วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทาน การให้ที่ไม่สิ้นสุด

ทาน
มีหลายทาน ยกตัวอย่าง คนกำลังจะจมน้ำเราก็ช่วยเขา เราได้บุญนี่ก็เป็นทานเขา
ไม่มีข้าวปลาอาหารรับประทาน เราก็เอาไปให้เขา
เขาเป็นคนยากไร้ไม่มีผ้าผ่อนท่อนสไบ
ห่ม เราก็เอาไปให้ นี่ก็เรียกว่าทานอีกเหมือนกัน ก็ช่วยเหลือกันไป
...ตามตำราเขาว่า เรายิ่งให้ยิ่งได้ แต่ถ้าเราหวงมันอด หมดก็ไม่มีมา
"แต่ว่าทานอะไรก็ไม่ล้ำเลิศประเสริ
ฐ เท่ากับการให้ความดีเป...็นทาน หรือให้ธรรมะเป็นทาน" การที่เรา
ช่วยให้เขาเป็นคนดีนะดีที่
สุดแล้ว เพราะฉะนั้น ทานอะไรหนอทานน้ำใจใสสะอาด
ปราศจากมลทินที่เราให้จะประเสริฐเท่า
กับให้ธรรมะ ให้ธรรมะเป็นทานนี่ประเสริฐที่สุดการทำคนให้เป็นคนดี
ให้ละชั่วประพฤติดี รักษาจิตให้ผ่องใส นั่นแหละ คือทานชั้นสูง
แต่การที่ะช่วยคนอื่นให้ละชั่วประ
พฤติชอบได้ ก็ด้วยเรามีโอกาสชี้แจงให้เขาได้ประพฤติธรรมในพระพุทธศาสนาบ้าง ด้วยการพิมพ์หนังสือแจกจ่ายเป็นบ้าง เพราะการช่วยให้โจรเป็นคนดี
ให้คนชั่วเป็นคนดีได้และให้คนไม่มี
ความรู้มีความรู้ได้ เป็นการทานอันประเสริฐยิ่ง สมจริงตาม พระพุทธดำรัสว่า
"สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง"พระธรรม
สิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

subhadravadhi: วันวาน อนาคต

subhadravadhi: วันวาน อนาคต: "อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปติกงฺเข อนาคตํ ยทตีตํ ปหีนํ ตํ อปฺปตญจ อนาคตํ ปจฺจุปนฺนญฺจ ยํ ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ อสํหีรํ อสํกุปฺปํ ตํ..."

วันวาน อนาคต

อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปติกงฺเข อนาคตํ
ยทตีตํ ปหีนํ ตํ อปฺปตญจ อนาคตํ
ปจฺจุปนฺนญฺจ ยํ ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ
อสํหีรํ อสํกุปฺปํ ตํ วิทฺวา อนูพรูหเย
อดีตดับไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง
จึงไม่ควรคำนึงถึงอดีต ไ่ม่มุ่งหวังอนาคต พึงเจริญวิปัสนาญาณให้รู้
แจ้งสภาวะธรรม ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนั้นๆ อันตัณหาทิฏฐิไม่อาจฉุดรั้ง
และทำให้วิบัติได้
( ม.อุ.๑๔.๒๗๒. ๒๔๑)

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มรรคสัจ ความจริงคือคือทางสู่ความดับทุกข์

อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ . อยเมว อริโย อฏฐงิคิโก มคฺโค . เสยฺยถีทํ . สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ. อริยมรรคมีองค์ ๘ ทั้งหมดนี้สามารถรวมเข้า ใน ศีล สมาธิ ปัญญา
สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นเข้าใจเกี่ยวกับทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์และทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ ดังนั้น สัมมาทิฏฐิจึงเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
ในคัมภีร์อรรถกถา ได้กล่าวถึง ทุกขสัจและสมุทัยสัจ ว่าเป็นความจริงเกี่ยวกับวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิด(วัฏฏะสัจจะ)ส่วนนิโรธและมรรคสัจเป็นความจริงเกี่ยวกับวิวัฏฏะคือการออกจากวัฏฏะ (วิวัฏฏะสัจจะ) ด้วเหตุดังกล่าว ผู้ปฏิบัติธรรมพึงกำหนดรู้วัฏฏสัจจะคือทุกข์และเหตุของการเกิดทุข์อันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาเท่านั้น ไม่ควรกำหนดรู้วิวัฏฏสัจจะเพราะเป็นสิ่งที่ปุถุชนยังเข้าไม่ถึง(บุคคลที่ยังไม่บรรลุอนุโลมญาณจะไม่สามารถรับเอามรรค ผลและนิพพานเป้นอารมณ์ของวิปัสสนาได้เลย เพราะยังมิได้ประจักษแจ้งสภาวธรรมเหล่านี้ ดังนั้นการพิจารณาพระนิพพานเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาจึงไม่ถูกต้อง อนึ่งอุปมานุสสติที่เป็นการระลึกถึงความสงบของนิพพาน จัดเป็นการน้อมลักษณะของนิพพานคือความปราศจากราคะ(วิราคะ) เป้นต้น มาพิจารณาเพื่อให้เกิดสมาธิเท่านั้น ไม่อาจนำไปสู่มรค ผล นิพพานได้โดยตรง เเละเป็นกัมมัฏฐานที่เหมาะแก่พระอริยเท่านั้น
ในคัมภีร์อรรถกถา(ที.อ.๒. ๔๑๔ )กล่าวไว้ว้่าผู้ปรารภความเพียรได้เรียนรู้จากวิปัสนาจารย์โดยย่อว่า ขันธ์๕ เป็นทุกขสัจ ตัณหาเป้นสมุทัยสัจ หรือโดยละเอียดว่า ขันธ์ ๕ ประกอบด้วย รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิณญาณ และในบรรดารูปขันธื ๕ ทั้งหลายเหล่านั้นประกอบด้วยมหาภูตรูปและอุปาทยรูป เป็นต้น แล้วท่องจำ หลังจากนั้นพึงกำหนดรู้สัจจะ ๒ อย่างแรกเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาส่วนสัจจะที่เหลือคือ นิโรธสัจ เเละ มรรคสัจไม่จำเป็นต้องกำหนดรู้เพียงแต่เข้าใจวาสัจจะทั้งสองเป็นภาวะที่น่าเลิศน่าปราถนาพอใจก้นับว่าเพียงพอแล้ว

