พุทธตันตระกับแนวคิดเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ถูกต่อต้าน
ตาม แนวความคิดของพุทธศาสนาเถรวาทนั้น ความสุขทางกาม (กามสุขัลลิกานุโยค) นั้นเป็นเรื่องของโลกียชน การยึดถือสิ่งต่างๆในโลกคือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น การยึดติดในกิเลสทั้งปวงนั้นนับเป็นการติดอยู่ในบ่วงแห่งสังสารวัฏ
แต่แนวคิดของตันตรยานนั้นมีความคิดที่แตกต่างออกไป คือเห็นว่าทุกสิ่งเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน สามารถเป็นหนทางนำไปสู่ความรู้แจ้งหรือความหลุดพ้นได้เช่นเดียวกัน ตามการอธิบายของสุมาลี มหณรงค์ชัย[1] นั้นชี้ว่าการที่พุทธตันตระมีความเชื่อเช่นนี้ได้เพราะพุทธตันตระนั้นถือว่า การรู้แจ้งธรรมนั้นจะสามารถเกิดขึ้นได้โดยอาศัยการปลดปล่อยพลังงานทางจิตใจ ทั้งทางบวกและลบ (ในกรณีนี้เพศสัมพันธ์นั้นเป็นกระบวนการด้านลบที่สามารถปลดปล่อยพลกำลัง มหาศาลที่ถูกกักเก็บไว้ในเบื้องลึก) จากความเชื่อนี้ทำให้พุทธตันตระมีการสร้างพิธีกรรมบางอย่างเพื่อช่วยปลด ปล่อยพลังงานด้านลบเหล่านี้ เช่น การกินเนื้อสัตว์ การดื่มน้ำเมา การมีเพศสัมพันธ์ (พิธีกรรมเหล่านี้คล้ายกับการสะท้อนสิ่งที่เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมสมัยที่ มนุษย์ยังคงอยู่ในอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ หรือ ในชุมชนป่าดงดิบออกมา) ซึ่งพิธีกรรมแบบตันตระนั้นก้าวไกลไปถึงขั้นที่ว่า พิธีกรรมหรือการกระทำที่เป็นการปลดปล่อยพลังด้านลบดังกล่าวนั้นจะช่วยให้ “ระเบิดอวิชชา” ออกไปได้อย่างเต็มที่ ในกรณีนี้สุมาลี มหณรงค์ชัยได้กล่าวแย้งไว้ด้วยว่าวิธีการของตันตระนี้ถูกมองว่าเป็นสิ่ง ประหลาดและนำไปสู่ความผิดพลาดและมัวเมาได้ง่าย
แนวคิดของพุทธตันตระนั้นอธิบายเรื่องเพศสัมพันธ์ไว้ในลักษณะที่ว่า เมื่อเรื่องของเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องของบุคคลสองคน เป็นเรื่องของการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ฯลฯ เพราะเหตุนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจึงมีลักษณะที่เป็นคู่ทั้งสิ้น ทั้งรูปและนาม ภาวะด้านคู่นั้นพุทธตันตระเรียกว่าเป็นทวิภาวะ และผู้ปฏิบัติ (ทั้งที่ทำตามแนวทางของพุทธตันตระหรือไม่ก็ตาม) จะต้องหลอมรวมทวิภาวะทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน (เช่น สังสารวัฏกับนิพพาน ขาวกับดำ ดีกับเลว ชายกับหญิง วิชชากับอวิชชา หรือแม้แต่ปัญญากับกรุณา) เพราะการหลอมรวมทวิภาวะจะทำให้ทุกคนพ้นออกจากกรอบของสิ่งต่างๆ การไม่อยู่ในกรอบหรือไม่ติดกรอบของโลกนั้นจะทำให้สามารถบรรลุภาวะความหลุด พ้นไปได้
พุทธตันตระนั้นไม่เพียงแต่ประกาศหลักการนี้โดยทั่วไปเท่านั้น แต่ยังได้บรรจุหลักการพวกนี้ไว้ในคัมภีร์อนุตตรโยคะด้วย (คือในมหาโยคะตันตระกับโยคินีตันตระ) มหาโยคะตันตระนั้นเองที่มุ่งเน้นเรื่องการใช้พิธีกรรมการร่วมเพศเป็นเครื่อง มือนำไปสู่การรู้แจ้ง (ดังปรากฏว่ามีรูปของพระชินพุทธะอยู่ในท่าทางกอดรัดหรือแม้แต่มีเพศสัมพันธ์ กับศักติของท่านมากมายหลากหลายรูปแบบ) การแสดงรูปสัญลักษณ์ออกมาในลักษณะเช่นนี้เองที่เป็นสิ่งอันตรายและนำมาซึ่ง การถูกโจมตีจากพุทธศาสนิกชนนิกายต่างๆแม้ในมหายานส่วนใหญ่เองก็ไม่เห็นด้วย
พวกพุทธตันตระอธิบายท่าทางต่างๆแบบเอาสีข้างเข้าถูว่าเป็นการสะท้อนถึงแนว คิดการประสานกันของภาวะที่เป็นหญิงกับชายที่ต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียว การประสานกันของกรุณาของพระชินพุทธะกับปัญญาของศักติ (ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อก่อน) การถ่ายเทภาวะของจิตที่ไม่บริสุทธิ์ไปสู่ความบริสุทธิ์
ยิ่งในโยคินีตันตระแล้วยิ่งปรากฏชัดว่าพุทธตันตระนั้นมีแนวคิดที่แปลกแยกออก ไปจากความเป็นพุทธมากขึ้นไปอีกคือ นอกจากมีการแสดงรูปสัญลักษณ์ของเทพและพุทธะองค์ต่างๆในรูปแบบของบุคลาธิษฐาน ไว้อย่างหลากหลายแล้ว ยังแสดงภาพของพุทธะในภาคต่างๆมากมาย เช่น พระชินพุทธะในภาคดุร้าย พระอักโษภยะพุทธะในภาคแสดงอารมณ์ต่างๆโดยได้นำภาคการแสดงอารมณ์เหล่านั้นมา ร่วมเป็นเครื่องมือในการให้เหตุผลด้านการ “ระเบิดอวิชชา” ด้วย
กล่าวถึงประเด็นการมีเพศสัมพันธ์ของพวกพุทธตันตระนั้น จะพบว่าพวกพุทธตันตระหรือตันตรนิกายพยายามสอดแทรกเหตุผลของตนว่าการมีเพศ สัมพันธ์นั้นเป็นการเปิดจิตของตนให้บริสุทธิ์เพื่อรอการประทับของพุทธจิต การมีเพศสัมพันธ์คือการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ในมณฑล จุดหมายที่แท้ของการมีเพศสัมพันธ์คือการพบเห็นความว่างที่แท้จริง เป็นการทำลายสมมติบัญญัติทุกอย่างและนำไปสู่การเข้าใจเรื่องของความว่างและ เรื่องตถตา ความคิดความเชื่อเหล่านี้ของตันตรยานนั้นชวนให้เกิดการโต้แย้งอย่างกว้าง ขวางในสังคมชาวพุทธดังได้กล่าวมาแต่ต้น
วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
หวานๆ
ก - เ ก็ บ เ ร า ไ ว้ ใ น ใ จ
ข - เ ข้ า ใ จ เ ร า
ค - ค อ ย เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ใ ห้ เ ร า
ง - ง้ อ เ ร า เ มื่ อ รู้ ตั ว ว่ า เ ข า ผิ ด
จ - จั บ มื อ เ ร า เ มื่ อ ต้ อ ง ก า ร กำ ลั ง ใ จ
...ฉ - เ ฉ ย กั บ ค ว า ม ใ จ ร้ อ น ข อ ง เ ร า
ช - ช่ ว ย เ ห ลื อ เ ร า
ซ - ซื่ อ สั ต ย์ กั บ เ ร า ญ า ติ ดี กั บ เ ร า เ ส ม อ
ด - เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง เ ร า
ต - ติ ด ต า ม ข่ า ว ค ร า ว ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง เ ร า
ถ - ไ ถ่ ถ า ม ทุ ก ข์ สุ ข
ข - เ ข้ า ใ จ เ ร า
ค - ค อ ย เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ใ ห้ เ ร า
ง - ง้ อ เ ร า เ มื่ อ รู้ ตั ว ว่ า เ ข า ผิ ด
จ - จั บ มื อ เ ร า เ มื่ อ ต้ อ ง ก า ร กำ ลั ง ใ จ
...ฉ - เ ฉ ย กั บ ค ว า ม ใ จ ร้ อ น ข อ ง เ ร า
ช - ช่ ว ย เ ห ลื อ เ ร า
ซ - ซื่ อ สั ต ย์ กั บ เ ร า ญ า ติ ดี กั บ เ ร า เ ส ม อ
ด - เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง เ ร า
ต - ติ ด ต า ม ข่ า ว ค ร า ว ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง เ ร า
ถ - ไ ถ่ ถ า ม ทุ ก ข์ สุ ข
วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ถอดใจความแห่งอภินิหารในเวลาประสูติ
ถอดใจความแห่งอภินิหารในเวลาประสูติ
๑. ครั้งเข้าสู่พระครรภ์ปรากฏแก่พระมารดาในสุบิน (ความฝัน) ดุจพระยาช้างเผือก แสดงถึงการอุบัติขึ้นแห่งบุคคลสำคัญคือพระมหาบุรุษของโลก ให้เกิดความยินดีทั่วหน้า.
