิกผัน

ชีวิตในวัยเด็กของท่านนั้นสั้นนัก เมื่อท่านอายุได้ ๑๐ ขวบ บิดได้เสียชีวิตลง ท่าจึงต้องไปอยู่กับพระพี่ชายที่วัดจิ้งถู่
ณ วัดจิ้งถู่ สมณะจั่งเจี่ยได้เริ่มสอนความรู้ต่างๆในพระพุทธศาสนาแก่ท่าน นับได้ว่าเป็นการแรกเริ่มให้ท่านได้สู่พระพุทธศาสนา ท่านเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้ได้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ ด้วยวัยเพียง ๑๑ ขวบ ท่านสามาถท่องจำคัมภีร์ วิมลเกียรตินิเทศสูตร และอวตังกสุตรได้อย่างแม่นยำ เมื่ออายุได้ ๑๓ ปีตรงกับ พ.ศ. ๑๑๕๔ มหาอำมาตย์ฝ่ายยุติธรรม รับราชโองการมาเป็นประธานในการจัดพิธีบวชพระภิกษุที่นครลั่วหยาง ได้เห็นบุคคลิกพิเศษและความชาญฉลาดของท่านได้อนุญาติให้ท่านบวชเป็นกรณีพพิเศษ ได้เป็นสามเณร ได้สมณะนามว่า “เสวียนจั้ง”
หนีภัยสงครามสู่เฉสวนเมืองฟ้าประธาน
ในกาลต่อมา นครลั่วหลางตกอยู่ภายใต้สงคราม มีกลุ่มก่อกบฏเกิดขึ้นเพราะไม่พอใจการปกครองของพระเจ้าสุยหยั่งตี้ บ้านเมืองเกิดระส่ำระสาย ทั้งพระและชาวบ้านต่างอพยพหลบหนีภัยสงครามท่นและพี่ชายจึงพากันเดินทางไปยังนคร ฉางอาน แต่ก็หาได้สงบดั่งใจไม่เพราะเมืองนี้ได้ถูกพระเจ้าถังเกาจู (ปฐมกษัติรย์แห่งราชวงศ์ถัง)ตีแตกและยึดครองไว้ ผู้คนจึงพากันเดินทางลงใต้ไปยังนครเฉฉวน เพราะเป้นดินแดนเดียวที่ปลอดภภัยจากสงคราม ทั้งด้านการเจริญทั้งเศรษฐกิจอุดมสมบรูณ์ถึงแม้ที่อื่นจะได้รับผลกระทบจากสงครามแต่เมืองนี้กลับไม่ได้รับผลกระทบเลย
สมณะเสวียนจั้งแลพพระพี่ชายได้เดินทางมายังนครนี้ ที่เมืองเฉิงตูท่านใช้เวลาส่วนมากุ่มเทให้กับการศึกษา มีความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งท่านใช้เวลาทั้งหมด ๓-๔ ปีที่พักอยู่เมืองนี้ศึกษาทฤษฎีของทั้งสองนิกายคือมหายานและสาวกยาน
สมณะเสวียนจั้งและสมณะจั่งเจี๋ยพี่ชายของท่าน เป้นผู้มีความรู้ที่แตกฉานในพระคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งแตกฉานในลัทธิเต๋า สามารถนำเอาปรัชญาของทั้งสองหลักมาอธิบายกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาได้ ตรึงใจผู้ฟังได้เป็นอย่างมาก ได้รับการชื่นชมจากประชาชนว่า “สองอาชาแห่งสกุลเฉิน” พี่ชายท่านพอใจกับนครเฉิงตูเป็นอย่างมาก จึไม่ค่อยเห็นด้วยกับน้องชายที่จะเดินทางไปยังเมืองอื่น
ท่องเที่ยวแสวงหาสัทธรรมทั่วแผ่นดิน
