วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อรรถกถา ปาลิเลยยสูตรที่ ๙

ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะกัน

บท ว่า จาริกํ ปกฺกามิ ความว่า ในคราวที่ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะกัน วันหนึ่ง พระศาสดาจึงทรงนำเรื่องของพระเจ้าทีฆีติโกศลมาแล้วตรัสสอนด้วยพระคาถาทั้ง หลายมีอาทิว่า ไม่ว่าในกาลไหนๆ ในโลกนี้ เวรทั้งหลาย ไม่ (เคย) ระงับด้วยเวรเลย. วันนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังทะเลาะกันอยู่ ราตรีก็สว่างแล้ว แม้วันที่สองพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรื่องนั้นซ้ำอีก. แม้วันนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นยังคงทะเลาะกันอยู่เหมือนเดิม ราตรีก็สว่างแล้ว ถึงวันที่ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังตรัสเรื่องนั้นซ้ำอีกแล.

พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปองค์เดียว

ครั้น แล้ว ภิกษุรูปหนึ่ง จึงได้กราบทูลกะพระองค์อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงขวนขวายน้อย หมั่นประกอบการประทับอยู่เป็นสุขในปัจจุบันอยู่เถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจักปรากฏ เพราะความบาดหมาง ทะเลาะวิวาทกันครั้งนี้เอง พระศาสดาทรงดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้มีจิตถูกโทสะครอบงำแล้วแล เราตถาคตไม่สามารถจะไกล่เกลี่ยโมฆบุรุษพวกนี้ให้ยอมกันได้เลยดังนี้แล้ว ทรงดำริ (อีก) ว่า ประโยชน์อะไรของเราตถาคตกับโมฆบุรุษเหล่านี้ เราตถาคตจักอยู่ด้วยการเที่ยวจาริกไปคนเดียว. พระศาสดาทรงดำริอย่างนี้แล้ว รุ่งเช้าครั้นทรงชำระพระวรกายเรียบร้อยแล้ว จึงได้เสด็จ (ออก) เที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี มิได้ตรัสเรียกใครๆ (ให้ตามเสด็จไปด้วย) พระองค์เดียวเท่านั้นเสด็จหลีกจาริกไปไม่มีเพื่อนสอง. พระเถระกล่าวคำนี้ว่า ยสฺมึ อาวุโส สมเย ก็เพราะท่านได้ทราบการเสด็จเที่ยวไปของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหมดว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จหลีกไปกับภิกษุรูปเดียว วันนี้จักเสด็จหลีกไปกับภิกษุสองรูป วันนี้จักเสด็จหลีกไปกับภิกษุ ๑๐๐ รูป วันนี้จักเสด็จหลีกไปกับภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป และวันนี้จักเสด็จหลีกไปเพียงลำพังพระองค์เดียว คือการเสด็จเที่ยวไปของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหมดปรากฏ คือแจ่มแจ้งแก่พระเถระนั้น.

...

ขณะนั้น พระองค์เกิดพระดำริขึ้นว่า สุขแท้หนอที่เราตถาคตอยู่แยกจากภิกษุผู้ก่อความบาดหมางกันเหล่านั้น. ฝ่ายช้างพลายก็คิดถึงเหตุเป็นต้นว่า ไม่มีช้างเหล่าอื่นคอยเคี้ยวกินกิ่งไม้ที่เราโน้มลง แล้วเกิดความคิดขึ้นว่า สุขแท้หนอที่เราอยู่ช้างเดียว เราได้ทำวัตรถวายพระศาสดา. พระศาสดาตรวจดูพระดำริของพระองค์แล้วทรงดำริว่า จิตของเราตถาคตเป็นเช่นนี้ก่อน จิตของช้างเป็นเช่นไรหนอแล ทรงเห็นจิตของช้างนั้นเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน จึงทรงดำริว่า จิตของเราทั้งสองเหมือนกันดังนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า จิตของช้างตัวประเสริฐผู้มีงางอน กับจิต อันประเสริฐ (ของเราตถาคต) นี้ ย่อมเข้ากันได้ (และ) ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้ายินดีอยู่ในป่า (จิต ของเขากับจิตของเราตถาคตย่อมเข้ากันได้ทั้งนั้น)

อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณาสก์ ขัชชนิยวรรคที่ ๓

1 ความคิดเห็น: