วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

สุขด้วยปัญญา

สุขด้วยปัญญา คนเราถ้ายอมรับความจริงได้ก็สุขใจขึ้นได้มาก วางใจให้ถูก ที่จริงแล้วการใช้ชีวิตไม่ต้องให้ใครมาบอกมาสอน วันที่เรามีเงินในบัญชีติดลบหรือเหลือค้างบัญชีไม่เท่าไหร่ภาวนาว่าให้รอดสิ้นเดือน เราจะทำอย่างไร ถึงเวลาที่จะต้องปรับตัวหรือยัง ลดความอยากลง ในยามที่เรามีเงินมีกำลังพอที่จะควักเงินซื้อของบริโภคได้เราก้สนองความอยากด้วยการซื้อมาไว้ครอบครอง ในวันที่ไม่มีกำลังทรัพย์ เราต้องปรับความอยากล มองหาความสุขจากสิ่งใหม่ บางทีความสุขนั้นอาจอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ไม่ว่าเราจะเจอวิกฤตแค่ไหนถ้าเรายังรักษาใจให้คงที่สมบรูณ์ได้ถือว่าสุดยอดแล้ว คนเรามักเจอกับปัญหาอยู่เสมอจะเล็กจะใหญ่ก็ไม่อยากเจอถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้เราต้องหลีกเลี่ยงความคิด๒อย่างนี้ให้ได้ ถ้าหลีกเลี่ยงได้เราก็จะทนทายาทถือว่าอยู่ได้ไม่มีปัญหาสบายมาก ๑.ไม่ยอมรับความความจริง ๒.ความกังวล ความพอใจนี้เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรายังหาความพอใจให้ชีวิตไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าเราจะเหนื่อยกันอีกนานไหม ไม่รู้ว่าจะจบกันอย่างไรบางทีจนตายก็ยังหยุดพอไม่ได้ ตักน้ำใส่ถังถ้าถังมันรั่วมันก็ไม่มีวันเต็ม ใจที่ไม่รู้จักพอจะแสวงหามาตอบสนองเท่าใดก็ไม่รู้จักอิ่ม เราเองก็ไม่รู้ว่ามันจะหยุดพอเมื่อไหร่ ถ้าตามใจอย่างนี้ไปเรื่อยๆเราก็ต้องเหนื่อยหน่อยที่จะออกหาอาหารมาเติมเต็ม อาตมาก็นึกถึงคำว่าว่าคนไม่มีเมืองพอ นักธุรกิจบางคนขายหุ้นได้ ๒๐ ล้าน เขากลับรู้สึกเสียใจ เพราะว่าเขาตัดสินใจขายหุ้นเร็วเกินไปเพราะถัดจากวันนั้นปรากฏว่าหุ้นขึ้น ถ้าเขายังรออีกนิดเขาจะได้กำไรเพิ่มอีก ๕๐ ล้านแกผิดหวังในตัวเองไม่พอใจ เทียบกับตามีตาสีถูกหวย ๔๐๐๐ บาททั้งกระโดดทั้งเต้นดีใจไปทราบว่าอีกคนถูกมากกว่า ๑๐.๐๐๐ก็ไม่พอใจเป็นทุกข์อีกหาว่าเขาถูกมากกว่า ไม่พอใจ จะมีหุ้น๒๐ ล้าน ถูกหวย ๔,๐๐๐ กับเงินค้างบัญชีไม่ถึงสิ้นเดือนมันก็ทุกข์เหมือนกัน ไม่ยอมรับความจริงต่างคนก็ต่างกังวล มองหาความสุขที่ไหนไม่ได้ก็กลับมาหาตัวเรา เวลาเรานั่งทบทวนชีวิตเรานึกถึงความดีหรือความชั่วได้มากกว่ากัน บางพอบอกให้ทบทวนอดีตตัวเองภาพอกุศลปรากฏขึ้นปานดอกเห็ด นึกความดียากมากเหลือเกิน นึกถึงความสุข บุญกุศลไม่ได้ ในชีวิตเราเคยทำเคยสร้างความดีอะไรไว้ให้ตัวเองภูมิใจสำคัญอยู่นะ อย่างน้อยเวลาใกล้ตายใจยังพอนึกถึงเป็นกุศลเป็นปิติพอจะเห็นสุคติได้บ้าง ความสุขง่ายๆของคนเราเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ เกิดจากความไม่มีโรค เกิดจากความไม่มีหนี้ ในยุคนี้เราได้ใช้จ่ายทรัพย์สินเงินทองซื้อความสะดวกสบายก็ต้องปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิต คนจะเก่งจะไปรอดไม่รอด วัดกันอยู่ที่การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ถ้ายังมองว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างนี้อีกสักปีสองปี ต้องรู้แล้วว่าประมาทไม่ได้การใช้จ่ายทรัพย์สินสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้ ปัจจัยการดำรงชีพต้องเปลี่ยน ถึงยุคออมยุคประหยัด ทุกวันนี้เรากังวลกับปัยหาเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม มันกระทบเราโดยตรงทั้งนั้น เราคนเดียวยังพอไหว ไหนจะพ่อแม่ครอบครัวลูกเมียภาระหนักอึ้งมองไปหาใครที่ไหนไม่ได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง แก้พฤติกรรมของเรา พฤติกรรมการบริโภค จับจ่ายใช้สอย ไม่ว่าจะเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี ถ้าเราพอประมาณได้เราก็อยู่รอด การเมืองถ้าเราตามหน้าที่ยอมรับเคารพกันก็ไม่ใช่ปัญหา สิ่งแวดล้อมเราต้องใช้ให้ถูกใช้ให้ประหยัด มีความรับผิดชอบ เรียบง่าย สบาย ไม่กังวล ทำไมถึงต้องอยู่กับปัจจุบัน ทำไมเวลาพระเทศน์ถึงบอกให้เราอยู่กับปัจจุบัน เคยรู้ไหมว่าปัจจุบันดีอย่างไร ปัจจุบันคือความจริง ความจริงอย่างที่เราเป็นอยู่ คิดอะไรก็รู้ เห็นความคิด รู้เท่าทันความคิด ทำอะไรก็รู้ ถ้าเราไม่อยู่กับปัจจุบันไปอยู่กับอนาคตกลายเป็นหลักลอย ฝันเลื่อยลอยเรื่อยไร้จุดหมาย เวลาคิดถึงอนาคตคิดอย่างไรคิดถึงความเป็นจริง ไม่ใช่คิดเพ้อเจ้อ ถามเราว่าปัจจุบันกับอนาคตอะไรสำคัญที่สุด มีคนสองคุยคุยกันไปกันมา ความคิดไม่ตรงกันมันออกรสออกชาติ เริ่มมีเสียงขึ้น คนหนึ่งจับได้มีดฟันอีกคนหัวแบะไป เพราะตามความคิดไม่ทันไม่อยู่กับปัจจุบัน เรามีความสุขเวลาโบนัสออกเงินเดือนออกหรือความสุขเรามีแค่นั้นแล้วตอนที่เราอยู่บ้าน อยู่กับพ่อกับแม่ ทำงานไม่มีความสุขเลยหรือ เราคิดว่าเรียนจบแล้วมีงานทำจึงจะมีความสุข เรียนจบสูงๆเป็นดร.อย่างนั้นหรือ บางทีเราลืมไปว่าปัจจุบันเราก็มีความสุขได้ อย่างภาพยนตร์เรื่องลัดดาแลนด์ เขาสอนให้เข้าใจชีวิตหลายอย่าง มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผู้ชายคิดว่าภรรยามีชู้แล้วก็เกิดภาพตัวเองยิงภรรยา นั่นคือความคิดมันหลอกเรา เราต้องตามให้ทัน ครอบครัวนี้โดนพิษเศรษฐกิจเล่นงาน ยอมรับความจริงไม่ได้ ตามหาหาความสุขอยู่ปลายฟ้า มีทั้งความไม่เข้าใจความรักความฝันแต่หลายๆอย่างก็ทำให้ครอบครัวนี้พังลง ในพุทธประวัติมีนิทานท่านผูกไว้ว่าเรื่องลุงกับหลานมาบวชพระหลานไปปรนนิบัตหลวงลุง พัดวีหลวงลุงอยู่ พระหลานพลางก็คิดไปว่ามีโยมมาถวายผ้าจีวรเนื้อดี ๒ ผืน ผืนหนึ่งให้เราผืนหนึ่งให้หลวงลุง คิดไปต่างๆนานาก็คิดไปอีกว่าสึกไปมีครอบครัวดีกว่าคงดี นึกต่อไปจนจับได้ว่าภรรยามีชู้ด้วยความโมโหจึงตีเมีย มือที่ถือด้ามพัดอยู่นั้นก็เขกโป๊กใส่หัวหลวงลุง เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าอนาคตก็อย่ากังวลมากนัก สติสมาธิจึงเป็นอุปการะอย่างมากในชีวิตที่จะทำให้เราอยู่กับปัจจุบันได้เข้าใจปัจจุบันได้ ช่วงนี้แม้ว่าเงินในกระเป๋าจะน้อยลง ไม่เหมือนเมื่อตอนที่กระเป๋าตุงสามารถเดินห้างได้บ่อย ซื้อของได้ตามต้องการ ก็ลองหันมาใส่ใจอย่างอื่นหันมาทำกิจกรรมใหม่ เดินเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม ให้ดีจริงๆลองปฏิบัติธรรมฝึกหัด กาย วาจา ใจดูบ้างว่าจะพบความสุขเหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้หรือไม่ลองดู...ลองดี ลองทำดี ลองดี ลองดู...

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

ส่องใจ ส่องธรรม

ดอกไม้ที่ผลิบานสวยงามยามเมื่อได้รับแสงอรุณ ชีวิตคนเราก็เหมือนกันเมื่อน้อมธรรมะมาปฏิบัติจึงจะเป็นชีวิตที่เจริญ การได้รู้จักตัวเองด้วยการหมั่นสำรวจอกุศลในใจ หมั่นปฏิบัติขัดเกลาจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอกิเลสนี้ก็จะค่อยเบาบางลง ความหยาบกระด้างของนิสัยก็จะอ่อนลง ทำให้กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต อันที่จริงการที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมทั้งหลายแก่มหาชนชาวโลกอย่างเรา ก็เพื่อหวังจะอนุเคราะห์ให้คนเราได้รับประโยชน์จากการมีชีวิตอยู่ในโลกที่มีเวลาเพียงน้อยนิด ไม่ให้คนเราประมาทคลาดจากธรรมหรือประโยชน์พึงได้จาการอยู่ในโลกนี้ โลกเราหากไร้ศีลธรรม ไม่มีความละอายไม่พากันเกรงกลัวต่อผลของบาปอกุศล มันก็อยู่กันยากที่บอกกันว่าให้ทุกคนปฏิบัติธรรมคือคือบอกให้ทุกคนสอนตัวเอง อบรมตัวเอง พัฒนาตัวเองให้เป็นผู้เจริญ หากเรารู้อยู่แล้วว่าเรายังมีความหลงมากอยู่ มีกิเลสมากอยู่ ก็ต้องน้อมธรรมที่เป็นเหตุให้เราเป็นผู้เจริญมาปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจให้สะอาดยกคุณภาพชีวิตของเราให้สูงขึ้น ถ้าเรายังมัวชี้โทษคนอื่นแต่เราไม่รู้จักชี้โทษตัวเราเอง คนอื่นก็ได้ปัญญาไปส่วนตัวเราก็ยังต้องวุ่นวายต่อไป ปัญญาที่มีให้เราน้อมเข้ามาสอนตัวเอง คนเรานั้นจะบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา เห็นธรรมได้ด้วยปัญญา เงินซื้อนิพพานของพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ละคนให้รู้จักหน้าที่ของตัวเอง การทำหน้าที่ของตัวองคือการปฏิบัติธรรม ประพฤติกายให้สุจริต วาจาให้สุจริต ใจให้สุจริต การงานที่ตัวทำนั้นให้สะอาดคือการประพฤติธรรม เป็นครูให้เป็นครูที่ดี เป็นลูกเราก็ต้องเป็นลูกที่ดี เป็นพระก็ต้องเป็นพระที่ดีเป็นพ่อแม่ก็ต้องเป็นพ่อแม่ที่ดี คนเรานั้นเกิดมามีหน้าที่การงานของตนอยู่แล้วอย่าไปละเมิดผู้อื่นก็คือการประพฤติกายให้สุจริต ไม่อาฆาตพยาบาทปองร้ายคิดละโมบโลภของผู้อื่นก็คือประพฤติมโนสุจริต การะทำต่อกันด้วยเมตตา เราประพฤติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างนี้โลกเราก็อยู่สบาย อยากสบายก็อย่าทิ้งธรรมะ ศีลตัวสำคัญทำให้โลกเราเจริญ เจริญในศีลคือใจเราเจริญไม่ใช่วัตถุเจริญ มีความสุขสบายใจ ไม่มีการฆ่าการเบียดเบียน ไม่ว่าร้ายไม่ทำร้ายไปที่ไหนก็มีความสุข อยู่สบาย ขับรถอยู่มันก็สบายเรียนก็มีความสุขต่อให้อยู่ในที่ลำบากตกอยู่ในที่จนก็มีความสุขถ้ามันรู้จักพอประมาณ ทุกคนพึงสังวรตัวเอง พิจารณาตัวเองนั่นแหละเรื่องดี โลกเราจะอยู่สบายขึ้นถ้าเราอยู่กันด้วยธรรม บางช่วงเวลาชีวิตเรามีปัญหามาก ต้องยอมรับและเข้าใจให้ได้ไม่อย่างนั้นมันทุกข์อยู่ให้ได้จะหนักจะเบาท่องไว้ว่าไม่เป็นไรทนได้สบายมาก อย่าแพ้ใจตัวเอง บางคนตัดสินใจชั่วครู่เดียวทิ้งทุกอย่างในโลกนี้ หากเราเข้าใจว่าชีวิตเรามันสำคัญมากมีค่ามากว่าเงินทองชื่อเสียงหน้าตา หลายคนก็จะไม่ทำอย่างนั้น บางทีเราอย่าไปตัดสินใจว่าไม่ได้ดั่งหวังมันคือจุดสิ้นสุดของชีวิตไม่ใช่ สิ่งที่เรามี สิ่งที่เราได้มามันเกิดขึ้นเพราะธรรมชาติการที่มันจะดับไปมันก็จะดับไปเพราะเหตุของธรรมชาติ ตัวเราก็ธรรมชาติมาได้ก็เพราะธรรมชาติ ธรรมชาติของโลกมันมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น มันไม่หนีจากเรา เราเองก็จะต้องหนีจากมัน เรื่องของเรื่องก็คือเรื่องของธรรมดา ทีว่ามานี้ก็ว่าเรื่องของธรรมดา ธรรมก็คือของธรรมดา พระพุทะเจ้ารู้ของธรรมดา พิจารราให้แจ่มแจ้งมันเป็นอย่างนั้น ขอให้เราเห็นตามนั้น ไม่ใช่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น รู้ดูมันเฉยๆ ชีวิตที่มันวุ่นวาย น้ำที่มันมีคลื่นก็ให้ดูมันเฉยๆอย่าเอาใจของเราไปห้ามมันให้หยุดไหล สุข-ทุกข์เกิดขึ้นมันจึงจะเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้น ใจเราก็สงบ “ยถาภูตญาณทัศนะ” รู้เห็นตามความเป็นจริง ปัญญามันก็เกิด เดินไปตามทางสายนั้น ทางแห่งปัญญาจึงจะเข้าถึงจุดหมาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าคนที่เข้าถึงนิพพานมีน้อยส่วนคนหมู่มากก็ไม่ได้ไปไหนเพียงแต่พากันเดินวนไปวนมาตามริมฝั่งนั้นนี้เอง ผลมีอยู่แล้ว ตัวเราต้องสร้างเหตุให้เกิดขึ้น มรรคคือหนทางนั้นก้มีอยู่ ถ้าเราละเลยเหตุผลก็ไม่เกิด ธรรมก็ไม่เกิดผู้เห็นก็ไม่มีผู้เห็นตามพระพุทธเจ้าก็ไม่มี เราต้องสร้างชีวิตเราให้เป็นชีวิตที่อุดมไปด้วยมงคลชีวิตที่ประเสรฐิคือชีวิตที่ประพฤติธรรมให้สุจริต

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เห็นผิด ต่อ ธรรมดา

คำว่า "สัมมาทิฏฐิ" คือความเห็นชอบ เห็นถูกต้อง ถ้าไม่เห็นชอบเห็นถูกต้องเรียกว่า "มิจฉาทิฏฐิ"
พระพุทธเจ้าแสดงสัมมาทิฏฐิครั้งแรกในปฐมเทศนา เพื่อแสดงให้เห้นว่าความเห้นที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นปัญหาว่ามนุษย์ส่วนมากยังเห้นกันไม่ถูกต้อง เวลาเราไปศึกษาพุทธประวัติ เวลาที่ผู้คนเดินทางไปกราบหว้พระพุทธเจ้า ผู้คนทั้งหลายต่างเอาความทุกข์ของตนบ้างของผู้อื่นบ้างไปให้พระพุทธเจ้าแก้ให้และพระพุทธเจ้าก็มีพระเมตตาแก้ข้อปัญหานั้นๆให้
ไม่ใช่ว่าเราเป็นทุกข์คนเดียวในโลกนี้ ผู้คนในโลกนี้ต่างก็มีความทุกข์เช่นเดียวกัน ทุกข์มากทุกข์น้อยมันก็เป็นทุกข์ไม่สบายใจ คนเราแก้ทุกข์เองไม่เป็นแต่การหาเรื่องหาทุกขืมาใส่ตัวเก่งนัก
เรานั้นเห้นว่าอะไรเป้นความสุขความพอใจของเรา เราก้ต้องการ ส่วนอะไรไม่เป็นความสุขความพอใจของเรา ตัวนั้้นเราก็ไม่ต้องการ ความเห้นของเราอย่างนี้ยังไม่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ บางทีความอยากความพอใจของเราเป็นความอยากที่ขัดธรรม บางทีสิ่งที่เราไม่ต้องการไม่พอใจเป็นสิ่งดีเป็นธรรมเสียอย่างนี้ ทำให้เรารู้สึกฝืนใจตัวเองอยู่เสมอ
การปฏิบัติคือการข่มใจทรมานใจซึ่งครูบาอาจารย์ก็สอนอย่างนี้ไม่ให้ตามใจไปเสียหมด มันเลยทำให้เรารู้สึกฝืนใจเราเกิดความไม่พอใจในการประพฤติปฏิบัติ พอพูดถึงเข้าวัดปฏิบัติธรรมก็เลยพากันเอียนส่ายหัวเบื่อวัดกัน ถ้าเราเข้าใจการปฏิบัติอย่างนี้มันก็น่าสงสารอย่างที่ความทุกข์ก็ไม่หมดการอบรมใจตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องฝึกปฏิบัติให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องเพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติได้ถูกต้อง
เรื่องของความจริงมันก็คือความจริง สิ่งที่เป็นธรรมชาติคือธรรมชาติมีอต่ความเห็นความคิดของเราที่ขัดต่อธรรมชาติ ความทุกข์ของเราอย่าไปแก้ที่ไหนไกลให้แก้ใจของเราก่อน สร้างความเห้นที่ถูกต้องขึ้นมาก่อน มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง
เหตุผลของคนเราอาจมีมากมายมีมากมีน้อยแตกต่างกันไป แต่เหตุผลของเราอาจไม่ใช่แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องก็เลยแก้ทุกข์ให้ตัวเองไม่ได้
ธรรมดาของโลกคือความสุขความทุกข์ไม่มีค่า ท่านไม่ใส่ความสำคัญหรือราคามาตรวัดต่อความยินดีพอแต่อย่างใด ความพอใจไม่พอใจเกิดจากการที่เราเอาความคิดไปปรุงแต่งให้ราคาความสำคัญต่อสิ่งนั้น โลกนี้ถ่าเราปรุงแต่งทุกข์ก็จบไม่ได้
ก้อนหินถ้ามันจะหนักก้ต่อเมื่อเราไปหยิบมันขึ้นมา ถ้าเรารู้เราเห็นแล้วไม่ไปหยิบมันขึ้นมาใส่บ่ามันก็ไม่ลำบาก เราก็แค่มีหน้าที่รู้มันว่าเป้นก้อนหินแค่นั้น
แต่ด้วยความที่คนมันโง่ก้มักจะเห็นความพอใจยินดีของตนว่าน่ารักใคร่น่าปราถนา พอได้มาเเล้วเป็นอย่างไรเล่า หายทุกข์ไหมพอสิ่งนั้นมันกลายเป้นของร้อนขึ้นมา ดับไฟไม่เป็น วิ่งหาคนช่วยดับบ้งก้เอาน้ำมันมาเติมบ้างก็พลอยลุกไหม้ตามกันไปด้วย
สุขทุกข์เกิดขึ้นใจเราเป็นผู้รู้ ให้เรารู้ดูเฉยๆไม่ใช่ให้ไปวิ่งตาม การที่เราไปปรุงแต่งใส่ความยินดีพอใจไม่พอใจเป็นการต่ออายุความทุกขืในใจเรา
กิลสทั้งหลายทำให้ความสุขในชีวิตของคนเราลดลงการปล่อยวางทำให้ใจเราสะอาดเป็นการปัดกวาดชำระใจคือความก้าวหน้าในธรรมที่เจริญ