แต่ชื่อเสียงลาภสักการะไม่อาจครอบงำหรือหยุดยั้งจิตใจที่ต้องการแสวงหาความรู้เพิ่งขื้นของสมณะเสวียนจั้งได้ เพราะเมื่อใดที่รู้สึกว่าตนเองได้มาถึงจุดอิ่มตัว ท่านก็คิดที่จะเดินทางไปแสวงหาความรู้จากแหล่งใหม่ เพื่อเสริมสร้างภูมิธรรมให้กับตนเอง ท่านจึงคิดออกเดินทางขึ้นไปทางเหนือโดยไม่สนใจคำทัดทานของพี่ชาย ราว พ.ศ. ๑๑๖๖ ท่านได้แอบนัดแนะกับพ่อค้าลงเรือกลางดึก ล่องไปเมืองต่างๆเลียบลำน้ำแยงซีเกียง ซึ่งปัจจุบันคือ มณฑลหูเป่ย เจียงซูเจ้อเจียง จากนั้นกลับขึ้นเหนือไปเหอเป่ย สุดท้ายย้อนกลับมานครฉางอันอีกครั้ง ซึ่งบัดนี้ราชวงศ์ถังได้สถาปนาขึ้นแล้วอย่างมั่นคง บ้านเมืองได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่จนรุ่งเรืองเช่นในอดีต กลับมาเป็นศูนย์กลางเศรษกิจการเมืองและวัฒนธรรมอีกครั้ง กิจกรรมทางพระพุทธศาสนามีความคึกคักขึ้น
๘ ปี ของการจาริกศึกษา ตลอดเส้นทางที่ไปนั้นมีทั้งการศึกษาและการบรรยายธรรมคือ ให้คำอรรถาธิบายแก่ผู้ที่ไม่รู้ และขอความรู้จากผู้รู้เมื่อมีโอกาสก็จะไต่ถามข้อธรรมในคัมภีร์ที่มีการแปลแตกต่างกันไป ด้วยปฏิภาณไหวพริบที่ชาญฉลาด กิริยาที่อ่อนน้อมถ่อมตนใฝ่ศึกษา เป็นที่ประทับใจของบรรดาอาจารย์ ถึงกับกล่าวสรรเสริญว่า “ท่านนี้ควรได้ชื่อว่า อาชาไนยของพระพุทธศาสนาที่วิ่งเร็วได้วันละพันลี้ การที่จะให้แสงสว่างแห่งดวงปัญญารุ่งโรจน์อีกนั้น ควรต้องได้แก่ตัวท่านโดยแท้”
อาชาไนยพันลี้แห่งพระพุทธศาสนา ท่านนี้ เริ่มฝึกปรือมาตั้งแต่นครลั่วหยาง ไปนครฉางอัน วิ่งลงใต้ไปเมืองเสฉวน แล้วกลับขึ้นเหนือไปอีกครั้งท่านจาริกไปตลอดเกือบครึ่งปีค่อนแผ่นดินจีน ราวกับว่าท่านกำลังสั่งสมประสบการณ์เพื่อปูพื้นฐานให้กับการเดินทางไกลสู่ชมพูทวีป การจาริกเพื่อแสวงหาพระสัทธรรมในประเทศครั้งนี้ หากดูผิวเผินแล้วเหมือนกับว่าท่านได้รับผลเก็บเกี่ยวอย่างเอกอุ ซึ่งนับตั้งแต่ออกบวชที่นครลั่วหยาง ปี พ.ศ. ๑๑๕๕ ถึง พ.ศ. ๑๑๖๘ พระอาจารย์ที่ท่านฝากตัวเป็นศิษย์รวม ๑๓ ท่าน ล้วนเป็นพระเถระ ผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในประเทศจีนยุคนั้น ส่วนคัมภีร์ที่ท่านศึกษา อาทิ อภิธรรมศาสตร์ อภิธรรมโกศศาสตร์ มหายานสัมปริครหศาสตร์ สัตยสิทธิวยกรณศาสตร์ และมหาปรินิพพานสูตร เป็นต้น จึงเป็นที่คาดเดาว่าความรู้ที่ท่านศึกษามานั้น ลึกซึ้งเจนจบเพียงใด อาจกล่าวได้ว่าก่อนที่จะจาริกไปดินแดนตะวันตก ท่านได้ศึกษาพระพุทธศานาทั้งฝ่ายมหายาน และสาวกยานเกือบหมดแล้ว
ใยช่วงปี ค.ศ. ๑๑๙๖ ราชวงศ์ได้ส่งสมณฑูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศแถบทางเอเชียกลาง ในตอนกลับมีพระสงฆ์จากอินเดียเดินทางมาด้วย ชื่อ พระปภากรมิตร ท่านเป้นศิษย์ของพระศีลภัทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยนาลันทา ด้วยเหตุนี้ท่านอาจได้รับแรงบันดาลใจจากการได้ยินได้ฟังเรื่องราวของมหาวิทยาลัยนาลันทาจากตรงนี้ก็ได้
ลักลอบออกพระราชอาณาจักร
นับแต่ปลายยุคราชวงศ์ฮั่น การเดินทางออกนอกประเทศเป็นเรื่องลำบากมากเพราะหากผู้ใดประสงค์เดินทางไกลข้ามเมืองต้องมีบัรผ่านทางก่อน จึงจะได้รับการอนุญาติให้เดินทางออกไปหากใครลักลอบก็จะถูกจับกุม
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้สมณะเสวียนจั้งจึงได้เดินทางออกจากมืองโดยลับๆ ด้วยการออกดินทางในเวลากลางคืน แล้วพักตอนกลางวัน จากนครฉางอันสู่ชมพูทวีปในเดือน สิงหาคม พ.ศ. ๑๑๗๐ เจินกวานปีที่๑ (ปีที่ขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าถังไท่จง)
อีอู้ แคว้นแรกหลังรอดชีวิตจากทะเลทรายหฤโหด
นับตั้งแต่ผ่านด่านเหล็กทั้ง ๕ ของชายแดนประเทศจีน แม้จะไม่ต้องวิตกกับเรื่องการถูกตามจับกุมตัวอีกต่อไป แต่ก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งกลางทะเลทราย เพราะทำน้ำดื่มหาย เดินทางโซซํดโซเซโดยไม่มีน้ำดื่มสักหยดเป็นเวลา ๕ วัน ๔คืน จนหมดสติไปทั้งคนและม้าเมื่อฟื้นคือสติโชดดีที่ได้ม้าแก่ชำนาญทางพาไปพบแหล่งน้ำจึงรอดตายเมื่อทั้งคนและม้าได้ดื่มน้ำผักผ่อนจนมีแรงอีกครั้งจึงเดินทางต่อไป ได้พักค้างแรมที่วัดพระหยกคิดว่าหายเหนื่อยแล้วจะไปแต่ข่าวจาริกไปชมพูทวีปของท่านคงแพร่มาถึงแค้วนต่างๆ ในดินแดนแห่งนี้ล่วงหน้าก่อนแล้วเมื่อท่านมาถึงจึงมีชาวเมื่องทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์จำนวนไม่น้อยพากันมากราบนมัสสการความทราบไปถึงพระราชาแห่งแค้วน ทรงเร่งเสด็จมากราบนมัสการพร้อมนิมนต์พร้อมท่านย้ายไปพำนักยังพระราชวัง ให้การอุปัฏฐากด้วยความเคางรพอย่างสูง และปรารถนาให้ท่านพำนักอยู่นานๆ
พระราชาแห่งแค้วนอีอู้เป็นพระราชาองค์แรกที่ให้การตอนรับสมณะเสวียนจั้งอย่างสูงยิ่งนับแต่ออกจากชายแดนประเทศจีน ท่านพำนักอยู่ที่แค้วนนี้กว่า๑๐วัน เนื่องจากราชทูตของแค้วนเกาชางมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีที่แค้วนอีอู้จึงทราบข่าวการจาริกของพระนักแสวงบุญอันลื่อชื่อผู้นี้ เมื่อกลับมาเกาชางได้นำความกราบทูลพระราชาจัดส่งข้าหลวงถือรับสั่งมาอาราธนา ท่านจึงจำต้องเดินทางย้อนกลับไปยังเมื่องเกาชาง
แค้วนอีอู้ในปัจจุบันคือเมื่องฮามิ เขตปกครองตนเองเกวยอู๋เออร์ มณฑลซินเจียง ประเทศจีน ประชาชนพลเมื่องที่นี้ส่วนใหญ่กลายเป็นอิสลามิกไปหมดแล้ว
พระราชาแห่งแค้วนเกาชางผู้ให้ทุนการศึกษา ๒๐ ปี
แค้วนเกาชาง ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางของสมณะเสวียนจั้งเลย แต่เมื่อพระราชาแห่งแค้วนส่งข้าหลวงมานิมนต์จึงไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อพระราชาจวีเหวินไท่ ได้พบปะวิสัชนาธรรมด้วยแล้วทรงให้ความเคารพเลื่อมใสท่านอย่างยิ่ง ปรารถนาให้ท่าอยู่เผยแผ่ธรรมในแค้วนเกาชางตลอดไป จึงทักท้วงเหนี่ยวรั้งการไปชมพูทวีปของท่านโดยไม่ตรัสถึงการเดินทางของท่าน อีกทั้งพระเถระอาวุโสในแค้วนหลายรูปผลัดเปลี่ยนกันมาพูดจาหว่านล้อม แต่การกระทำทั้งหมดนี้ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของท่านได้ ครั้นท่านยืนยันความตั้งใจแน่วแน่ที่จะจาริกต่อไป พระองค์ถึงกับใช้อำนาจข่มขู่ว่าจะนำตัวท่านส่งกลับประเทศจีน ให้ทางการจีนลงโทษในฐานะผู้ลักลอบออกจากราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อกาลกลับเป็นเช่นนี้ ท่านจึงประท้วงด้วยการอดอาหารไม่ยอมแตะต้องแม้น้ำสักหยด ไม่ว่าพระราชาจะทรงอ้อนว้อนอย่างไร ท่านไม่หวั่นไหวเปลี่ยนใจ
ลุถึงวันที่ ๔ ของพระการอดอาหาร พระราชาเห็นท่านมีท่าทางอิดโรยจวนเจียนแก่ชีวิตเต็มที ในพระทัยรู้สึกผิดเกรงกลัวต่อปาป จึงนมัสการขอขมาและยินยอมให้ท่านเดินทางต่อไปตามประสงค์ ขอแต่ให้ท่านยอมฉันอาหาร ท่านเกรงว่าพระราชาจะบิดพลิ้วอีก จึงขอร้องให้เปล่งคำสาบานต่อฟ้าดิน พระราชาจึงตรัสขอนับถือเป็นพี่น้องร่วมสาบาน โดยทำพิธีในวัด มีพระชนนีทรงประทับ ณ ที่นั้นเป็นประจักษ์พยาน พระราชาทรงอธิฐานขอให้ได้เป็นผู้อุปัฏฐากท่านเช่นเดียวกับพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระเจ้าพิมพิสารที่ได้เป็นผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า และเมื่อท่านสำเร็จการศึกษาแล้วขอให้ท่านกลับมาเผยแผ่พุทธธรรมที่แคว้นเกาชางเป็นเวลา ๓ ปีแต่ระหว่างนี้ ขอให้ท่านอยู่ต่ออีกเดือนหนึ่งเพื่อแสดงธรรมเรื่องราชไมตรีโลกบาล และปรัชญาปารมิตาสูตร แก่ชาวเมืองเกาชางขณะเดียวกันพระองค์จะได้มีเวลาตระเตรียมสิ่งของจำเป็นต่อการเดินทางและอยุ่มศึกษาในอินเดียให้ท่าน
ทุกวันเมื่อถึงเวลาแสดงธรรมพระราชาทรงยกกระถางธูปเสด็จมาพร้อมด้วยเหล่าข้าราช บริพาร มรงนำสมณะเสวียนจั้งเข้าสู้ประรำธรรมศาลาที่จัดสร้างขึ้นเฉพาะกิจ พอถึงก็ลดพระวรกายลง ให้ท่านเหยียบหลังก้วขึ้สู้ธรรมมาสน์พระองค์ทรงปฏิบัติเช่นนี้ตลอดระยะเวลา ๑ เดือนจนกระทั่งการแสดงธรรมสิ้นสุดลง พระชนนีทรงปลบปลื้มเป็นที่ยิ่ง ทรงอธิฐานขอให้ได้กลับมาเป็นญาติโยมของท่านตลอดทุกภพทุกชาติไป
พระราชาทรงมีรับสั่งให้บวชเณร ๔ รูป เพื่อติตามรับใช้ท่านในระหว่าง เดินทางทำสบงจีวร ๓๐ ชุดสำหรับใช้ตลอด ๔ ฤดูกาล ยังได้จัดเตรียมเครื่องกันหนาว อาทิ ผ้าคลุมหน้า ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้าหนังหุ้มแข้ง รวมกว่า๕๐สิ่งทองคำร้อยตำลึง เงินตราสามหมื่น ผ้าแพรพรรณห้าร้อยพับ ซึ่งเป็นทุนเพียงพอที่ท่านจะอยู่ศึกษาในอินเดียถึง๒๐ปีพร้อมด้วยพาหนะม้า๓๐ตัวคนรับใช้๒๕คนอีกทั้งมีราชสาสน์และผ้าแพรพรรณเป็นเครื่องบรรณาการถึงแคว้นต่างๆ ที่ท่านจะต้องจาริกผ่านไปรวม ๒๔ แคว้นเพื่อขอให้แคว้นต่างๆคอยอำนวยความสะดวก ทรงเสด็จพร้อมด้วยข้าราชบริพารตามส่งหลายสิบลี้ด้วยความโศกเศร้าอาลัย
สมณะเสวียนจั้งซาบซึ้งในพระอุปการอันใหญ่หลวงของพระราชาแห่งแค้วนเกาชางยิ่งนัก ได้ถวายปฏิการะลิขิตแสดงเจตจำนงในการจาริกไปอินเดียและต่อมาเมื่อท่านเรียนจบได้ตั้งใจปฏิบัติตามข้อสัญญาอย่างสื่อสัตย์ โดยท่านไม่ทราบว่าพระราชาได้สิ้นพระชนม์ พ.ศ.๑๑๘๓หลังท่านจากมาเพียงปีเศษ
พบสหธรรมมิกขณะพักศึกษาที่แคว้นพัลข์ (Balkh)
แคว้นพัลข์ ปัจจุบันคือเมือง balkh ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง mazar l sharif ภาคเหนือของประเทศอัฟกานิสถาน
สมณะเสวียนจั้งได้พบพระปรัญญากร ชาวแคว้นฏักกะซึ่งเดินทางมานมัสการพระพุทธสถานที่แคว้นพัลข์ และพำนักที่วัดนวสังฆาราม พระภิกษุรูปนี้เป็นผู้มีสติปัญญาและความรู้กว้าง
ขวาง เชี่ยวชาญในเรื่องพระไตปิฏกฝ่ายสาวกยาน เช่น อภิธรรมกัจจายนปกรณ เป็นต้น ทั้งหมดต่างสนทนาเป็นที่ถูกอัธยาศัยกันมากจึงพร้อมใจกันจาริกไปนมัสการพุทธสถานต่างๆ ด้วยกัน
จาริกสู่แค้วนกัศมีระ
พ.ศ.๑๑๗๑ปลายฤดูหนาว เดินทางถึงแค้วนกัศมีระ(ปัจจุบันคือมลรัฐแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย)ที่แค้วนนี้สมณะเสวียนจั้งเข้าพำนักที่อารามชเยนทร เป็นเวลาประมาณ ๒ปื กับพระอาจารย์ยศสังฆปาโมกข์ อายุ๗๐ ปี ผู้แตกฉานพระไตรปิฎกและคัมภีร์อภิธรรมโกหศศาสตร์อภิธรรมนยายานุสารศาสตร์ ตอนกลางวัน จะร่วมศึกษาข้อธรรมในคัมภีร์อภิธรรมโกศศาสตร์ และอภิธรรมนยายานุศาสตร์ ร่วมกับพระอาจารย์ ตอยกลางคืน ฟังบรรยายเรื่อง เหตุวิทยาศาสตร์ ศัพท์วิทยาศาสตร์ วิภาษาศาสตร์นอกจากนี้ยังศึกษาภาษาสันสกฤตด้วย
ขณะเดียวกัน ได้มีธรรมสากัจฉากับหมู่สงฆ์ที่มาชุมนุมกันที่นี้ ซึ่งล้วนเป็นผู้มีความรู้กว้างขวางและเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา อาทิ พระวิสุทธสิงห และพระชินพันธุ ผู้ศึกษาในฝ่ายมหายานพระสุคตมิตร และพระวสุมิตร ฝ่ายสรวาสติวาท พระสุรยเทวะ และพระชินตราต ฝ่าย
มหาสังฆิกเป็นต้น
จาริกสู่แคว้นฏักกะ
พ.ศ.๑๑๗๒ฤดูใปไม้ร่วง จากแค้วนกัศมีระไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่อินเดียกลาง จาริกถึงแคค้วนฏักกะ(ปัจจุบันอยู่บริเวณเมื่อง ประเทศปากีสถาน)ณ ป่ามะม่วง ท่านได้พบพราหมณ์ท่านหนึ่ง(อาจารย์เสถียร โพธินันทะ วิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นพระนาคโพธิ)ตามบันทึกว่าท่านมีอายุ๗๐๐ปี แต่กลับดูเหมือนคนที่น่าจะอายุเพียง๓๐ปีวิเศษ อ้างว่าเป็นศิษย์ของพระนาคารชุนมีความรู้เชี่ยวชาญในคัวภีมร์มาธยมิกศาสตร์ และศคสตร์ ทั้งรอบรู้ในคัมภีร์พระเวทของนิกายมนตรยาน(คุยหยาน)สมณะเสวียงจั้งอยู่ศึกษาศตสตร์ศตศาสตร์ไพบูลย์ กับพราหมณ์ท่านี้เป็นเวลาเดือนเศษ
จาริกสู่แค้วนจีนภุกติ
พ.ศ.๑๑๗๓จาริกสู่แค้วนจีนภุกติ ที่อารามดตษาสน มีพระวินีตประภา ซี่งเดิมเป็นโอรสในพระราชาในอินเดียเหนือแตกฉานในพระไตรปิฏก เป็นผู่แต่งฏีกาปัญจสกันธศาสตร์ วิทยามาตราสิทธิตรีทศศาสตร์ ทั้งเชี่ยวชาญในหลักธรรมของฝ่ายสรวาสติวาทโยคจาร และเหตุวิทยาศาสตร์ สมณะเสวียนจั้งพำนักอยู่ที่นี้ ศึกษาอภิธรรมสมุจจยวยขยาศาสตร์อภิธรรมปรกรณศาสนศาสตร์ นยายทวารตรรกศาสตร์ เป็นเวลา๔เดือน
จาริกสู่แค้วนชาลันธร
พ.ศ.๑๑๗๓ฤดูใบไม้ผลิ สมณะเสวียงจั้งออกจากแค้วนจีนภุกติมุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว๑๕๐ ลี้ จาริกถึงแค้วนชาลันธร ที่แค้วนนี้พระพุทธศาสนารุ่งเรื่องมาก ท่านพำนักที่อารามนครธน ศึกษาคำภีร์ปรกกรณปาทวิภาษาศาสตร์ กับอาจารย์จันทรวรมัน เป็นเวลา๔เดือน
จาริกสู่แค้วนศรุฆนะ
พ.ศ.๑๑๗๓ ต้นฤดูหนาว จาริกถึงแค้วนศรุฆนะในอินเดียกลาง ศึกษา กับพระอาจารย์ชัยคุปต์ เป็นเวลาเดือนเศษ
จาริกสู่แค้วนมติปุระ
พ.ศ.๑๑๗๔ ต้นฤดูไม้ผลิ จาริกถึงแค้วนมติปุระ พำนักอยู่กับพระมิตรเสน อายุ๙๐ปีเป็นศิษย์ของพระคุณปรพภา ผู้แต่งคัมภีร์ตัตตวสันเทศศาสตร์ อยู่ศึกษาตัตตวสันเทศศาสตร์ เป็น
