วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ชีวิตพระถัมซัมจั่งตอนที่ ๒

โปรดพระเจ้ากุมารแห่งแคว้นกามรูป (มลรัฐอัสสัมในปัจจุบัน)
เมื่อกลับแค้วนกามรูปได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับสมณะเสวียนจั้งไปกราบทูลพระกุมารให้ทราบพระเจ้ากุมารบังเกิดศรัทธาไดส่งเจ้าหน้าที่ไปเชิญมาถึงสามครั้งเนื่องจากพระศีลภัทรอธิการบดีมหาลัยนาลันทาได้รายงานกับพระเจ้าศีลาทิตย์ว่าจะส่งสมณะเสวียนจั้งไปโต้วาที จึงปฎิเสธไปว่าสมณะจีนกำลังเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับมาตุภูมิไม่อาจเดินทางไปแคว้นกามรูปได้พระเจ้ากุมารทรงโกรธมากรับสั่งให้ข้าหลวงส่งข่าวไปยังพระศีลภัทร แล้วทรงขู่ว่าถ้าไม่ส่งสมณะจีนมา พระองค์จะส่งกองทัพคชสารไปย่ำยีนาลันทาให้เป็นป่นเป็นจุน
เพื่อไม่ให้สถาบันต้องเดือดร้อน ท่านจึงกราบลาพระอาจารย์ไปยังแว่นแคว้นกามรูป และจากมหาลัยนาลันทาโดยไม่มีโอกาสได้กลับเลย
สมณะเสวียนจั้งเดินทางไปกับข้าหลวงถึงแคว้นกามรูปราว พ.ศ. ๑๑๘๓ พระเจ้ากุมารพอใจอย่างยิ่ง เสด็จออกมาตอนรับและนิมนต์พำนักในสำนัก ทุกๆวันจะมีการประโคมดนตรีและถวาย
โต้วาทีต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าศีลาทิตย์
เมื่อพระเจ้าศิลาทิตย์ทราบว่าพระเจ้ากุมารทรงรับสมณะเสวียนจั้งไปยังแว่นแค้วนกามรูป แล้วทรงพระราชบุรุษ ไปอาราธนามา แต่พระเจ้ากุมารไม่ยอม และทรงตรัสว่ายินดีจะส่งพระเศียรไปยิ่งกว่าสมณะเสวียงจั้งไป และทำให้พระเจ้าศีลาทิตย์ทรงโกรธมากแล้วส่งพระราชสาสน์ไปทันที่ พระเจ้ากุมาร จำต้องพาสมณะเสวียงจั้งไปเฝ้าพระเจ้าศีลาทิตย์
พระเจ้าศีลาทิตย์มีน้องสาวผู้ฉลาดนั่งอยู่ข้างๆเมื่อได้ฟังคำบรรยายของสมณะเสวียงจั้งก็ยินดีและสรรเสริญไม่หยุด
และพระเจ้าศีลาทิตย์ก็ทรงมีความประสงฆ์ให้สมณะโต้วาทีปัญหาธรรมกับคนต่างลัทธิ ต่างศาสนา เพื่อให้ทราบ ความดีงามของฝ่ายมหาย่าน จึงได้จัดขึ้นที่แค้วนกันยากุพชะให้บรรดาผู้รู้ธรรมได้มาชุมนุมกัน
ผู้ชุมนุมในงานนี้มีพระราชา ๑๘ แค้วนในอินเดียทั้ง๕และยังมีภิกษุทั้งฝ่ายสาวกยานและมหายาน กว่า ๓๐๐๐ รูป ภิกษุจากมหาลัยนาลันทา กว่า๑๐๐๐รูป
การชุมนุมเริ่มขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ.๑๑๘๔ขณะนั้นสมณะเสวียงจั้งมีอายุ๔๒ปี ในวันแรกสมณะเสวียงจั้ง เป็นผู้นำบรรยาย หลักสำคัญของเนื้อความในปกรณ์กำจัดมิจฉาทิฏฐิที่ท่านรจนาขึ้น
พระวิทยาภัทรเป็นผู้นำหนังสือนี้อ่านประกาศว่า ถ้าผู้ใดเห็นข้อความนี้ไม่สมเหตุสมผลแม้เพียงข้อหนึ่งในคำใดก็ตามและสามารถหักโค่นความเห็นนั้นข้าพเจ้าสมณะเสวียงจั้งจะยอมให้ตัดศีรษะเป็นเครื่องตอบแทน
การชุมนุมดำเนินต่อไปประมาณ ๔-๕ วัน มีข่าวออกมาว่ามีกลุ่มคัคค้าน วางแผนประทุษร้ายสมณะเสวียนจั้ง พระเจ้าศิลาทิตย์จึงมีประกาศว่า “ถ้าผู้ใดประทุษร้ายภิกษุจีน ให้ลงโทษด้วยการตัดศรีษะ แต่ถ้าผู้ใดสนับสนุน ไม่ต้องด้วยบทบังคับนี้”
ดังนั้นด้วยเหตุนี้ การชุมนุมจึงดำเนินไปตลอด ๑๘ วันโดยไม่มีผู้ออกมาคัคค้านพระเจ้าศิลาทิตย์ทรงพอพระทัยมาก จึงได้จึงได้ถวายเครื่องมหหัฆภัณฑ์เป็นอันมากตามประเพณีอินเดียโปราณ
จากเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นอุทาหรณ์เตือนใจสมณะเสวียนจั้งว่า “การีท่พุทธศาสนาจะตั้งมั่นอยู่ได้นั้น จำเป็นต้องมีการปกครองจากผู้มีอำนาจบารมี”
เดินทางกลับมาตุภูมิโดยการคุ้มครองจากกองทัพพระราชาอินเดีย
เมื่อ พ.ศ ๑๑๘๕ ต้นฤดูร้อน พระเจ้าศิลาทิตย์ทรงทำปัญจวรรษทานอันเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาทุกๆ ๕ ปีของพระราชาในอินเดีย ภายหลังการเส็จสิ้นงานนี้สมณะเสวียนจั้งจึงได้กราบทูลเพื่อขอลากลับประเทศจีน
จากกันเพียง ๓ วัน พระเจ้าศิลาทิตย์ ทรงอดกลั้นความคืดถึงสมณะเสวียนจั้งไม่ได้ ทรงเสด็จพร้อมพระเจ้ากุมารและขบวนม้าเร็วไปพบท่านอีกครั้ง ต่างรู้สึกปีติยินดีที่ได้พบหน้ากันอีก
สมณะเสวียงจั้งได้รับการอำนวยความสะดวกและการต้อนรับอย่างสมเกียจจากพระราชาผู้ครองแค้วนและประชาชนตลอดเส้านทางกลับ จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ยากลำบากที่สุดคือ การปีนปายข้ามเทือกเขาหิมาลัย ซึ้งปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข้ง ไม่อาจขี่ม้าข้ามได้ และต้องเดินทางในตอนกลางคืนโดยคนชำนาญเป็นผู้นำ เพราะถ้าพลาดเกิดอันตรายถึงชีวิต
สมณะเสวียงจั้งได้สิ้นสุดการจาริกสู้ดินแดนตะวันตก เพื่อแสวงหาพระสัทธรรมคัมภีร์เป็นเวลาร่วมเป็น๑๙ปี ท่านได้ศึกษาคัมภีร์กับพระอาจารย์ศีลภัทรสมดังเป้าหมาย นอนจากนี้ ได้กราบคารวะเพื่อขอศึกษาคัมภีร์ต่างๆ จากพระอาจารย์ผู้แตกฉาน นอกจากได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆแล้ว ท่านยังจาริกไปนมัสการสังเวชนียสถาน และพระพุทธศาสนาต่างๆ ในอินเดียทั้ง๕
ท่านเดินทางกลับถึงนครฉางอัน ประเทศจีน ในวันที่ ๒๔ เดือน ๑ พ.ศ.๑๑๘๘พร้อมทั้งอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปต่างๆ คัมภีร์พระไตรปิฏกที่อันเชิญกลับประเทศจีน แบ่งเป็นของนิกายฝ่ายต่างๆดังนี้
พระไตรปิฏกมหายาน๒๒๔ปกรณ์ มหายานศาสตร์๑๙๒ปกรณ์พระไตรปิฏกมหาอารยสถวีรวาท๑๕ปกรณ์ พระไตปิฏกมหาสังฆิกะ๑๔ปกรณ์ พระไตรปิฏกสัมมิตียวาท๑๕ปกรณ์ พระไตรปิฏกสรวาสติวาท๖๗ปกรณ์ พระไตรปิฏกมหิศาสกวาท๒๑ปกรณ์พระไตรปิฏกกาศยปิยวาท๑๗ปกรณ์ พระไตรปิฏกธรรมคุปตวา ๔๒ ปกรณ์พระไตรปิฏกเหตุ
วิทยาศาสสตร์๓๖ศัพท์วิทยาศาสตร์๑๓ปกรณ์ รวมคัมภีร์ทั้งสิ้น๖๕๗ปกรณ์




พระจ้าถังไท่จงเอกองค์อุปถัมภ์การแปลคัมภีร์
สมณะเสวียนจั้งย่อมทราบปัญหาดีว่า ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างลัมธิเต๋า ขงจื๊อและพระพุทธศาสนา อีกทั้งในวงการพระพุทธศาสนายังมีความแตกต่างระหว่างนิกายต่างๆ สถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูง งานแปลพระคัมภีร์คงคงไม่สำเร้จผลง่ายๆเป็นแน่
ดัวยเหตุนี้ท่านจึงต้องผูกสัมพันธ์กับพระเจ้าถังไท่จง นับตั้งแต่เดินทางกลับจากชมพูทวีปถึงแคว้นกุสตนะ ซึ่งต้องเสียเวลาในการพักครั้งนี้นานกว่า ๘ เดือน พื่อรอคนที่ส่งไปคัดลอกคัมภีร์ส่วนที่สูญหายในระหว่างข้ามแม่น้ำสินธุ ท่านก็ได้มีลิขิตถึงพระเจ้าถังไท่จงเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษในคราวที่ลักลอบออกพระราชอาณาเขตเมื่อ ๑๙ ปีก่อน พระเจ้าถังไท่จงได้มีพระราชสานส์ตอบกลับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีและไม่ติดใจเอาโทษแต่อย่างใด ครั้งหนึ่งท่านได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าถังไท่จง ในการสนทนาครั้งนั้น พระเจ้าถังไท่จงได้มองเห้นไหวพริและปฏิภาณของสมณเสวียนจั้ง ถึงกับชักชวนให้ออกมารับราชการ สมณเสวียนจั้งก็ได้ตอบปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