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มอบแด่แม่...จากลูกชาย

พระคุณแม่ยิ่งใหญ่ล้นฟ้า เหนือธาราสุดฟ้าหาใดเหมือน
เปรียบแผ่นดินให้ลูกได้ย้ำเตือน อย่าลืมเลือพระคุณท่านใหญ่อนันต์
เฝ้าฝูมฝักคอยถนอมกล่อมเลี้ยงลูก เฝ้าคอยปลูกความฝันหมั่นรักหนา
เฝ้าคอยรักลูกน้อยดั่งดวงตา เฝ้าห่วงหาลูกยามิลืมเลือน
เมื่อลูกน้อยเติบโตแข็งแรงกล้า ทิ้งมารดาให้โหยหาเฝ้าห่วงหวง
ลูกทั้งหลายชายหญิงคนทั้งปวง อย่าแชเชือนลืมห่วงแม่ของเรา

สุภัทรวาที

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ถอดเทปหลวงพ่อเทียนมาให้อ่าน

๑. นิพพานคืออะไร ?
นิพพานคืออะไร ? ว่าโดยย่อ “นิพพาน” หมายถึง ความพยศหมดไป หรือความมีมานะทิฏฐิหมดไป หรือความมีโทสะ โมหะ โลภะ หมดไป หรืออีกคำหนึ่งว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน หมดไป มีแต่ความเป็นปกติหรือว่างๆ นี่แหละคือ “นิพพาน”
“นิพพาน” แปลว่า หมดความร้อนมีแต่ “ความเย็นอกเย็นใจ” ไม่ใช่อื่นไกล นิพพานมีอยู่ในคนทุกคนไม่ยกเว้น จะเป็นผู้หญิงก็มีนิพพานอยู่เช่นนั้น จะเป็นผู้ชายก็มีนิพพานอยู่เช่นนั้น จะเป็นพระสงฆ์องค์เณรก็มีนิพพานอยู่เช่นนั้น คนไทย คนจีน คนฝรั่งเศส คนอังกฤษ คนอเมริกา คนเขมร คนญวน คนลาว ก็มีนิพพานเช่นเดียวกัน จะถือศาสนาไหน ลัทธิอะไรก็ตาม มีนิพพานเช่นเดียวกัน นิพพานคือความร้อนดับหมด มีแต่ความเย็นอกเย็นใจ คนโบราณจึงพูดว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” พระนิพพานก็อยู่ที่ใจ เพียงแต่ว่าคนนั้นแหละจะทำให้มรรค ผล นิพพาน ปรากฏเกิดขึ้นหรือไม่เท่านั้นเอง

๒. ปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้ถึงซึ่งกระแสพระนิพพาน ?
การปฏิบัตินั้นก็ไม่เหมือนกับคนอื่นที่พูดมา สำหรับตัวหลวงพ่อเองเคยให้ทาน เคยรักษาศีล เคยทำกรรมฐานมาพอสมควร แต่ไม่รู้ว่านิพพานอยู่ที่ไหน? คืออะไร?-ไม่รู้ เพราะไม่ได้ปฏิบัติอย่างนี้ การปฏิบัติอย่างนี้นั้น คือปฏิบัติให้มีสติอยู่กับการเคลื่อนไหวในทุกอิริยาบถแม้จะยกมือยกเท้าก็ให้มีสติรู้ (สมมติเอา)ที่หลวงพ่อทำอยู่เป็นประจำ พลิกมือขึ้น-ให้รู้สึก, คว่ำมือลง-ให้รู้สึก, ยกมือไป-ให้รู้สึก, เอามือมา-ให้รู้สึก, ก้มลง-ให้รู้สึก, เงยขึ้น-ให้รู้สึก, เอียงซ้ายเอียงขวา-ให้รู้สึก, กะพริบตา-ให้รู้สึก, ตาเหลือบซ้ายแลขวา-ให้รู้สึก, กลืนน้ำลายเข้าไปในลำคอ-ให้รู้สึก, หายใจเข้าหายใจออก-ให้รู้สึก, ให้มีสติติดตามความรู้สึกนี่เอง จิตใจมันนึกมันคิด-ให้รู้สึก เมื่อรู้สึกแล้วไม่ต้องยึดถือ ต้องปล่อยวางไป ทำอย่างนี้แหละ ความรู้สึกนั้นท่านว่าสัญญาคือความหมายรู้จำได้ เมื่อมีสัญญาความหมายรู้จำได้ญาณก็เข้าไปรู้ “ญาณ” แปลว่าเข้าไปรู้ เมื่อญาณเข้าไปรู้แล้วปัญญาก็รอบรู้ ทั้ง ๓ อย่างนั่นแหละ ประกอบกันเข้าเรียกว่าญาณของวิปัสสนา เกิดขึ้นให้แก่ผู้กระทำเช่นนั้น เมื่อญาณของวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้วก็เห็นแจ้งรู้จริงตามความเป็นจริง เพราะศึกษาอยู่กับธรรมชาติ นี้แหละศึกษาให้ได้กระแสพระนิพพาน ทำไมจึงได้กระแสพระนิพพาน ? อาจจะมีข้อสงสัย ก็เพราะรู้รูป รู้นาม รู้รูปทำ รู้นามทำ รู้รูปโรค รู้นามโรค รู้ทุกขัง รู้อนิจจัง รู้อนัตตา รู้สมมติ สมมติอะไรรู้ให้ครบให้จบให้ถ้วน แล้วก็รู้ศาสนา รู้พุทธศาสนา รู้บาป รู้บุญ รู้จริง ๆ ทำอย่างนี้ไม่ยกเว้น ใครทำก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ อย่างนี้เรียกว่าได้ ดวงตาเห็นธรรม เพราะเห็นตัวเรา กำลังนึก กำลังคิด กำลังพูด กำลังทำ นี่เรียกว่าเห็นธรรม เห็นอย่างนี้เห็นธรรมแท้ๆ ไม่แปรผัน

๓. เครื่องวัดว่าได้ต้นทางแล้วมีอยู่อย่างไร ?
มีอยู่คือ เห็นจิตใจมันนึกมันคิด มองด้วยตาไม่เห็น จับไม่ถูกด้วยมือ แต่รู้ได้เห็นได้ด้วยตาปัญญา เรียกว่า จักษุปัญญา เราเคยกะพริบตามาตั้งแต่เล็กๆ ไม่ใช่เกิดมาแล้วไม่กะพริบตา เพิ่งมากะพริบตาเอาวันนี้ ไม่ใช่ แต่เราไม่เคยรู้ ไม่มีสติตามรู้ได้ทัน ถ้ามีจักษุปัญญาแล้ว กะพริบตามันก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ กลืนน้ำลายลงคอก็รู้ จิตใจมันนึกมันคิดก็รู้ รู้แล้วก็สบาย ความโลภ ความโกรธ ความหลง ลดน้อยลงไป หรือถึงกับจะหมดไปก็ได้ นี่ล่ะคำว่าได้ต้นทาง คือรู้จิตใจมันนึกมันคิด เห็นจิตเห็นใจมันนึกมันคิดเรียกว่าได้ต้นทาง เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้จากการกระทำทางจิตทางใจ เราก็ต้องรู้จิตรู้ใจ เห็นจิตเห็นใจตนเองที่กำลังคิด จึงเรียกว่าได้ต้นทาง เป็นเครื่องหมายบอกให้ผู้ปฏิบัติรู้ได้อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา
ผู้ที่ได้ต้นทางแล้ว จะไม่ไหว้ผี ไม่เชื่อเรื่องฤกษ์งามยามดี ไม่เชื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เราจะรู้จะเห็น จะเข้าใจแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดมรรคผลนิพพาน มีภาษิตบทหนึ่งว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จะไปพึ่งคนอื่นไม่ได้ พึ่งผีก็ไม่ได้ พึ่งเทวดาก็ไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าก็พึ่งไม่ได้เช่นเดียวกัน

๔. ปฏิบัติต่อไปอย่างไรจึงจะลัดสั้นสำหรับผู้ที่ได้ต้นทางแล้วนั้น?
การปฏิบัติก็ ดูจิตดูใจที่มันนึกมันคิดนี่เอง เคลื่อนไหวไปมาโดยวิธีไหนก็ตาม เข้าห้องน้ำห้องส้วมก็ตาม ปฏิบัติได้ทุกลมหายใจเข้าออก กินข้าวกินน้ำก็ปฏิบัติได้ ทำการทำงานก็ปฏิบัติได้ เพราะมือทำงาน-ใจดูใจ มันนึกมันคิด เห็น รู้ เข้าใจ ผ่านไปไม่ต้องยึดถือ อย่างนี้แหละลัดสั้นที่สุด เพราะเราเป็นคนทำ อยู่ที่ไหนก็เราเองเป็นคนทำ การพูดเราก็เป็นคนพูด อยู่ที่ไหนเราก็พูดได้ การดูจิตดูใจมันนึกมันคิดก็เราเองเป็นคนดู อยู่ที่ไหนก็ดูได้ จึงพูดว่า ลัดสั้นที่สุด ไม่เลือกกาลเวลา ทำที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ และเป็นการกระทำที่ตรงเข้าไปสู่จิตใจ ต้องลัดตรงเข้าไปอย่างนั้น