เวลา ๔ เดือน

จาริกสู่แค้วนกันยากุพชะ
พ.ศ.๑๑๗๔ ปลายฤดูร้อนจาริกสู่แค้วนกันยากุพชะ พำนักอยู่ที่อารามภัทรวิหาร ๓ เดือนศึกษาคัมภีร์วิภาษาศาสตร์ของพระพุทธทาส
ต่อมาภายหลัง ท่านได้กลับมาที่แค้วนกันยากุพชะอีกครั้ง เพื่อมาโต้ว่าที่ธรรมครั้งประวัติศาสตร์ สร้างชื่อเสียงให้กับท่าน จากการชนะการวาที และได้รับความเลื่อมใสอย่างมากในชมพูทวีป


มหาวิทยาลัยนาลันทา
มหาวิทยาลัยนาลันทาหรือนาลันทามหาวิหาร เป็นสถาบันการศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนาในอินเดียโบราณซึ่งมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ตั้งอยู่ในเมืองราชคฤห์แคว้นมคธ ตามประวัติสืบกันมาว่าในสมัยเมื่อครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชได้มีการรวมวัดประมาณ ๖ วัดเข้าด้วยกัน โดยมีกำแพงรอบวัดให้อยู่ในอาณาเขตเดียวกัน จึงมีชื่อว่า “มหาวิหาร” หรือ “วัดใหญ่” และคงมีการขยายตัวตามลำดับยุคสมัย การพัฒนามาเป็นสถาบันการศึกษาในสมัยใดนั้น ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่หลังฐานตามที่ตารนาถ นักประวัติศาสตร์ชาวธิเบตได้เขียนไว้ว่า พระนาครชุน ปราชญ์คนสำคัญของมหายาน ผู้ก่อตั้งปรัชญามาธยมิกได้อยู่ที่นาลันทา ก็แสดงว่าในสมัยของพระนาครชุน ราว พ.ศ. ๖๑๓-๗๑๓ มหาวิทยาลัยนาลันทาได้มีอยู่แล้ว
ยุคที่อาจถือว่าเป็นยุคทองของมหาวิทยาลัยนาลันทาคือ สมัยราชวงศ์คุปตะ สถาบันการศึกษาแห่งนี้เปิดสอนหลักสูตรพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายมหายานและสาวกยาน ทั้ง ๑๘ นิกายพร้อมทั้งสาขาอื่นๆอีกมากมาย
ตามบันทึกของพระเสวียนจั้ง สถาบันแห่งนี้นอกจากมีพระซึ่งเป็นคนท้องถิ่นแล้วยังมีพระนักศึกษาจากต่างประเทศเช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น
ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มหาวิทยาลัยนาลันทาได้ถูกกองทัพเตอร์กรุกรานและเผาทำลายจนหมดสิ้น ความรุ่งเรืองและความเสื่อมของมหาวิทยาลัยนาลันทา จึงเป็นเครื่องเตือนใจของเราได้เป็นอย่างดีว่า “จงอย่าประมาทในชีวิต สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นอนิจจัง”

ก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัย
ในราวต้นเดือ ๑๐ พ.ศ. ๑๑๗๔ สมณเสวียนจั้ง จาริกถึงมหาวิทยาลัยนาลันทา ตามบันทึกของพระถัมซำจ๋งกล่าวว่า ท่านพำนักอยู่ที่นี่ นานถึง ๕ ปีตั้งแต่ พ.ศ. ๑๑๗๔-๑๑๗๙ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ท่านได้พระอาจารย์ศีลภัทรอธิการบดีมหาวิทยาลัยนาลันทาบรรยายคัมภีร์คาวจรภูมินอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆทั้งสันสกฤตแลด้านภาษาอื่นๆอีกมากมาย


จาริกสู่แคว้นอีรณบรรพต
ประมาณ พ.ศ. ๑๑๗๙-๑๑๘๐ เดินทางไปศึกษาวิภาษาศาตร์และนยายานุศาตร์ กับพระตถาคตคุปต์และพระกษานติสิงห์
จาริกสู่แคว้นโกศล
ราวพ.ศ.๑๑๘๐ ท่านเดินทางไปยังแคว้นโกศลใช้เวลาพำนักถึง ๑๐ เดือนเพื่อศึกษาคัมภีร์ประมาณสมุจจยศาตร์กับพราหมณ์ผูแตกฉานในคัมภีร์เหตุวิทยาศาสตร์

จาริกสู่แคว้นธานยกฏก
จาริกลงสู่อินเดียใต้ ถึงแคว้นายกฏก ได้พบกับพระสุภูติ และพระสูรย ผู้ทรงความรู้ในพระไตรปิฎกฝ่ายมหาสังฆิกะทั้งสามรู้สึกถูกอัธยาศัยกันมากจึงร่วมกันเดินทางไปสักการะพุทธสถารร่วมกัน
จาริกสู่แคว้นบรรพต
ราวพ.ศ. ๑๑๘๑ จาริกถึงอินเดียตอนเหนือถึงแคว้นบรรพตที่นี่มีพระเถระที่ทรงความรู้ในคัมภีร์ของฝ่ายสัมมัตติยะ ท่านพำนักอยู่ที่นานปี เพื่อศึกษาคัมภีร์มูลลาภิธรรมศาตร์
พ.ศ.เดินทางกลับมหาวิทยาลัยนาลันทา เมื่อกราบนมัสการพระอาจารย์ศีลาภัทร เพื่อรายงานการทัศนศึกษาและผลการศึกษา พักอยู่ได้ไม่กี่วันได้เดินทางไปยังอารามติโลศก เพื่อไปหาพระ ปรัชญาภัทร ซึ่งเป้นผู้แตกฉานในพระไตรปิฎกของสรสวาสติวาท ใช้เวลาสองเดือนเพื่อสอบถามความสงสัยในข้อะรรมกับพระเถระรูปนี้
จากนั้นเดินทางไปยังสำนักของท่านชยเสน ได้ขอศึกษษวิชา ดาราศาตร์ ปฏิจจสมุปบาท เหตุวิทยา จนกระทั่งเมื่อพ.ศ.๑๑๘๓ ได้กราบลาพระชยเสน เดดินทางกลับมายังมหาวิทยาลัยนาลันทา
แคว้นบรรพตนั้นอยู่ที่เทือง Jummu ในภาคใต้ของแคว้นแคชเมียร์ แต่ก้มีนักวิชาการกล่าวว่าอยู่ที่เมืองหารัปปา หรือในบริเวณปากีสถานในปัจจุบัน

อาจารย์และวิชาที่ศึกษาในอินเดีย
การจาริกไปสู่ชมพูทวีปของสมณะเสวียนจั้ง ท่านก็ได้ศึกษาไปตลอดหนทางรู้ว่าอาจารย์ไหนดีท่านก็ได้ไปศึกษาถึงแม้จะเป็นนิกายอื่นก็ตาม
พระอาจารย์สมณะเสวียนจั้งได้พบและศึกษาวิปัสสนาธรรมที่มีชื่อชัดเจน ๑๕ ท่านมีพระพระปรัชญาเป็นต้น
วิชาที่ท่านศึกษาคืออภิธรรมโกศาจารย์ อภิธรรมนยายานุศาสตร์ อภิธรรมสมุจจจยวยขยาศาสตร์ อภิธรรมกรณศาสนาศาตร์ อภิธรรมชญาณปรัสถานศาสตร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังได้ศึกษาคำภีร์ไวยากรณ์ และภาษาสันสกฤต แม้ว่าท่านจะศึกษาคำภีร์อย่างอื่นๆแต่โดยหลักจะเน้นฝ่ายโยคาจาร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น