พระเจ้าถังไท่จงทรงขอให้ท่านนเขียนหนังสือเกี่ยวกับแคว้นต่างๆในประเทศอินเดียและเอเชียกลางที่ท่านเดินทางไป ท่านจึงได้เร่งเขียนและแล้วเสร้จในปีถัดมาให้ชื่อว่า “บันทึกการเดินทางสู่แคว้นตะวันตก” หลังจากนำขึ้นทูลถวายพระเจ้าถังไท่จงทรงโปรดปรานหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก และเมื่อทรงอ่านงานเขียนคัมภีร์ทางศาสนาของสมณเสวียนจั้งแล้วทรงมีความเห็นให้คัดลอกคัมภีรืนี้ขึ้นใหม่อีก ๙ ชุด จัดส่งไปตามหัวเมืองใหญ่ถึง ๙ เมือง อีกทั้งพระเจ้าถังเกาจง ซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศเป้นมกุฏราชกุมารทรงพระนิพนธ์คำนิยมร่วมด้วย
ในบั้นปลายรัชสมัยพระเจ้าถังไท่จงทรงหันมาศรัทาพระพุทธศานามากขึ้น ทรงโปรดให้สมณเสวียนจั้งเข้าไปสนทนาะรรมอยู่เนื่องๆ
พระเจ้าถังเกาจูผู้ยกย่องสมณเสวียนจั้งประดุจดวงมณีของชาติ
เมื่อพระเจ้าถังเกาจงขึ้นครองราชย์ก้ทรงให้ความเคารพต่อสมณเสวียนจั้งไม่ยิ่งหย่อนกว่าพระบิดา ทรงให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนาเป้นอย่างมากทรงอุปถัมภ์การสร้างวัดต้าฉือเอิน เพื่อถวายสมณเสวียนจั้ง
สมณเสวียนจั้งได้รับความเคารพและการยกย่องอย่างสูงจากพระเจ้าถังไท่จงและพระเจ้าถังเกาจงแต่ทั้งสองพระองค์มีข้อแต่งต่างกันคือพระเจ้าถังไท่จงไม่เข้าไปแทรกแซงการแลคัมภีร์แต่พระเจ้าถังเกาจงมิได้ทรงใส่ใจในพระธรรมนักและมีการแทรกแซงการแปลคัมภีร์ด้วย
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าพระเจ้าถังเกาจงทรงเล็งถึงผลประดยชนืทางการเมืองมากกว่าความศรทธาในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังแต่อย่งไรก้ตามพระเจ้าถังเกาจงก็ให้ความสำคัญต่อสมณเสวียนจั้งเป็นอย่างมาก ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ที่สำคัญยิ่ง ให้การสนับสนุนทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกในกาแปลพระคัมภีร์ ในคราวที่สมณเสีวยนจั้งมรณภาพ ทรงมีพระราชหฤทัยเศร้าสลดเป้นอย่างมาก ถึงขนาดมิได้เสด็จออกว่าราชการหลายวัน ทรงตรัสด้วยความอาลัยว่า “ดวงมณีของชาติได้แตกดับแล้ว” สมณเสวียนจั้งทำหน้าที่ในกการแปลคัมภีร์ด้วยความอุตสาหะต่อเนื่องและยาวนาน ทั้งนี้มิใช่แค่ความสมารถเฉพาะของบุคคลแต่ที่สำคัญ ท่านมีพระมหากษัตริย์ให้ความสนับสนุนด้วย
สร้างพระสถูปจำลองแบบอินเดีย
พ.ศ. ๑๑๙๕ สมณเสวียนจั้งได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติจากพระเจ้าถังเกาจงให้สร้างพระสถูปจำลองแบบอินเดียเพื่อเป็นที่เก็บ พระคัมภีร์ต่างๆที่ได้อัญเชิญมาจกอินเดียพระสถูปนี้จำลองแบบมาจากพุทธคยา
ความกตัญญูต่อบุพพการี