๒. เสด็จอยู่ในพระครรภ์ ไม่แปดเปื้อนมลทิน ทรงนั่งขัดสมาธิเสด็จออกขณะพระมารดาประทับยืน แสดงถึงการดำรงฆราวาส ไม่หลงเพลิดเพลินในกามคุณ ได้ทรงทำกิจที่ควรทำ, มีพระเกียรติปรากฏเสด็จออกบรรพชาด้วยปรารถนาอันดี.
๓. พอประสูติแล้วมีเทวบุตรมารับ ท่อน้ำร้อน - เย็น ตกจากอากาศสนานพระกาย ได้แก่อาฬารอาบสอุทกดาบส หรือนักบวชอื่นรับไว้ในสำนัก, ทุกรกิริยาดุจท่อน้ำร้อน, วิริยะทางจิตดุจท่อน้ำเย็น ชำระพระสันดานให้สิ้นสงสัย
๔. พอประสูติแล้วทรงดำเนิน ๗ ก้าว ได้แก่ทรงแผ่พระศาสนาได้ ๗ ชนบท คือ ๑. กาสีกับโกศล ๒. มคธกับอังคะ ๓. สักกะ ๔. วัชชี ๕. มัลละ ๖. วังสะ ๗. กุรุ.
๕. การเปล่งอาสภิวาจา คือคำประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลกนั้น ได้แก่ตรัสพระธรรมเทศนาที่คนฟังอาจหยั่งรู้ว่า พระองค์เป็นยอดปราชญ์ศาสดาเอกในโลก.
๑. ครั้งเข้าสู่พระครรภ์ปรากฏแก่พระมารดาในสุบิน (ความฝัน) ดุจพระยาช้างเผือก แสดงถึงการอุบัติขึ้นแห่งบุคคลสำคัญคือพระมหาบุรุษของโลก ให้เกิดความยินดีทั่วหน้า.
๒. เสด็จอยู่ในพระครรภ์ ไม่แปดเปื้อนมลทิน ทรงนั่งขัดสมาธิเสด็จออกขณะพระมารดาประทับยืน แสดงถึงการดำรงฆราวาส ไม่หลงเพลิดเพลินในกามคุณ ได้ทรงทำกิจที่ควรทำ, มีพระเกียรติปรากฏเสด็จออกบรรพชาด้วยปรารถนาอันดี.
๓. พอประสูติแล้วมีเทวบุตรมารับ ท่อน้ำร้อน - เย็น ตกจากอากาศสนานพระกาย ได้แก่อาฬารอาบสอุทกดาบส หรือนักบวชอื่นรับไว้ในสำนัก, ทุกรกิริยาดุจท่อน้ำร้อน, วิริยะทางจิตดุจท่อน้ำเย็น ชำระพระสันดานให้สิ้นสงสัย
๔. พอประสูติแล้วทรงดำเนิน ๗ ก้าว ได้แก่ทรงแผ่พระศาสนาได้ ๗ ชนบท คือ ๑. กาสีกับโกศล ๒. มคธกับอังคะ ๓. สักกะ ๔. วัชชี ๕. มัลละ ๖. วังสะ ๗. กุรุ.
๕. การเปล่งอาสภิวาจา คือคำประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลกนั้น ได้แก่ตรัสพระธรรมเทศนาที่คนฟังอาจหยั่งรู้ว่า พระองค์เป็นยอดปราชญ์ศาสดาเอกในโลก.
ตรัสให้ภิกษุเรียกกันโดยคารวะโวหาร ๒ อย่าง คือ :-
ตรัสให้ภิกษุเรียกกันโดยคารวะโวหาร ๒ อย่าง คือ :-
(๑) ผู้แก่เรียกผู้อ่อน ใช้คำว่า อาวุโส หรือ ออกชื่อโคตรก็ได้.
(๒) ผู้อ่อนเรียกผู้แก่ ใช้คำว่า ภนฺเต หรือ อายสฺมา ก็ได้.
(๑) ผู้แก่เรียกผู้อ่อน ใช้คำว่า อาวุโส หรือ ออกชื่อโคตรก็ได้.
(๒) ผู้อ่อนเรียกผู้แก่ ใช้คำว่า ภนฺเต หรือ อายสฺมา ก็ได้.
วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อสีติมหาสาวก
พระสารีบุตรอุตตมปัญญา
พระโมคคัลลาน์ท่านมีอิทธิฤทธิ์
รัตตัญญูท่านสถิตท่านโกณฑัญญะ
พระมหากัสสปะธุดงค์คุณ
ทิพพจักษุบุญของอนุรุทธ์
ตระกูลสูงสุดพระภัททิยะ
พระสาคตะฉลาดเตโช
พระปิณโฑโลบันลือก้องกึก
ธรรมกถึกท่านมันตานี
อธิบายความดีพระกัจจายนะ
พระโสภิตะระลึกปุพเพ
ทรงวินเยพระอุบาลี
โอวาทภิกษุณีนั้นนันทกะ
นันทศากยะเกื้อกูลปฏิภาณ
โมฆราชสำราญจีวรเศร้าหมอง
ปฏิภาณช่ำชองคือพระราโธ
พระนาลโกโมไนยปฏิบัติ
โสณะสันทัดปรารภความเพียร
วาจาแนบเนียนกุฏิกัณณะ
สีวลีเถระลาภมากยืนยง
ศรัทธาน้อมลงคือวักกลิ
ราหุลนั้นสิผู้ใคร่ศึกษา
พระกุณฑธานปฐมฉลาก
น่าเลื่อมใสมากพระอุปเสน
ทัพพะมัลเจนแต่งตั้งปูลาด
วังคีส์สามารถปฏิภาณปัญญา
ที่รักเทวดาปิลินทวัจฉ์
ตรัสรู้เร็วจัดพระพาหิยะ
จุลปันถกะหมายการพลิกมโน
มหาปันถโกสิพลิกปัญญา
สุภูตินั้นหนาทักขิไณยบุคคล
เรวตะพิกลท่านชอบอยู่ป่า
กังขาเรวตะท่านเพ่งด้วยฌาน
กุมารกัสสปะคาถาวิจิตร
ปฏิสัมภิทาสถิตในโกฏฐิตะ
พระอานนท์เลิศห้าอย่าครบ
อุรุเวลกัสสปะบริวารยิ่งใหญ่
ให้ตระกูลเลื่อมใสกาฬุทายี
พยาธิไม่มีพระพากุละ
ลกุณฑกะเสียงเพราะอาจิณ
พระมหากัปปินโอวาทภิกษุ
องคุลิมาลสามีบริโภค
*************** แหล่งที่มา.....ไม่รู้ เรียนสืบต่อกันมาเรื่อย ๆ
พระโมคคัลลาน์ท่านมีอิทธิฤทธิ์
รัตตัญญูท่านสถิตท่านโกณฑัญญะ
พระมหากัสสปะธุดงค์คุณ
ทิพพจักษุบุญของอนุรุทธ์
ตระกูลสูงสุดพระภัททิยะ
พระสาคตะฉลาดเตโช
พระปิณโฑโลบันลือก้องกึก
ธรรมกถึกท่านมันตานี
อธิบายความดีพระกัจจายนะ
พระโสภิตะระลึกปุพเพ
ทรงวินเยพระอุบาลี
โอวาทภิกษุณีนั้นนันทกะ
นันทศากยะเกื้อกูลปฏิภาณ
โมฆราชสำราญจีวรเศร้าหมอง
ปฏิภาณช่ำชองคือพระราโธ
พระนาลโกโมไนยปฏิบัติ
โสณะสันทัดปรารภความเพียร
วาจาแนบเนียนกุฏิกัณณะ
สีวลีเถระลาภมากยืนยง
ศรัทธาน้อมลงคือวักกลิ
ราหุลนั้นสิผู้ใคร่ศึกษา
พระกุณฑธานปฐมฉลาก
น่าเลื่อมใสมากพระอุปเสน
ทัพพะมัลเจนแต่งตั้งปูลาด
วังคีส์สามารถปฏิภาณปัญญา
ที่รักเทวดาปิลินทวัจฉ์
ตรัสรู้เร็วจัดพระพาหิยะ
จุลปันถกะหมายการพลิกมโน
มหาปันถโกสิพลิกปัญญา
สุภูตินั้นหนาทักขิไณยบุคคล
เรวตะพิกลท่านชอบอยู่ป่า
กังขาเรวตะท่านเพ่งด้วยฌาน
กุมารกัสสปะคาถาวิจิตร
ปฏิสัมภิทาสถิตในโกฏฐิตะ
พระอานนท์เลิศห้าอย่าครบ
อุรุเวลกัสสปะบริวารยิ่งใหญ่
ให้ตระกูลเลื่อมใสกาฬุทายี
พยาธิไม่มีพระพากุละ
ลกุณฑกะเสียงเพราะอาจิณ
พระมหากัปปินโอวาทภิกษุ
องคุลิมาลสามีบริโภค
*************** แหล่งที่มา.....ไม่รู้ เรียนสืบต่อกันมาเรื่อย ๆ
วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553
My respected Lama,
My respected Lama,
Flied up to the blue sky.
Tears in my eyes,
...When I miss my Lama.
Ah, the eagle, please lend me your wings.
I want to fly up to the blue sky,
To visit my Lama and listen to his teaching.
My brothers and sisters,
All scattered in different places.
My heart full of sorrow,
When I miss my siblings.
Ah, the steed, please lend me your speed and strength.
I want to gallop to different places,
To search for my brothers and sisters.
My dear parents,
Disappeared in the dark.
I cannot distinguish daytime and nighttime,
When I miss my parents.
Ah, the sun, please give me light.
Please light up the dark world.
I want to look for my parents.
Flied up to the blue sky.
Tears in my eyes,
...When I miss my Lama.
Ah, the eagle, please lend me your wings.
I want to fly up to the blue sky,
To visit my Lama and listen to his teaching.
My brothers and sisters,
All scattered in different places.
My heart full of sorrow,
When I miss my siblings.
Ah, the steed, please lend me your speed and strength.
I want to gallop to different places,
To search for my brothers and sisters.
My dear parents,
Disappeared in the dark.
I cannot distinguish daytime and nighttime,
When I miss my parents.
Ah, the sun, please give me light.
Please light up the dark world.
I want to look for my parents.
索朗扎西 思念 ลามะที่ข้าเคารพ
ลามะที่ข้าเคารพ...บินจากไปบนฟ้าคราม
น้ำตาของข้าไหลเมื่อข้าพลัดพรากจากท่านลามะ
นกอินทรีเอ๋ย โปรดให้ข้ายืมปีกของเจ้า
ข้าอยากจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อไปเยี่ยมเยือนท่านลามะและฟังคำสอนของท่าน
พี่น้องของข้าทั้งหมดกระจายอยู่ในสถานที่ต่างกันหัวใจของข้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเมื่อข้าคิดถึงพี่น้องของข้าอาชาเอ๋ย
โปรดให้ข้ายืมความเร็วและกำลังของเจ้าข้าอยากจะท่องไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อตามหาพี่น้องของข้า
เมื่อพ่อแม่ที่ข้ารัก ลาหายไปในความมืดข้านั้นไม่สามารถแยกความแตกต่างของกลางวันและกลางคืนได้ เมื่อข้าคิดถึงพ่อแม่ของข้าดวงอาทิตย์เอ๋ย โปรดมอบแสงของท่านแก่ข้าและได้โปรดส่องสว่างไปในโลกมืดข้าอยากจะมองเห็นพ่อ แม่ของข้าอีกครั้ง
น้ำตาของข้าไหลเมื่อข้าพลัดพรากจากท่านลามะ
นกอินทรีเอ๋ย โปรดให้ข้ายืมปีกของเจ้า
ข้าอยากจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อไปเยี่ยมเยือนท่านลามะและฟังคำสอนของท่าน
พี่น้องของข้าทั้งหมดกระจายอยู่ในสถานที่ต่างกันหัวใจของข้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเมื่อข้าคิดถึงพี่น้องของข้าอาชาเอ๋ย
โปรดให้ข้ายืมความเร็วและกำลังของเจ้าข้าอยากจะท่องไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อตามหาพี่น้องของข้า
เมื่อพ่อแม่ที่ข้ารัก ลาหายไปในความมืดข้านั้นไม่สามารถแยกความแตกต่างของกลางวันและกลางคืนได้ เมื่อข้าคิดถึงพ่อแม่ของข้าดวงอาทิตย์เอ๋ย โปรดมอบแสงของท่านแก่ข้าและได้โปรดส่องสว่างไปในโลกมืดข้าอยากจะมองเห็นพ่อ แม่ของข้าอีกครั้ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)