๕. ที่สุดแห่งการเดินทางมีอะไรเป็นเครื่องหมายว่า ไม่ต้องไปไม่ต้องมาอีกแล้ว ?
เครื่องหมายอันนี้มองไม่เห็นด้วยตาจับไม่ถูกด้วยมือ คือมันขาดออกจากกันนั่นเอง ไม่มีการติดต่อกันจึงว่า ไม่ต้องไปและไม่ต้องมา เพราะติดต่อกันไม่ได้
ตอนนี้ก็มาพูดกันเรื่องสุดท้ายไม่ต้องพูดตามขั้นตอนก่อนที่จะตัดสินใจว่า ไม่ต้องไปไม่ต้องมา หลวงพ่อทำความรู้สึกตัว เดินกลับไปกลับมาตอนเช้า มันคิดก็รู้ มันเคลื่อนไหววิธีใดก็รู้ ดูอยู่แค่นั้นเอง เอาแต่ความรู้สึกตัวเท่านั้น มันนึกมันคิดอะไรก็รู้เท่ารู้ทัน รู้จักกันรู้จักแก้ พอดีเดินกลับไปกลับมา คล้ายเราถอดเสื้อหรือถอดของในตัวเรานี่ออกหมด แล้วก็เบากายเบาใจ มันเป็นขณะเดียวกันนะนี่ พูดให้ฟัง แต่มันเร็ว ขาดออกเป็นช่วงเลย แต่ไม่ใช่เป็นนิมิตอย่างนั้นอย่างนี้นะ มันเห็นตัวของตัวเองขาดออกจากกัน มันขาดอย่างเชือก คือธรรมชาติมันขาดออกจากกัน ติดต่อกันไม่ได้ จึงได้เปรียบเอาไว้ว่า เอาเชือกไนล่อนหรืออะไรก็ตามผูกปลายทั้งสองข้างดึงให้ตึง แล้วตัดตรงกลาง เมื่อตัดแล้วจะดึงเข้าหากัน มันไม่ถึง จึงว่าการไปก็ไม่มี การมาก็ไม่มี มันเข้าสู่สภาพของมัน รูปนี้มันก็เข้าสู่สภาพของมันแล้ว ใจนึก ใจคิด มันก็เข้าสู่สภาพของมันแล้ว อันนี้แหละที่ในตำรับตำราว่าถึงที่สุดแล้วญาณย่อมมี เพราะสัญญาความหมายรู้และจำได้ ญาณวิปัสสนาเข้าไปรู้ ปัญญาเข้าไปรอบรู้ ทั้ง ๓ อันนี้มันแว๊บเดียวเท่านั้นเอง เรื่องนี้ไม่ต้องไปถามใคร เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วรู้เอง เห็นเอง อันนี้แหละเป็นเครื่องวัดเป็นเครื่องหมาย แต่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา จับไม่ถูกด้วยมือ เรียกอีกอย่างว่า “หมดเชื้อ” นั่นเอง

๖. ธรรมะแท้เป็นสิ่งเดียวกัน
เราคงเคยได้ยินได้ฟังเขาพูดกันว่า พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียว ผมของพระองค์ไม่ยาวอีกต่อไป (ยาวอยู่แค่ 2 ข้อมือ) ก็เป็นเรื่องเดียวกัน ที่สุดแห่งการเดินทางนี้เป็นสิ่งเดียวกัน และสำคัญที่สุดทุกคนต้องประสพอย่างเดียวกัน เพราะทุกคนต้องตายแน่นอนที่สุด จึงพูดว่า ธรรมะแท้เป็นสิ่งเดียวกัน จะถือศาสนาไหนก็จะต้องเข้าถึงจุดนี้ แล้วแต่ใครจะทำ แล้วแต่ใครจะไม่ทำ นี่แหละการดูจิตดูใจจึงเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่สุด คำว่าอัศจรรย์ ก็คือสิ่งที่ไม่เคยเป็นก็เป็น สิ่งที่ไม่เคยมีก็มี การเป็นการมีอย่างนี้เป็นของที่อัศจรรย์มาก เพียงดูจิตดูใจเท่านั้นเอง ดังนั้น ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงมีอยู่ในคนทุกคนไม่ยกเว้น จะถือศาสนาไหนลัทธิใดก็มี เพราะทุกคนมีจิตมีใจ นี่แหละเป็นเครื่องวัดของนิพพาน นิพพานไม่ใช่การเข้าฌาณอย่างนั้นการเข้าฌาณอย่างนี้ ออกจากฌาณอย่างนั้นออกจากฌาณอย่างนี้ นั่นเป็นคำพูดของคนทั่วไป ใจความสั้นๆ ก็มีเพียงเท่านี้
ถ้าปฏิบัติอย่างที่แนะนำมา หากเรายังไม่พบเห็นในขณะนี้ ก็ต้องได้ประสพแน่นอน อย่างช้าก็ตอนใกล้หมดลมหายใจ อย่างนี้ท่านเรียกว่า มืดมาสว่างไป แต่ก่อนเราไม่รู้ บัดนี้เรารู้แล้ว จะไปไหนมาไหนจะทำ จะพูด จะคิด เราก็สว่างแล้ว
อีกพวกหนึ่ง มืดมามืดไป เพราะไม่สนใจจึงไม่รู้ เข้าโลงก็มืด มามืดไปมืด
อีกพวกหนึ่งสว่างมาสว่างไป คือพวกที่เกิดมาไม่เคยทำชั่ว เคยทำแต่ความดีงามแล้วก็เจริญวิปัสสนา รู้แจ้ง เห็นจริง จิตใจไม่เศร้าหมอง เรียกว่า สว่างมาสว่างไป เพราะจิตใจรู้จริง เห็นจริงนี่เอง
อีกพวกสว่างมามืดไป เขาเกิดในตระกูลอันดี พ่อแม่เคยฝึกเคยสอน สอนให้ให้ทาน รักษาศีล ให้มีจิตใจผ่องใส แต่ไม่เคยเจริญวิปัสสนา จึงไม่รู้แจ้งเห็นจริงไปจนตาย ท่านว่า สว่างมามืดไป
(จากแถบเสียง ท.๕๓ ม. นิพพาน)

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร: ตอน ฉลาดในการรักษาศีล (๑)