เป็นที่ทราบกันว่าสมณเสวียนจั้งเดินทางจากบ้านตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี กระทั่งเมื่ออายุได้ ๕๘ ปีคราวที่ตามเสด็จพระเจ้าถังเกาจงไปนครลั่วหยางได้รับบรมราชานุญาติให้กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด แต่ก็น่าเสียดดายเมื่อพบว่าญาติพี่น้องต่างล้มหายตายจากไปไหมมดแล้ว เหลือแต่พี่สาวคนโตที่ชราภาพมากแล้ว เมื่อพบกันต่างก็พากันร่ำไห้ด้วยความปีติ และได้ร่วมกันปรับปรุงสุสานของบิดามารดาที่จมอยู่ในดงหญ้า
การได้กลับมาบูรณะสุสานบุพพการีผู้ให้กำเนิดครั้งนี้ ถือได้ว่าท่านได้กระทำหน้าที่ของลูกอย่างดีที่สุด
หนอนไหมชักไยตราบสิ้นลม
หลังจากท่านทุ่มเทกำลังทั้งหมดในการแปลคัมภีร์มหาปรัชญาปารมิตาสูตร เป้นเวลานานถึง ๓ ปีจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สุขภาพท่านก็ทรุดดทรมลงไปเป็นอย่างมาก
พ.ศ. ๑๒๐๗ วันที่ ๑ เดือน ๑ คณะแปลได้ขอให้ท่านแปลคัมภีร์มหารัตนกูฏสูตร ท่านไม่อยากปฏิเสธ แต่ท่าก็พยายามแปลได้เพียง ๔ บรรทัด แล้ววางพู่กันปิดคัมภีร์ลงกล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “เรารู้ตัวดี”
กลางดึกของวันที่ ๔ เดือน ๒ สมณะหมิงจั้งลูกศิษย์ที่คอยอุปัฏฐากได้เห็นบุรูษสองคนร่างสูงใหญ่ ในมือถือดอกบัวขาวขนาดเท่าล้อรถกลีบบัวมรสามชั้น สะอาดใส เดินไปยืนตรงต่อหน้าสมณะเสวียนจั้งแล้วกล่าวคำสรรญเสริญน้อมน้อม
จากนั้นท่านยกมือพนนมสักพัก จากนั้นเอามือขวาประคองแก้มขวา มือซ้ายเหยีดตรงวางบนเข่าซ้าย เท้าเกยซ้อนกันในท่าตะแคงขวา ไม่ลุกขึ้นแนอาหารใดๆอีก
ในวันที่ ๕ สมณต้าเสิ้งกวาง รวบรวมความกล้าถามว่า “ท่านจักได้เกิดในแดนพุทธเกษตรหรือไม่” ท่านสมณเสวียนจั้งลืมตาเล็กน้อยตอบว่า “ได้” จากนั้นลมหายใจของท่านก็แผ่วเบาลงและหยุดนิ่งในที่สุด สิริรวมอายุได้ ๖๕ ปี
เมื่อความทราบถึงพระเจ้าถังเกาจง ทรงสลดพระทัยอย่างมาก ถึงกับอุทานว่า “ดวงมณีของชาติดับลงแล้ว” ทรงรับสั่งให้หยุดราชการ ๓ วัน ค่าใช้จ่ายในพิธีทั้งหมดราชสำนักเป็นผู้รับผิดชอบ
ลูกศิษย์ของท่านได้นำสังขารของท่านบรรจุหีบศพด้วยห่อเสื่อ เคลื่อนศพเข้าสู่นครหลวงเพื่อทำการสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศลตลอดเวลาเกิบเดือนมีพุทธบริษัท ๔ เข้านมัสการไว้อาลัยกันอย่างล้นหลาม
ทางราชสำนักมีกำหนดการพิธี ฝังศพ วันที่ ๑๔ เดือน ๔ ที่สุสานไป๋ลู่หยวน ซึ่งอยู่ใกล้กับหลุมฝังศพของสมณะจั่งเจี๋ย ซึ่งเป็นพี่ชายของท่าน
ในวันเคลื่อนศพไปยังสุสาน พระเจ้าถังเกาจงทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ภิกษุ ภิกษุณีและคฤหัสจัดทำธงทิว ฉัตรมงคล หีบศพเงิน เป็นต้น มีมากมายหลากหลายกว่า ๕๐๐ ประเภทจัดประดับประดาตลอด ๒ ข้างทางที่ศพจะเคลื่อนผ่านไปยังสุสาน บรรยากาศเต็มมไปด้วยความเศร้าโศก ผู้คนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศล้วนติดตามมาส่งศพ
แม้พิธีของสมณะเสวียนจั่งจะจัดอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ แต่การใช้เสื่อห่อศพ ชาวจีนถือว่า คนยากจนอนาถาเท่านั่นจึงห่อด้วยเสื่อ มีพ่อผ้าแพรในนครหลวงได้ร่วมกันใช้ผ้าแพรพรรณกว่าสามพันพับ จัดแต่งรถรอเคลื่อนศพอย่างงดงามสมเกียรติ แต่เหล่าสานุศิษย์ไม่กล้ารับด้วยเกรงจะผิดความประสงค์ของพระอาจารย์ ได้แต่เอาจีวรเครื่องอัฐบริขารของท่านและสิ่งของที่ทางราชสำนักนำมาบูชาวางแทน