หยุด ตัวเดียว คือสำเร็จ

ยถาปิ มูเล อนุปทฺทเว ทฬฺเห
ฉินฺโนปิ รุกฺโข ปุนเรว รูหติ
เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต
นิพฺพตฺตติ ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุนํ.
เมื่อรากปราสจากอันตรายมั่นคงอยู่
ต้นไม้ที่ตัดแล้วย่อมกลัลงอกขึ้นได้ ฉันใด
เมื่อบุคคลยังถอนเชื้อตัณหาไม่ได้ ทุกข์นี้ย่อมเกิดขึ้นบ่อยๆ ฉันนั้น

ละตัณหาได้ ไม่ต้องเกิด

ตัณหาที่ก่อให้เิกิดภพใหม่
ตัณหาทีลักษณะที่ทำให้เพลิดเพลินและผูกพัน ผู้คนจึงมักจะเพลินเพลินในภพและอารมณ์ต่างๆที่ๆด้มา อีกทั้งต้องการความถาวรการตั้งอยู่ของสิ่งเหล่านั้นที่ได้มา เพื่อการที่จะได้สมอารมณ์ตามต้องการ เจตนาหรือกรรมเหล่านี้มัีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมตามสมควรซึ่งเป็นสิ่งก่อให้เกิดภพใหม่
เมื่อบุคคลใกลล้จะตาย จะมีกรรมอารมณ์ทั้งดีและชั่วบางครังเรียกกรรมคตินิมิต (ความคิดอย่างหนึ่งอย่างใด ที่เกี่ยวข้องกับกรรม(การกระทำ)ในอดีตหรืออาจจะมีคติแห่งภพใหม่ที่ผลของกกรรมจะนำไปเกิด
กรรมอารมณ์หรือกรรมนิมิต หรือ คตินิมิตซึ่งปรากฏแก่บุคคลในขณะใกล้เสียชีวิต จะถูกตัณหายึดมั่นไว้จนไม่สามารถสลัดออกจากใจได้ อุปมาเหมือนเงาของภูเขาที่แผ่ปกคลุมแผ่นดิน กรรมอารมณ์ กรรมนิมิต เเละคตินิมิต ก็แผ่คลุมจิตใจในขณะใกล้เสียชีวิต (มรณาสันนชวนะ หรือ ชวนจิตใกล้ตาย หรือ อภิสังขารวิณญาณ คือ จิตปรุงแต่ง ปฏิสนธิ )
พุทธพจน์ในอังคุตตรนิกาย ความว่า "อิติ โข อานนฺท กมฺมํ เขตตํ .วิญฺญาณํ พีชํ. ตณฺหา เสนฺโห. อานนท์ ด้วยเหตุนี้เเล กรรมจึงชื่อว่าไร่นา วิญญาณจึงชื่อว่าเมล็ดพืช ตัณหาจึงชื่อว่าความชุมชื่น" อธิบายว่า จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วเปรียบเสมือนไร่นาอันเป็นที่เพาะปลูก อภิสังขารวิญญาณคือจิตปรุงแต่งปฏิสนธิ ที่ประกอบด้วยเจตนาในขณะใกล้เสียชิวิตซึ่งเหมือนกับเจตนาในขณะทำกรรมครั้งก่อนเหมือนเมล็ดพืช ตัณหาคือความเพลิดเพลินในภพและในอารมณ์ต่างๆเหมือนฝนเหมือนความชุ่มชื่น ในขณะใกล้เสสียชีวิตนั้นชวนจิตปรุงแต่งปฏิสนธิได้รับเอาอารมณ์ กรรมนิมิตเเละคตินิมิตเป็นอารมณ์ อีกทั้งตัณหาที่พอใจในกรรมอารมณ์
เป็นต้น ย่อมก่อให้เกิดปฏิสนธิจิตในภพใหม่ด้วยการอุปถัมภ์ของชวนจิตดังกล่าว
การเกิดใหม่เกิดได้ปัจจัย ๒ ประการ คือ กรรม และตัณหา ลำพังเเพียงกรรมไม่อาจนำไปสู่การปฏิสนธิได้ เพราะไม่มีตัณหาเป็นเครื่องอุปถัมภ์ค้ำจุน ดังนั้น พระพุทธองค์จึงไม่ตรัสว่าเหตุให้เกอดทุกข์คือกรรม แต่ตรัสว่าตัณหา เพื่อแสดงถึงมูลเหตุของการเกิดความทุกข์

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สติกับปัญญา

สตินั้นสำคัญเท่ากับปัญญา ถ้าไม่มีสติเเล้ว ปัญญาจะกลายเป้นความโง่ หรือว่าปัญญาจะกลายเป็นอันตราย ปัญญากับสติจะต้องไปคู่กันเสมอ