ศีล
ตามความเข้าใจของเราที่ปฏิบัติกันมาการขอศีลจากพระนั้นถือเป็นปกติของเราที่ประพฤติกัน โบราณเราก้ทำกันอย่างนี้ สอนให้เราขอศีลก่อนถวายทานเพื่อความบริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องรองรับบุญจะได้มีอานิสงสิ์มาก ต่อมาก็กลายเป็นพิธีกรรมระเบียบแบบแผนในศาสนพิธี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นแต่ปัญหาของศีลคือเราเข้าใจว่ารับศีลแล้วจะเป็นผู้มีศีลจะได้ไปสวรรค์กัน พากันรับแต่ศีลแต่ไม่เคยรักษาศีล เราเป็นพุทธศาสนิกชนต้องรู้และฉลาดในพิธีกรรมว่าการนั้นๆมุ่งหวังอะไร พิธีกรรมท่านบัญญัติไว้เป็นแนวให้เราเข้าใจแก่นของธรรมเพื่อเป็นวิถีทางให้เราปฏิบัติได้ถูกต้องเรามาติดกันตงที่รับศีลการปฏิบัติไม่มีก็เลยยุ่งกันใหญ่ ความสงบความไม่มีเวรก็ไม่จบ อานิสงสิ์ของศีลไม่เกิดขึ้น
เราจะรับศีล ๕ ศีล ๘ ก็ต้องให้รู้และเข้าใจหมายความของศีลด้วยว่าเราต้องมีปัญญาถ้าไม่มีปัญญาศีลก็รักษาให้ครบไม่ได้ เพราะศีลแต่ละข้อเราต้องฉลาดที่จะปฏิบัติด้วย ฉลาดที่จะทำให้เกิดมีถึงจะได้มรรคได้ผล
หลายคนรับศีลแล้วก็จบไป จบตรงนั้นคิดว่าได้บุญแล้วไปสวรรค์แล้ว อย่างนี้เรียกว่าไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นเก็เรียกว่าเห็นผิด การรักษาศีลไม่จบแค่นั้นศีลนั้นเป็นข้อปฏิบัติที่ต้องเกี่ยวข้องกับเราในชีวิตประจำวัน ต้องฝึกทำให้ได้มีไว้ประจำตัวเพื่อความเป้นผู้อยู่เป็นสุขไม่มีเวรภัยเกิดความสงบสุขในชีวิต ศีลที่ปฏิบัติถูกต้องนำมีอานิสงสิ์เห็นในปัจจุบันชาติไม่ต้องรอชาติไหน ผู้ล่วงละเมิดศีลก็เหมือนกันเห็นกันในชาตินี้เลย ย่อมอยู่ไม่เป็นสุข
เวลาเราพูดตามพระเราต้องตั้งใจให้มั่นเรียกว่ามีเจตนาเพราะศีลจะเกิดขึ้นได้ต้องมีเจตนาประกอบในทุกข้อ เจตนา หัง ภิกขเว สีลัง วทามิ ศีลนั้นต้องมีเจตนานำหน้าถ้าขาดเจตนาในตอนรับข้อปฏิบัติที่จะละเว้นคือศีลแต่ละข้อที่เรารับเอามาปฏิบัติข้อนั้นย่อมกลายเป็นโมฆะเราก็เป็นผู้ไม่มีศีล
การรักษาศีลก็ใช่แต่สักว่าจะรับเฉยๆแค่นั้นยังไม่เป็นผล อานิสงสิ์ไม่เกิดให้เห็นตามคำพระที่ว่า “สีเลนะ สุคติงยันติ สีเลนะ โภคะ สัมปทา สีเลนนะ นิพพุติง ยันติ ตัสสะมา สีลัง วิโสทะเย” อันนี้จะเกิดไม่ได้ถ้าเรารับมาเฉยๆไม่ปฏิบัติเหมือนเราไปหาหมอเอายามาระงับโรคเรารับยามา เราเอายามาวางไว้หัวนอน เอาไปกราบเสียอย่างนี้ไม่เอามากินโรคก็ไม่ทุเรา ศีลนั้นเป็นข้อปฏิบัติให้เป็นผู้มีความสุขตัวเรามีความสุขคนอื่นก็มีความสุข คนที่รักษาศีลชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข เมื่อเรารักษาศีลก็รักษาตนเองคือไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นไม่ก่อโทษก่อเวรให้ใครก็ได้ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วยเขาก็ไม่มีเวรกับเราเราก็ไม่มีเวรกับเขาตัวเราก็ได้ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วย ความเป็นเวรไม่มีเราก็มีความสุขในชีวิตแล้วเราก็เข้าถึงศีลที่ถูกต้อง
เราจะปฏิบัติศีลให้ถูกต้องก็ต้องเข้าใจศีลให้ดี “สีลํ โลเก อนุตฺตรํ” คำว่าศีลเป็นเยี่ยมในโลกเพราะการที่คนเรามีศีลก็คือปฏิบัติต่อกันด้วยธรรม ไม่ฆ่าไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้าย ทรมานให้เกิดความเดือนร้อน ศีลข้อที่ ๑ ก็มีอานิสงสิ์เห็นปานนี้เพราะไม่มีใครอยากโดนฆ่าอยากโดนรังแก เพราะปกติของมนุษย์ของสัตว์ย่อมปราถนาความอยู่สุขสบายไม่เดือดร้อน เราจึงต้องเว้นการกระทำทั้งหลายที่ก่อทุกข์ให้ผู้อื่นลำบากหรือเสียชีวิต ศีลแต่ละข้อนั้นเป็นข้อปฏิบัติเพื่อความเจริญธรรมของชีวิต เราควรกำหนดให้ดีว่าเราปฏิบิติศีลกันไหม ที่มันไม่สงบไม่เจริญก็คือคนไม่รู้จักศีลพูดกันจริงๆก็คือไม่เคยละความชั่วเลยดังนั้นความเจริญในตัวเราในบ้านเมืองเราก็ไม่เกิด
ศีลเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้เราฝึกตัวเอง การรักษาศีลให้ได้ดีต้องอาศัยปัญญาอบรมควบไปด้วย เพราะขาดปัญญาก็ไม่ได้คือใช้ศีลฝึกตัวเองส่วนปัญญาก็คือฉลาดในการปฏิบัติให้ถูกต้องเอาปัญญาเป็นตัวอบรมศีลสร้างศีลให้เกิดขึ้นในตัวเรา ความฉลาดในศีลก็คือเรารับศีลมาแล้วมีเจตนารับเอาศีลแล้วให้รู้จักป้องกันควบคุมหลีกเว้นสิ่งที่จะเป็นข้าศึกต่อข้อปฏิบัติของเรา ไม่คิดล่วงละเมิด การรู้จักสำรวมให้มาก
ถ้าเราอยู่ในสังคมก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยศีลไม่ว่าร้ายกล่าวร้ายทำร้ายต่อกัน การอยู่ในศีลให้เราไม่ละเมิดต่อผู้อื่นโดยเจตนามุ่งร้าย คิดที่จะทำร้าย กล่าวร้าย ทำร้าย
ความวุ่นวายของโลกที่ไม่สงบได้นั้นเพราะผู้คนละเมิดศีลกัน อาชญากรรม ลักทรัพย์ ผิดลูกผิดเมียก็เกิดจากการละเมิดศีลทั้งหลาย คนที่ไม่รักษาศีลท่านว่าไม่รักษาตนเมื่อไปละเมิดผู้อื่นความทุกข์ร้อนก็เกิดขึ้นที่เขาและผู้ถูกล่วงละเมิดมันก็ลามไปอย่างนี้ ศีลจึงเป็นข้อปฏิบัติของเราทั้งหลายเพื่อความสงบกายสงบใจไม่ก่อทุกข์ให้ใคร
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าศีลนั้นต้องมีเจตนาเพื่อให้การปฏิบัติในศีลนั้นบรรลุผล ดังมีเรื่องปรากฏ ในสมัยพุทธกาล ที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีคนงานเข้างานใหม่ไปทำงานตอนเช้ากลับเข้ามาปรากฏว่าในบ้านไม่มีใครทำกับข้าวอาหารลย เพราะวันนั้นเป็นวันพระ ทุกคนในบ้านถืออุโบสถศีลกันทุกคน คนงานใหม่นั้นไม่ทราบก็ไปถามหาอาหาร แต่พอได้ทราบว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถศีลคนงานและนายทุกคนในบ้านนี้พร้อมใจกันรักษาอุโบสถศีล คนงานใหม่ได้ฟังก็ปรารถนาจะรักษาอุโบสถศีลนั้นด้วย พอตกดึกโรคเก่ากำเริบกับทั้งความหิวก็บังเกิดขึ้น เพื่อนคนงานต่างก็บอกให้รัปประทานอาหารแต่พ่อคนงานใหม่ก็บอกว่าตัวเองตั้งใจแล้ว ไม่อยากล่วงละเมิดศีล สุดท้าย ก็ทนทุกขเวทนาไม่ได้ก็สิ้นใจไป ปรากฏว่าหลังจากเคลื่อนอัตภาพความเป็นมนุษย์ได้บังเกิดเป็นเทพบุตรที่ต้นไม้ใหญ่ ตรงนี้ท่านโบราณจารย์อธิบายว่าเป็นเพราะอานิสงสิ์ของการรักษาอุโบสถศีลเพียงครึ่งวัน เจตนาเป็นตัวทำให้ศีลนั้นสำเร็จธรรมะที่ต้องมีก่อนรักษาศีลคือต้องตั้งไว้ก่อนการรับศีล สมทานศีลคือ อิทธบาท ๔ อันจะเป็นตัวทำให้ศีลนั้นบริบรูณ์ไม่ด่างพลอย ทำให้ศีลมีกำลังขึ้นได้แก่
ฉันทะ ก่อนอื่นประการใดต้องมีศรัทธาก่อนเป็นที่ตั้งคือความสมัครใจปรารถนาที่จะยินดีรักษาศีลไม่ว่าจะเป็น เบญจศีลหรือ อุโบสถศีลก็ต้องตั้งใจเพื่อจะน้อมเอาข้อปฏบัตินั้นๆมาไว้ในใจ ให้เรารู้ว่าเรากำลังปฏิบัติศีลข้อนั้นหมวดนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้ความหม่นหมองเกิดขึ้น
วิริยะ เป็นคุณธรรมขั้นต่อมาอีกต่อจากความตั้งใจหรือพอใจที่รับเอาข้อปฏบัติมาแล้ว ก็ให้เราหมั่นเพื่อพิจารณาข้อปฏิบัตินั้นๆ กระทำให้เกิดขึ้นพื่อความเจริญแก่ตัวเอง ถ้าข้อไหนเรายังทำไม่ได้ก็พยายามสร้างให้เกิดมีอาศัยความเพียรก่อให้เกิดขึ้นแล้วก็รักษาข้อปฏิบัตินั้นไว้
จิตตะ ความตั้งใจมั่นในสิกขบทแต่ละข้อให้เราตั้งใจศึกษาให้ดี ให้ศึกษาในข้อปฏิบัติของตัวเองเพื่อให้เกิดวามมั่นคง
วิมังสา ให้เราหมั่นพิจารณาคุณของศีลแต่ละข้อให้แจ่มแจ้ง ฝึกใช้ปัญญาเสมอๆเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งมีความภูมิใจในข้อปฏิบัติของตน
การมีธรรมมะ ๔ ข้อนี้ก็เพื่อเป็นหลักให้สิกขาบทแต่ละข้อของเรานั้นหนักแน่น เปรียบเหมือนสร้างบ้านเราต้องขุดหลุมตั้งเสาให้บ้านก่อน การรักษาศีลให้ได้ดีต้องมีคุณธรรม ๔ ข้อนี้เป็นเครื่องรองรับให้การปฏิบัติบรรลุผลได้

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร: ตอน ทานกถา

ขอโอกาสพระเถรานุเถระ พระสงฆ์ผู้เป็นสหธรรมิกทุกรูป สวัสดีน้องสามเณรที่น่ารักทุกรูปด้วยกัน เจริญพรอุบาสกอุบาสิกาทุกท่าน บัดนี้จะได้กล่าวธรรมกถา พอเป็นเครื่องประคับประคอง ฉลองกุศลศรัทธา เสริมกุศลบุญราศีประดับสติปัญญาบารมี พอสมควรแก่เวลาสืบไป
โอกาสนี้เราท่านทั้งหลายพร้อมใจกันประพฤติคุณงามความดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้น้อมเอาคุณงามความดีอันนั้นมาระลึกนึกถึงให้ใจเป็นสมาธิ แล้วตั้งใจรับฟังพระธรรมเทศนาอันจะก่อให้เกิดปัญญาบารมี อันเนื่องมาจากสุตตมยปัญญา จินตตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา
วันนี้ทางพระอาจารย์กำหนดมาให้พูดเรื่องเข้าพรรษาใฝ่ธรรม หมายความว่าเลาเข้าพรรษาเราก็มาประพฤติประฏิบัติธรรมกัน จริงๆแล้วเรื่องเข้า-ออกก็ไม่มีอะไรแปลกใม่ดอก เราพากันสมมุติกันขึ้นพอให้เป็นเรื่องราว จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ที่มีปัญหาจริงๆคือสภาวะธรรมทั้งหลายมันเกิดอยู่ประจำทุกวันทุกวินาทีไม่ได้ว่างเว้นให้เราพักผ่อนหรือหาเวลาได้แล้วค่อยมาทำกัน ถ้าเข้าใจว่าว่างแล้วค่อยมาทำ วันพระ วันนั้นวันนี้ก็ไม่ใช่แล้ว เพราะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้นเกิดขึ้นได้กับเรากับคนรอบข้งเราอยู่เสมอตลอดเวลา ถึงวันเข้าพรรษาก็มีคนตาย มีคนเกิดเข้าพรรษาก็ห้ามคนไม่ให้แก่ไม่ได้ ห้ามไม่ให้คนตายไม่ได้ เรานั่งอยู๋นี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างละ ความโกรธ ความหงุดหงิด ความคิดถึงสิ่งโน้นอันนั้นโน้น เห็นไหมละเวลาเอาจริงๆแล้วเข้าพรรษามันไม่เกี่ยวเลย สำคัญที่ปัจจุบันของเราต่างหาก เราไม่เข้าใจจะพากันหลง ทำกันผิดๆมา
ความเกิดก้มีให้เห็น ความแก่ก็ปรากฏกับเราอยู่ความตายเกิดขึ้นความห่างจากไกลกัน หลายสิ่งหลายอย่างให้เราพิจารณาใช้ปัญญาพิจารณาลงมันจะเกิดขึ้นกับตวเรา ญาติเรา สิ่งนี้เป้นสิ่งแน่นอนไม่มีใครรอดพ้นไปได้ สิ่งนี้มันเอาเราอยู่ทุกวัน ถ้าเรามัวประมาทรอวันนั้นวันนี้ ไหนละความดีเรา เราจะบุญกันที่ไหน ความดีจะเอาที่ไหน ถ้าเราไม่ทำเอาตอนนี้
เราเห้นคนเกิดเราก็ไปหัวเราะยินดีกับเขา เห้นคนตายก็พากันร้องไห้ ไหนละปัญญาอยู่ตรงไหน เพราะเรารักเพราะเราอาลัยมันก็เลยทุกข์อย่างนั้น ไม่ได้คิดกันว่าสิ่งนั้นความเกิดก็ดี ความแก่ก็ดี ความตายก็ดี เห็นไปตามเหตุของที่เป็นอยู่แล้วตามธรรมชาติ
ที่พูดมานั้นให้พิจารณาตาม ที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ มาดูตัวเราว่าเราพิจารณาไหมถ้าเราฝึกบ้างหัดทำบ้างเราก็ชื่อว่าใฝ่ธรรม เป็นผู้แสวงหาวามดีเข้าใส่ตัว
มันก็จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะเข้าถึงธรรมไหม จะพ้นทุกข์ไหม ถ้าหากมัวประมาทกัน ความดีไม่ประกอบให้มีขึ้น หลงไปตามกระแส ตัณหาลากไป กิเลสดึงไว้ อวิชชาก็ปิดบัง อุปาทานก็ยึดไว้ เราก็ปไหนไม่ได้ เวียนไปเวียนมาอย่างนี้ความทุกข์ก็เวียนเกิดขึ้นเวียนดับอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ หลุดไม่ได้
เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไรละ?
เราสังเกตุตัวเองนี้ละเข้าวัดกันบ่อยๆทำไมทุกข์ไม่เคยหายสักที มานั่งกันอยู่ตรงนี้เคยคิดบ้างไหมว่าเราจะพัฒนาการเป้นพุทธสาสนิกชนของเราให้สุงกว่านี้อย่างไร บริจาคไปกี่แสนทำไมชีวิตถึงไม่เคยพ้นไปจากความทุกข์บ้าง
เราท่านทั้งหลายนั่งอยู่บ้านหรืออยู่วัดศาลาแห่งนี้มีกาย+ใจอยู่ด้วยเหมือนกัน เราจะอยู่ที่ไหน เดินอยู่ห้าง นอนดูทีวีเราก็มีแค่อันนี้ละ
เวลาเราปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติกายกับใจเรานั่นเองไม่ได้ทำที่อื่นที่ไหน ทำที่บ้านก็ได้ ถ้าเราเข้าใจดังนี้มันก็ง่ายมันจะไม่ใช่เรื่องของพระเรื่องของคนอื่นมันเป้นเรื่องของเรา
ธรรมมะของพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ดีแล้วกล่าวไว้ว่าใครทำใครก็ได้ทำตอนไหนก็ได้ ไม่จำกัดกาลและเวลา ผู้ปฏิบัติเท่านั้นสามารถรู้หรือเห็นตามที่ท่านแสดงไว้เท่านั้น ธรรมนั้นย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมและรักษาผู้ประพฤตินั้นไม่ให้ตกลงที่ต่ำ
ความดีนั้นใครทำคนนั้นก็ได้ คนที่ไม่ทำมานั่งดูคนอื่นทำ เวลาเขาเสวยผลบุญก็ได้แต่นั่งแหงนดูเขาเราจะรับเสวยเหมือนเขาก็ไม่ได้เพราะเป็นบุญเขาไม่ใช่ของเราก็เหมือนเงินทองของเขาเราเห็นเขามีเงินมีบ้านมีรถเขาประกอบเหตุที่หามาได้ เราไม่ได้ทำไม่ได้ประกอบเหตุนั้น เราจะมีจะได้เหมือนเขาไหม เราก็ได้แต่มองดูสมบัติเขาชื่นชมเขา แต่ถ้ามัวชื่นชมก็ไม่ได้ก้ต้องทำเหตประกอบเหตุให้เกิดมีผลมันถึงจะได้ ถ้าอยากได้ก็ทำเหตุเอา
เรื่องบาปอกุศลก็เหมือนกันใครเป็นผู้ทำก็รับผลนั้นไปคนที่ไม่ทำเขาก็ได้แต่มองดูเหมือนกัน
อาตมาเชื่อว่าญาติโยมหลายคนเคยได้ยินได้ฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์มาแล้วหรือสำหรับพระสงฆ์เราผู้เป็นนักศึกษาย่อมได้รับการสอนมาแล้ว หรือหากใครที่ยังไม่ได้ฟังก็ให้ตั้งใจฟังถ้าอยากกได้รายละเอียดเพื่อทำความเข้าใจ ก็ลไปศึกษาในพระไตรปิฎกหรือพระธรรมบท ท่านได้แจกแจงไว้ก็จะเห็นตามที่จะได้แสดงต่อไปข้างหน้า
การที่เราเข้าวัดมาทำบุญกันทุกวันนี้นั้นเป็นเรื่องดีแล้ว ศีลที่ทำกันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เรื่องที่จะก่อโทษแก่ใครผู้ประพฤติประฏิบัติบัณฑิตทั้งหลายก็สรรเสริญ
ใครที่ให้ทาน รักษศีล เจริญภาวนาเป็นประจำเนืองนิจยมบาลไม่จับไปโยนลงหม้อนรกดอก ขอให้กระทำอยู่เสมอรักษาความดีนั้นไว้อย่าให้ด่างพล้อย
พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีความเพียร ท่านกล่าวว่าคนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร หมายถึงว่าความดีนั้นให้หมั่นประกอบหมั่นทำ ถ้ามีแล้วหรือทำอยู่ก็ให้ประกอบความดีนั้นให้เกิดมีขึ้นเรื่อยๆรักษาความดีนั้นไว้มิให้เสื่อมคลาย
เราจะต้องศึกษาให้ถูก ก่อนที่เราจะรู้อะไรแจ่มชัดต้องศึกษาให้ละเอียดเพื่อความรู้ที่ถูกต้องและก็เพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย พระพุทธศาสนาก็เหมือนกันถ้าเราทะเล้อละล่าข้าไปก็จับจุดไม่ถูก นอกจากจับจุดไม่ถูกยังเข้าใจไม่ถูกก็พาให้เราปฏิบัติกันผิด การที่จะรู้จะเข้าใจในเรื่องนั้นก็ไม่ถูก การเข้าใจพระพุทธศาสนาจำเป้นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยการศึกษาให้เข้าใจถูกต้อง จึงต้องให้ความสำคัญต่อการศึกษา เพราะคนที่มีปัญญหาตอนนี้ก็เพราะไม่ได้ศึกษาห้ถูกต้องในหลักที่ควรปฏิบัติกัน
เมื่อเราศึกษากันดีแล้วก้น้อมคำสอนนั้นมาปฏิบัติให้เต้มที่เต้มกำลัง ยถาสติ ยถาพลํ มนสิ กโรม
เรื่องอะไรที่เราต้องศึกษาเราถึงจะเข้าใจพระพุทธศาสนาเอามาพูดกันวันนี้มี ๓ เรื่อง คือ ทาน ศีล ภาวนา เอาเรื่องปกติที่เราทำกันอยู่เพื่อทำความเข้าใจเพื่อการปฏิบัติให้ถูกต้อง การให้ทานเราก็ทำกันอยู่บ่อยๆ ศีลเราก็ทำ ภาวนาเราก็ทำแต่ทำตามๆกันมา พระพาทำก็ทำบางคนไม่รู้อะไรเขาว่าก็ว่าไปตาม ก่อนที่จะมาทำบุญนะลองถามดูสิถ้าไม่ใช่พราะหมอดูทักก็ไม่เข้าหรอกวัด ขอหวยอย่างนี้นั่นเพราะเราคิดว่ามันเป้นบุญเราก็ทำขอใหศึกษาให้ดีเพื่อการเข้าใจที่ถูกต้อง บางคนก็ยังคิดว่าเข้าวัดเป้นเรื่องของคนแก่ มีเวลาแล้วค่อยเข้าก็มีก็เพราะเราเข้าใจกันโดยไม่ได้ศึกษา ไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญาเมื่อมาทำก็ผิดไป แทนที่จะได้ปัญญากับไปก็เอาความทุกข์กลับไปอีกนั่นละโทษของการไม่ศึกษาอะไรให้เข้าใจ
มีพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า "ปุญฺญเมว โส สิกฺเขยฺย" เรามานั่งกันอยู่ในศาลาารเปรียญหลังนี้ หลายคนรวยทรัพย์ หลายคนก็พอมี หลายคนก็แทบไม่มี หลายคนมีความสุข หลายคนก็ทุกข์ใจมา ลูกไม่ดั่งใจผัวนอกใจก็มีบางคนไม่รวยทรัพย์แต่ใจดีก็มี จากพุทธพจน์ข้างต้นเราจึงต้องมาศึกษาเรื่องบุญกันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าบุคคลพึงศึกษาเรื่องบุญให้เข้าใจท่องแท้ จงเลือกให้ทานแต่เฉพาะที่ให้คุณประโยชน์ ให้เว้นทานที่ให้แล้วก่อทุกข์ร้อตามมา เราก้ทำกันอยู่มานาน บ้างก็ทำมากทำน้อยแล้วแต่ศรัทธาของใครของมันแต่เราก้ทำกันอยู่ก็ไม่เคยหายทุกข์ันสักที เข้าวัดก็หลายวัด เป่าเสกวัดไหนก็ไป ดน้ำวัดไหนดีก็ไปขึ้นเหนือลงใต้ไปหมด ไม่ใช่ว่าไม่ไดีหรอกแต่เราต้องศึกษากัน ญาติโยมทั้งหลายมาวัดก็หวังได้บุญ เราจะทำบุญตรงไหน เอาบุญอะไรก้ให้พิจารณาบ้าง บางสำนักบางวัดท่านก็มีสำนักเรียนมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษามากเราก็อนุเคราะห์ปัจจัย ๔ ให้เป็นเครื่องบำรุงพระสงฆ์สามเณร บางวัดท่านก็คลาดแคลนกุฏิบ้าง ศาลาบ้างก็ร่วมสร้างร่วมทำ ให้เราพิจารณาเห็นประโยชน์เราจึงทำถ้าบำรุงพระสงฆ์ให้มีการศึกษาเราก็ได้บุญมากมาย หนึ่งละได้พระสงฆ์ที่มีความรู้ความเข้าใจ สองเราได้ทำบุญไว้ในพระศาสนา สามเราได้เสริมกำลังอายุพระศาสนาที่มีพระสงฆ์ยังศึกษาอยู่แล้วเอาคำสอนนั้นมาบอกแก่เรา เราก้ยังได้บุญจากการฟังธรรมอีก พระสัทธรรมก็ยังคงดำรงอยู่ตราบใดที่เราบำรุงพระสงฆ์องค์เจ้า ตราบใดที่มีพระสงฆ์องค์เจ้าก็ยังมีผู้ปฏิบัติตามคำสอนเป็นหลักเป็นชัย นอกนั้นเราก้ยังได้ทำให้ประเทศชาติเจริญด้วยการสร้างคนสร้างกำลงชาติกำลังศาสนา อันนี้คือทำบุญแบบเห้นประโยชน์แล้วจึงทำ คือศึกษาว่าถ้าทำบุญส่วนนี้แล้วจะได้ประโยชน์อันนี้บ้างดังนี้ แต่ถ้าไม่ศึกษาแล้วไปทำบุญเราก็ไปขอหวยบ้าง ไหว้คางคกบ้างโน่นนะมันไกลกันไหม ไกลศาสนามากทีนี้เราก็มาหาว่าอันนั้นเป็นพระพุทธศาสนาก็พลอยให้ศาสนาเรามัวหมองไปด้วย พระพรหมพระพิฆเนศอย่างนี้ก็มีมา ถ้าเรายังทำกันอย่างนี้เราก็จะไม่เข้าใจหลักที่แท้จริงของการให้ทานที่ประกอบด้วยประโยชน์
ทีนี้จะกล่าวถึงข้อความที่ปรากฏในพระอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาติ กล่าวถึงการให้ทานท่านแยกออกเป็น ๒ อย่างคือการให้ทานของ อสัปปบุรุษและการให้ทานของสัปปบุรุษ
ทานของอสัปปบุรุษมี ๕ ประการคือ ๑.ให้โดยไม่เคารพ ๒.ให้โดยไม่ยำเกรง ๓.ไม่ให้ด้วยมือของตน ๔.ให้โดยทิ้งขว้าง ๕.ให้โดยไม่เห้นผลแล้วจึงให้
ส่วนทางของสัปปบุุรุษท่านก็แสดงไว้ตรงข้ามนี้ ส่วนทานของสัปปบุรุษนัยที่๒ท่านจำแนกออกไปอีกดังนี้
๑.ให้ทานด้วยศรัทธา
๒.ให้ทานโดยความเคารพ
๓.ให้ทานตามกาลอันสมควร
๓.๑ อาคันตกะทาน
๓.๒ คมิกทาน
๓.๓ ทุพภิกขทาน
๓.๔ นวสัสสทาน
๓.๕ นวผลทาน
๔.มีจิตอนุเคราะห์แล้วจึงให้
๕.ให้ทานโดยไม่กระทบตนเองและผู้อื่น
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกัับการให้ทานที่ทำแล้วได้อานิสงสิ์มากผู้ที่หวังบุญจากการให้ทานพึงศีกษาให้เข้าใจว่าเราทำบุญถูกไหม ทำกับเนื้อนาบุญหรือเปล่าท่านเปรียบว่าการทำบุญก็เหมือนกับเราปลูกข้าว ได้ดินดี กล้าดี หมั่นดูแลรักษาข้วกล้าเราก็ออกมางามให้ผลดีเวลาเก็บเกี่ยว เวลาทำบุญเราก็ทำแบบนั้นทำในนาที่ดี ให้ด้วยศรัทธา กระทำด้วยความเคารพไม่ลบหลู่ผู้ที่เราให้มีความตั้งใจ เมื่อจะกระทำบุญก็อย่าให้ตนเองเดือดร้อนผู้อื่นทุกข์ใจตาม
๑.เรื่องของศรัทธานั้นเป็นข้อพื้นฐานอยู่แล้วที่จะปูพื้นฐานให้เราเข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง มีศรัทธาจึงให้ได้จะของเล็กของใหญ่เมื่อไม่มีศรัทธาก็สละไม่ได้ ท่าจึงกล่าวว่าแม้จะให้ของอันเป็นสิ่งเล็กน้อยแแต่เมื่อให้ด้วยศรัทธา วัตถุทานชื่อว่าน้อยย่อมไม่มี
๒.ความเคารพนั้นเป็นความดีที่เราพึงปฏิบัติไม่ว่าจะทำอันใดกล่าวกะใคร เด็กเล็กผู้ใหญ่เราต้องให้ความเคารพกัน การให้ทานด้วยความเคารพท่านจัดเป้นสัปปุริสทานเพราะเมื่อบุคคลน้อมนำทักขิณาทานเข้ามาความเคารพก็ต้องมีให้แสดงกิริยามารยาทอันสมควร สังเกตเวลาที่เรามาใส่บาตรพระพ่อแ่เราสอนให้เราถอดรองเท้า ก็เพราะอันนี้ละเพื่อแดงความเคารพในคุณธรรมหวังอยากทำบุญด้วยท่านกล่าวอานิสงสิ์ของการทำบุญด้วยความเคารพว่าลูกเมียบริวารทั้งหลายจะเป็นผู้เชื่อฟังอยู่ในโอวาท เสมอต้นเสมอปลาย ใครที่เวลาถวายของให้พระทำแบบจับวางไม่ระมัดระวังก็ให้ทำใหม่เพราะมันแดงถึงความไม่ตั้งใจจริงของเราเหมือนไม่อยากจะได้บุญ เวลามาทำก็ให้ตั้งใจไม่ต้องรีบให้ทำเพื่อเอาบุญกันจริงๆ
๓.ให้ทานตามกาลอันสมควร ท่านเรียกสั้นๆว่ากาลทาน ทีนี้ท่าจัดกาลทานออกไปอีก๕ประการ ดังจะอธิบายให้ฟังดังนี้
๑.อาคันตุกทาน ทานแก่ผู้จรมา หมายถึงแขกมาบ้านช่องเราก้ต้อนรับท่านก็จัดเป็นทานที่ได้อานิสงสิ์มากอาตมาเคยได้ยินเร่องเล่าว่าเรื่องนี้เกิดที่ประเทศสหรัฐมีนักศึกษาแพทย์เดินทางเหนื่อยไปเคาะบ้านหลังหนึ่งเพื่อขอน้ำดื่ม เจ้าของบ้านก็ยินดียื่นน้ำให้กาลเวลาต่อมาเจ้าของบ้านคนนั้นป่วยต้องผ่าตัดก็เข้าโรงพยาบาลทีนี้เวลาจ่ายยาเขาก็เซ็นว่าจ่ายแล้วด้วยน้ำดื่ม นี้เพราะอานิสงสิ์ของบุญที่ได้กระทำไว้
๒.คมิกทาน ทานแก่ผู้ที่จะจากไป ญาติเราคนรู้จักเรามาเยี่ยมแล้วจะจากไปหรือคนที่เรารู้จักกำลังจะจากไปเราก็จัดแจงข้าวของให้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงกันท่านก้ว่ามีอานิสงสิ์มากให้ค่ายนพาหนะช่วยกันดังนี้
๓.ทุพภิกขทาน ข้อนี้เราทำกันบ่อยมากคนไทยนี้ชอบเป้นเสน่ห์ของบ้านเราเวลาเกิดเหตุเภทภัยขึ้นเราก้มาช่วยกันบริจาคกันหนาวที่เหนือเราก็ชวยน้ำท่วมที่ใต้เราก็ไปสึนามิมาเราก็ทำ ดังนี้เรียกว่าไม่ทิ้งกันให้ทานเมื่อเกิดภัยพิบัติท่านก็ว่าอานิสงสิ์ให้เห็น
๔.นวสัสสทาน อันนี้อาตมาเห็นเวลาชาบ้านทำนาเสร็จใหม่เอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้ฉางโดยเฉพาะแถวบ้านอาตมาเขาจะทำเป็นประเพณีเลยอาตมาก็มานกว่าบรรพบุรุษเราสอนให้เราทำก็เพื่ออยากให้ลูกหลานไม่คลาดจากบุญเอาของใหม่ถวายพระเพื่อเป็นสิริมงคล อย่างเพื่ออาตมา ตอนนั้นทำงานได้เงินเดือนออกมาใหม่ๆมาหาที่วัด ถวายเงินมาบอกว่าเป้นสิริมงคลเงินเดือนๆแรกในชีวิตครับหลวงพี่ อาตมาก็แนะนำให้ว่าแล้วอย่าลืมเจียดให้โยมพ่อด้วยละ
๕.นวผลทาน ให้ผลไม้ใหม่เป็นทาน ที่ท่านจัดนวสัสสทานและนวผลทานเป็นกาลทานเพราะ๒อย่างนี้ต้องมีฤดูมีเวลาของมัน เมื่อทำงานได้ผลออกมาดีก็เอามาถวาย มีเรื่องพอจะยกเป็นอทาหรณ์ปรากฏในบทสวดของพระสงฆ์ปรารภเรื่องราวไว้
ในอนุโมทนากถา กาลทานสูตร นี้เป็นบทพระพุทธมนต์อนุโมทนาแก่ผู้บริจาคทานตามกาล เป็นพิเศษ จะได้บรรยายถึง
มูลเหตุแห่งมนต์บทนี้ เพื่อเจริญศรัทธาสัมมาปฏิบัติของทุกท่านที่ใคร่ธรรมก่อน ทั้งเพื่อเป็นวิทยาภรณ์ของธรรมจารี
ชนสืบไป เรื่องมีว่า
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่กุฏาคารศาลาป่ามหาวัน แคว้นพระนครไพสาลี ประทานอนุสาสนีพุทโธวาท
ประสาธน์มรรคผล ให้สำเร็จแก่พุทธเวไนย ทรงประทานพรหมจรรย์แก่ผู้มีเสื่อมใสเป็นพิเศษ เพื่อให้บรรลุอจลเขตปฏิ
สัมภิทา ทรงเผยเกียรติคุณของพระศาสนา ให้รุ่งเรืองไพศาลเป็นพิเศษปลุกประชาสัตว์ให้ตื่นจากสรรพกิเลสนิทรา จึง
ประชาชนพากันเคารพบูชาและปฏิบัติดำเนิน โดยหยั่งเห็นเป็นคุณเครื่องจำเริญประโยชน์สุขทั้งภพนี้และภพหน้า
ครั้งนั้น สีหะเสนาบดี มีศรัทธา ได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับโดยควรแก่โอกาส น้อมเศียรถวาย
อภิวาทแล้วกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระมหากรุณาธิคุณโลกนาถ พระองค์ยังจะทรงสามารถบัญญัติแสดงให้เห็นชัด ถึง
ผลทานในปัจจุบันนี้ทันตาเห็น ได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “สีหะ ตถาคตสามารถบัญญัติให้เธอรู้เห็นชัดในปัจจุบันทันตาเห็นได้ จงตั้งใจสดับ
ท่านสีหะ อันคนผู้เป็นทานบดี คือเจ้าของทาน มิใจชื่นบานยินดีสละให้ ย่อมเป็นที่รักใคร่ ชอบใจของหมู่ชนเป็นอัน
มาก นี้เป็นผลในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“ท่านสีหะ ยังมีอีก คือ คนที่ยินดีสละให้นั้น ย่อมได้รับการคบหาสมาคมจากคนดี อัธยาศัยดี สงบเรียบร้อยทั่วไป คนดี
ทั้งหลายพอใจไปมาหาสู่อยู่ร่วม นี้เป็นผลในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“สีหะ ยังมีอีก เกียรติศัพท์ ชื่อเสียงอันดีของทานบดี ผู้ที่ยินดีสละให้ ย่อมฟุ้งขจ รไปไกล นี้เป็นผลทานในปัจจุบันข้อ
หนึ่ง
“ท่านสีหะ ยังมีอีก หากว่า ทานบดี คนที่ยินดีสละให้ จะเข้าสู่สมาคมใด ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์,พราหมณ์ หรือ คหบดี
หรือแม้สมณะ ย่อมจะองอาจ ไม่สะทกสะท้านเก้อเขินแต่ประการใด นี้เป็นผลทานในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“ท่านสีหะ ใช่ว่าผลทานจะสิ้นสุดอานุภาพในการให้ผลแก่ผู้บริจาคในปัจจุบันเพียงเท่านั้นก็หาไม่ เมื่อผู้บริจาคแตก
กายทำลายขันธ์แล้ว ยังจะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์อีก”
ท่านสีหะเสนาบดีได้สดับพระพุทธโอวาทจบลงด้วยความปลาบปลื้มประกาศความเชื่อมั่นต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ตนเป็นทั้งทายก เป็นทั้งทานบดี คือ เป็นทั้งผู้ให้ทาน และเป็นเจ้าของทานด้วย ถวายอภิวาทกระทำปทักษิณแล้ว
กลับคืนนิเวศน์ของท่าน
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ทรงแสดงกาลทานแก่ ภิกษุ ทั้งหลาย สืบไปว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีปัญญา จักรู้ถ้อยคำของคน
ร้องขอความกรุณาบอกความต้องการ ผู้ปราศจากความตระหนี่ ย่อมบริจาคทานให้ทานที่ควรบริจาค กาลทานที่บุคคล
บริจาคแล้วด้วยจิตเลื่อมใสมีผลไพบูลย์ แม้คนที่ช่วยเหลือในการบริจาค ที่สุดคนที่ทราบเรื่องแล้ว พลอยอนุโมทนา
ทานในการบริจาคนั้นด้วยความเลื่อมใส ก็มีส่วนพลอยได้บุญด้วยมาก เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรมีความกินแหนง
แคลงใจในการบริจาค พึงห้ามความท้อแท้และพึงบริจาค ทานที่บริจาคแล้วนั้น มีผลมากนัก”
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน คือ ทานที่บริจาคในฤดูกาลที่นิยมนี้ มี ๕ อย่างคือ ๑. อาคันตุกทาน ทานสำหรับบริจาค
แก่ผู้เดินทางมาถึงถิ่นเรา ๒. คมิกทาน ทานบริจาคแก่ผู้เตรียมตัวจะเดินทางไกล ๓. ทุพภิกขทาน ทานบริจาคในคราว
เกิดทุพภิกขภัย คือในสมัยข้าวยากหมากแพง ในคราวประชาชนอดหยากลำบากด้วยอาหารเพราะฝนแล้ง ข้าวตาย
คนอดหยากมาก แม้ประสบภัยจากน้ำท่วม ลมร้ายไฟไหม้ ก็นับเข้าในข้อนี้ ๔. นวผลทาน ทานบริจาคในคราวมีผลไม้
ใหม่ในปีหนึ่งๆ เช่น สลากภัตมะม่วง เป็นต้น ๕. นวสัสสทาน ทานบริจาคในคราวข้าวกล้าในนาแรกเกิดผล ในเวลา
ต่างๆกัน รวม ๙ ครั้ง คือ