ณ ถนนสายนี้เช่นกัน เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ท่านเพิ่งกลับจากอินเดีย มีผู้คนเบียดเสียดกันมาดูพิธีการแห่แหนท่านเข้านครหลวงด้วยความตื่นเต้นชื่นชมยินดี ในวันนี้ผู้คนหลั่งไหลมากันแน่นขนัดเฉกเช่นวันวาน หากแต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความโหยไห้อาดูร ซึ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากสุสารอยู่ใกล้เขตนครหลวง ทุกครั้งที่พระเจ้าถังเกาจงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นหอสูงทอดพระเนตรไปยังทิศที่ตั้งของสุสาน เป็นต้องเศร้าโศกอาลัย เพื่อหลีกเลี่ยงภาพที่ชวนให้ต้องสะเทือนพระราชหฤทัย จึงมีพระบรมราชโองการย้ายสุสานท่านไปฝังยังที่แห่งใหมม่ พร้อมทั้งสร้างพระสถูปเพื่อเป็นถาวรวัตถถุในการเก็บอัฐของท่าน
วันที่ ๘ เดือน ๔ พ.ศ. ๑๒๐๗ ได้ทำการเปิดสุสาน ผู้คนพากันประหลาดใจว่าสรีระของท่านซึ่งถูกฝังมาแล้วกว่า ๒ เดือน ยังคงสภาพเหมือนตอนแรกฝังไม่เปลี่ยนแปลง
ในวันทำพิธีและเคลื่อนย้ายสังขารของท่านไปฝังยังสุสานแห่งใหม่นี้ ยังคงมีศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนพากันมาร่วมพิธีอย่างล้มหลามเหมือนเช่นครั้งก่อน







มรดกธรรม คัมภีร์มหาปารมิตาสูตร
ตลอดระยะเวลานานถึง ๑๙ ปี ภายหลังการเดินทางกลับประเทสจีน สมณเสวียนจั้งได้ร่วมกับพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่างๆทำการแปลคัมภีร์ออกมาเป็นจำนวน ๗๕ ปกรณ์ ๑๓๓๕ ผูก (ไม่รวมบันทึกการเดินทางสู่แคว้นตะวันตก ๑๒ ผูก) ส่วนมากเป้นการแปลปกรณืขนาดใหญ่ และเป็นการแปลออกมาทั้งฉบับ โดยยึดหลักการถูกต้องตามต้นฉบับ แต่ง่ายเข้าถึงชาวบ้าน เป็นบรรทัดฐาน คัมภีร์ที่ท่านทำการแปลล้วนแต่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ทั้งสิ้น เพราะท่านมีความเชี่ยวชาญในด้านภาษษเป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ท่านยังเปิดบรรยายคัมภีร์ที่แปลใหมาให้กับสานุศิษย์และสาธุชนผู้สนใจฟังเป็นประจำ ผลงานที่ท่านแปลล้วนมีอิทธิพลต่อพพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นทั้งในยุคของท่านและยุคต่อๆมา
เป็นผู้นำวิชาโยคาจาร ต้นกำเนิดธรรมลักษณะ

วิชาโยคาจารหรือวิชญาณวาทิน ท่านอสังคะและท่านวสุพันธุสองพี่น้องร่วมกันก่อตั้งขึ้น ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๙ ทั้งสองท่านเป็นผู้มีปรีชาญาณอันสุขุม ทั้งสามารถในด้านการประพันธุ์ ท่านวสุพันธุ์รจนาคัมภีร์ประกาศลัทธฺโยคาจาร ว่ากันว่ามีจำนวนถึง ๕๐๐ ปกรณ์ จัดเป็นคันถรจนที่ยอดเยี่ยมในประเทศอินเดียท่านวสุพันธุเรียกหลักคำสอนของท่านว่า วิชญาณวาทะ
คัมภีรืสำคัญของนิกายโยคาจารคือ โยคาจารภูมิศาสตร์กล่าวกันว่าในยามราตรีกาล ท่านอสังคะขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดุสิต สดับพรธรรมมิกถากับพระศรีอาริยเมตตไตย์ ณ กรุงอโยธยา กลางอินเดีย ฉบับภาษาสันสกฤตนั้นท่านราหุลเป้นผู้คนพบ คัมภีร์นี้แบ่งเป้น ๑๗ ภูมิ และมีการอธิบายโดยพิศดารเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามแบบของนิกายโยคาจาร
วิชาโยคาจารย์นี้เริ่มเข้าสู่จีน ในสมัยราชวงศ์เหนือ ใต้โดยมีพระโพธิรุจิ นำเข้ามาในปี พ.ศ. ๑๐๕๑-๑๐๕๔ ในคราวที่สมณเสวียนจั้งเดินทางไปที่นาลันทาได้เข้าไปฝากตัวกับพระศีลภัทรวึ่งเป้นศิษย์ของพระธรรมปาละผู้เป้นสิษยืของพระวสุพันธุ ในภายหลัง เมื่อเดินทางกลับประเทศจีนท่านได้แปลคัมภีรืสำคัญของนิกายโยคาจาร ซึ่งมีจำนวนมากถึง ๑๐๐ ผูก ทั้งยังรวบรวมอรรกถาแห่งวิชญาณปติมาตรตรีทศศาสาตร์ ทำให้นิกายนี้รุ่งโรจนืในประเทศจีน และพัฒนามาเป้นนิกายะรรมลักษณะนั่นเอง
เนื่องจากคำสอนของนิกายะรรมลักษณณะนี้มีความละเอียดซับซ้อนเต้มไปด้วยตรรกะวิธีและศัพทืเทคนิคซึ่งยากแก่การรเข้าใจ เน้นหนักในด้านอภิธรรม วึ่งอาจไม่ค่อยถูกจริตกับนักปราชญ์ชาวจีนเท่าใดนัก กระแสความนิยมจึงอยู่พียงสั้นๆเมื่อสิ้นราชวงศ์ถัง ก็เริ่มอับแสงลงในที่สุด แม้แต่คัมภีร์ก็หายไปด้วย
ถายหลังเมื่อจีนพ่ยแพ้สงครามฝิ่น เมืองสำคัญของจีนตกอยู่ภายใต้อาณานิคม เหล่าบัณฑิตผู้รักชาติ ได้พยายามคิดหาวิธีทางที่จะช่วยประเทสชาติให้หลุดพ้นจากยุคสภาพกึ่งเมืองกึ่งศักดินา คนรุ่นใหม่เล่านี้ได้หันไปศึกษาวิชาการของตะวันตกขณะเดียวกันก็หันกลับมามองปรัชญาความคิดของตนเอวมากขึ้น ได้มีปัญญาชนกลุ่มหนึ่งให้ความสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา เพื่อค้นหาแนวทางการสร้างความสามมัคคีของคนในชาติ จึงก่อตั้งกลุ่มพุทธศาตร์ศึกษา มีการบรรยายธรรมเดือนละครั้ง เนื่องจากปกรณ์วิเศษของนิกายโยคาจารหายไปจึงมีการคัดลอกต้นฉบับจากญี่ปุ่น และจัดพิมพ์คัมภีร์โยคาวจรภูมิขึ้นใหม่
จากการศึกษาอย่างจริงจังของกลุ่มพุทธสาสตร์ศึกษา ทำให้นักวิชาการจีนรุ่นใหม่พบว่า หลักะรรมทางพระพุทธศาสนาแฝงไว้ด้วยปรัชญาความคิดลึกซึ้งมากมาย โดยเฉพาะหลักธรรมในวิชญาณวาท กิจกรรมของกลุ่มพุทธศาสตร์ศึกษาจึงมีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่ในวงการเมืองและนักคิด
ต่อมามหาวิทยาลัยฟูต้านได้จัดทำสถิติโดยให้นักศึกษาเขียนชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งในประเทศและต่งประเทศที่ปรากฏอยู่ในมโนคติของตัวเองชัดเจนที่สุด ๑๐ อันดับแรกพบว่า อันดับที่ ๑ คือ พระพุทธะเจ้า รองลงมาคือ สมณเสวียนจั้ง สมณฮุ้ยหนิง พระโพธิธรรม พระอวโลกิเตศวร เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าสายตาคนรุ่นใหม่ของประชาชาชนจีน เมื่อกล่าวถึงบุคคลในวงการพระพุทธศาสนาแล้ว ชื่อของสมณเสวียนจั้งเป้นที่รู้จักรองลงมาจากพระพุทธเจ้า
หนังสือบันทึกการเดินทางสู่แคว้นตะวันตก
จดหมาย เหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง เป็นบันทึกการเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดียของพระถังซำจั๋ง พระภิกษุจีนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของชาวพุทธทั่วโลก บันทึกเล่มนี้พระถังซำจั๋งเป็นผู้จดบันทึกและพระภิกษุเปี้ยนจีเป็นผู้เรียบ เรียงในรัชสมัยจักรพรรดิถังไท่จงในยุคราชวงศ์ถังและเสร็จสิ้นลงในปี ค.ศ. ๖๔๖ ปัจจุบันมีอายุได้ ๑๓๕๗ ปีแล้ว
หนังสือเรื่องจดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง แบ่งออกเป็น ๑๒บรรพ บันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่พระถังซำจั๋งออกเดินทางไปและศึกษาอยู่ในอินเดียเป็น เวลานานถึง ๑๗ ปี ท่านจาริกสู่แว่นแคว้นต่างๆ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจีน คิดเป็นระยะทางกว่า ๕ หมื่นลี้ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาครอบคลุมถึงอาณาเขต ภูมิอากาศ ทำเลที่ตั้ง จารีตประเพณี ภาษา ศาสนา วัดวาอาราม ตลอดจนตำนานและประวัติศาสตร์ด้านต่างๆ ของแว่นแคว้นเหล่านั้นอย่างละเอียดพิสดารถึง ๑๓๘ แว่นแคว้น ในจำนวนนี้มี ๑๑๐ แคว้นที่พระถังซำจั๋งได้เดินทางไปรู้เห็นด้วยตนเองส่วนอีก๒๘แคว้นนั้นท่านเขียนขึ้นมาจากคำบอกเล่า
โดยที่หนังสือเล่มนี้ได้บันทึกข้อมูลล้ำค่าไว้มากมาย จึงกลายเป็นเอกสารสำคัญยิ่งในการศึกษาค้นคว้าภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรมของบ้านเมืองต่างๆทางเอเชียกลางและเอเชียใต้ อีกทั้งประวัติศาสตร์การติดต่อระหว่างจีนกับอินเดีย ในขณะเดียวกันก็เป็นเอกสารที่สำคัญยิ่งในการศึกษาค้นคว้าพุทธประวัติใน อินเดีย เช่น เรื่องราวและตำนานของบุคคลสำคัญๆ ในพุทธศาสนาในอินเดีย เป็นต้นว่า พระอัศวโฆษ นาคารชุน พระเทพโพธิสัตว์ พระอสังคเถระ พระวสุพันธุ์ พระเจ้าอโศกมหาราช และพระเจ้ากนิษกะราชา เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้มีค่ามากต่อการศึกษาค้นคว้าพุทธศาสนา

หนังสือเล่มนี้ยังเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญในการค้นหาร่องรอยพุทธสถาน ต่างๆ ในสมัยพุทธกาลของรัฐบาลอินเดียในระยะร้อยปีมานี้ เป็นต้นว่าการค้นหาสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยนาลันทา การขุดค้นกรุงราชคฤห์
ป่าอิสิปตนมฤคทายวันและซากกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นต้น ก็ได้อาศัยหลักฐานจากหนังสือเล่มนี้ประกอบการค้นหาจนประสบความสำเร็จเช่นกันความสำเร็จอันใหญ่หลวงอีกประการหนึ่งคือทางด้านประวัติศาสตร์ ทั้งประวัติศาสตร์อินเดีย ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดียและประวัติศาสตร์การไปมาหาสู่ระหว่างจีนกับดินแดนทางตะวันตกของจีนคืออินเดียด้วย
ชาวภารตะโบราณเป็นชาติที่มีความรู้ช่ำชองในด้านปรัชญาและด้านธรรมชาติวิทยา ก็จริง แต่ไม่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ตกทอดมาสู่ชนรุ่นหลัง จะมีก็แต่ตำนานและเทพนิยาย แม้ว่าจะบอกเหตุการณ์ในด้านประวัติศาสตร์ได้บ้าง แต่ขาดหลักฐานที่เชื่อถือได้ ดังนั้นจดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถังของพระถังซำจั๋ง จึงเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าสำคัญยิ่งในสายตาของนักประวัติศาสตร์
สมณเสวียนจั้งกับนวนิยายไซอิ๋ว
ภายหลังการเดินทางกลับจากอินเดีย เมื่อว่างจากการแปลคัมภีรืท่านก้จะเล่าเรื่องราวเหตุการณืต่างๆที่ท่านได้ประสบในระหว่างการเดินทาง ตลอดรวมไปถึงชีวิตการศึกษาในชมพูทวีป ให้พระเถระผู้ใหญ่และสานุศิษย์ฟัง จากปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่น เมื่อกาลเวลาผ่านไป เรื่องราวความกล้าหญของท่าน จึงถูกต่อเติมเสริมต่อให้พิศดารมากขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงสมัยราชวงศ์หยวน ปรากฏมีวรรณกรรมเกี่ยวกับการผจญภัยในระหว่างการเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกออกมามากมายหลาบสำนวน รวมทั้งที่เป็นบทละครและเชิงนวนิยาย ในปี ค.ศ. ๑๙๘๕ ศูนย์วิจัยวรรณกรรมโบราณมหาวิทยาลัยไต้หวัน ทำการรวบรวมวรรณกรรมที่เปป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการจาริกไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีปของสมณะเสวียนจั้งได้มากถึง ๑๒ สำนวน ปัจจุบันนวนิยายเร่องไซอิ๋วได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในวรรณกรรมเอกของจีน คือ สามก๊ก ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน ไซอิ๋ว และความฝันในหอแดง
ความจริงนั้นนวนิยายเรื่องไซอิ๋วแต่งขึ้นในปลายราชวงศ์หมิง โดย อู๋เฉิงเอิน ซึ่งเรียบเรียงจากสำนวนที่มีอยู่เดิมมาแต่งให้พิศดาร เชิดชู ชูชุนอู้คง (หงอคงหรือเห้งเจีย)ศิษย์เอกผู้ติดตามพระถัมซำจั๋ง เป็นตัวเอกในเรื่อง มีรูปร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์ มีอานุภาพมาก ไม่เกรงกลัวอำนาจผู้มีอิทธิพล กล้าตะลุยถึงดินแดนสวรรค์ต่อกรกับเหล่าเทพ หรือปีศาจร้ายบนโลกมนุษย์ บุกวังพญานาค ในเมืองบาดาล และการปราบเหล่าปีศาจร้ายต่างๆ เป็นต้น
ถ้าถามว่า พระถัมซำจั่งในนวนิยายไซอิ๋วมีตัวตนจริงหรือไม่ อาจตอบได้ว่าพอมีเค้าดครงจริงอยู่บ้างในข้อที่ว่า พระถัมซำจั๋งนั้นหมายถึงสมณเสวียนจั้ง ภิกษุชาวจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ที่ได้จาริกไปยังดินแดนแคว้นตะวันตกชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก ส่วนสานุศิษย์ผู้ติดตาม เช่น หงอคง โป๊ยก่าย นั้นมิได้มีตัวตนจริง แต่ชื่อตัวละครเหล่านี้แฝงด้วยความหมายเชิงคติธรรม เช่นหงอคงอ่านออกสำเนียงจีนกลางว่า อู้คง อู้แปลว่าตระหนักรู้ คงแปลว่า ว่างเปล่า สุญญตา ซึ่งก็หมายถึง ความว่างนั่นเอง ส่วนโป๊ยก่าย ภาษาจีนกลางอ่านว่า ปาเจี้ย แปลว่า ศีลแปด เราจะเห็นว่าตัวโป๊ยก่ายนั้นมีนิสัยมักมาก เจ้าชู้ประตูดินเป้นตัวแทนของการไม่สำรวม มักมากในกามตัณหา ส่วนซัวเจ๋ง ในสำเนียงจีนกลางอ่านว่า จิ้ง แปลว่าความบริสุทธิ์ หมายถึงสมาธินั่นเอง ส่วนการผจญภัยกับสัตว์ร้าย สภาพอากาศ บ้านป่าเมืองเถื่อนโรคภัยไข้เจ็บ จึงต้องอาศัยพลังศรัทธา ความเข้มแข็ง ในพระรรัตนตรัยคือพระพุทธ พระรรม พระสงฆ์ เป็นอย่างมาก การปราบมารปีศาจร้ายเหล่านี้จึงหมายถึงการเอาชนะกิเลสด้วยธรรมะ ด้วยปัญญา ด้วยศีลสมาธินั่นเอง
วรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ในลักษณะเดียวกันกับวนนณกรรมสามก๊ก ที่ให้ความบันเทิงแก่สังคมไทย ในวรรรกรรมเรื่องไซอิ๋วมีเนื้อหาที่แฝงด้วยคติธรรมในเชิงอภินิหาร ดังนั้นจากการดูเพื่อความบันเทิง จึงกลายมาเป้นความเชื่อและศรัทธา จนมีการสร้างเทวรูปเห้งเจียขึ้นมาบูชา
ในประเทสไทยเองรู้จักสมณะเสวียนจั้งผ่านเรื่องราววรรณกรรมเรื่องไซอิ๋วมากกว่าบทบาทด้านการแปลพคัมภีร์ นักประวัติศาสตร์ และนักอักษณศาสตร์
ดังนั้นพระถัมซำจั่งกับสมณเสวียนจั้งจึงเกี่ยวข้องกันแต่เพียงในนาม ส่วนเนื้อหาในนวนิยายเรื่องไซอิ๋ว ล้วถูกแต่งขึ้นจากจินตนานการของผู้เขียน ตามกระแสบ้านเมือง ความเป็นตัวตนอันแท้จริงของสมณะเสวียนจั้งภิกษุชาวจีนผู้มากด้วยความรู้ สุขุม ได้ถุกนวนิยายบิดเบือนจนผิดเพี้ยนไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น