๑. สาลิคพฺพคฺคํ ในคราวแรกรวงข้าวกล้าเป็นน้ำนม ( นิยมเรียกว่า ยาคู )

๒.ปุถุคฺคํ ในคราวข้าวเป็นข้าวเม่า

๓. สายนคฺคํ ในคราวเกี่ยว

๔. เวณิคฺคํ ในคราวทำคะเน็ด

๕. กลาปคฺคํ ในคราวมัดฟ่อน

๖. ปลคฺคํ ในคราวขนเข้าลาน

๗. ภณฺฑคฺคํ ในคราวทำลอมข้าว

๘. โกฏฐคฺคํ ในคราวขนเข้ายุ้งฉาง

๙. อุกฺขลิกคฺคํ ในคราวหุงข้าวใหม่

กาลทาน ทั้ง ๕ นี้ ที่บุคคลมีปัญญา มีศรัทธา บริจาคในท่านผู้มีศีลทั้งหลาย ย่อมมีผลมากยิ่งแล เมื่อสิ้นกระแสพระ

โอวาทแล้ว ได้ตรัสคำเป็นอนุโมทนากถา รวม ๓ คาถาครึ่ง มีคำว่า กาเล ททนฺติ เป็นต้น

สำหรับกาลทานในเรื่องถวายเนื่องด้วยข้าว รวม ๙ ครั้งนี้ มีเรื่องที่พรรณนาถึงผลของกาลทาน ที่คนใจบุญได้พยายาม

ทำ ว่ามีผลมาก และได้รับผลก่อนผู้อื่น เพราะคนทำก่อนย่อมได้ผลก่อน คนทำภายหลัง ย่อมได้ผลภายหลัง เรื่องมีว่า

ในศาสนาของพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้นมีคหบดีสองพี่น้อง ผู้พี่มีนามว่า มหากาล ผู้น้องมีนามว่า จุลกาล เป็นผู้มี

หลักฐานในกสิกรรม ทำนาเป็นอาชีพ โดยชอบโดยกาล มีวิริยะอุตสาหะไม่เกียจคร้านในงานเฉพาะหน้า สมัยหนึ่งได้

เริ่มทำนา เมื่อข้าวกล้าได้น้ำท่า และได้รับการรักษาด้วยดีก็งดงามเสมอกันหมด ครั้นข้าวในนาออกรวง เริ่มมีน้ำนม

แล้ว ท่านคหบดีจุลกาล จึงดำริว่า อันน้ำนมในเมล็ด ในระยะกาลนี้ มีโอชารส ถ้าเราจะเอามาบดบีบคั้นเอาแต่น้ำนม

และผสมปรุงด้วยน้ำตาลกรวด ก็จะมีรสหวาน เป็นอาหารอันเอมโอชอันล้ำค่า แล้วน้อมถวายแต่พระบรมศาสดาพระวิ

ปัสสีพุทธเจ้า เป็นดีแท้จึงจัดการทดลองโดยเกี่ยวเอารวงข้าวที่กำลังเป็นน้ำนม ในเขตนามา บ้านครั้นท่านมหากาลผู้

พี่ชาย เห็นเข้าก็ไม่ชอบใจ และห้ามปรามทัดทาน แต่ท่านจุลกาลไม่ยินยอม ในที่สุดได้ตกลงแบ่งนาทั้งสิ้นออกเป็น

คนละส่วนไม่รวมกัน เพี่อให้สิทธิในอันที่จะทำกิจนั้นๆได้ตามประสงค์ โดยควรแก่อัธยาศัย ท่านจุลกาล มีความยินดี

ในอันจะได้บำเพ็ญบุญดังมโนรถจึงได้เรียกคนเข้าช่วยจัดตัดเอาแต่รวงข้าวที่เป็นน้ำนม เอามาคั้นปรุงเป็นข้าวยาคู

อย่างโอชารส พอควรแก่พระสงฆ์ และน้อมถวายพระพุทธองค์ พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้าและสาวกด้วยความเลื่อมใส

และได้อธิษฐานไว้ว่าต่อไปในเบื้องหน้า ขอให้ข้าได้บรรลุโมกขธรรมก่อนกว่าใครๆในพระศาสนาของพระสัมมาสัม

พุทธเจ้าในกาลข้างหน้าโน้นเถิด

ส่วนท่านมหากาลไม่เลื่อมใส ไม่พอใจในการกระทำของน้อง ปล่อยให้ท่านจุลกาลบำเพ็ญบุญกาลทานในผลของข้าว

ในนา รวม ๙ ครั้งตามลำพัง มิได้เข้าช่วยเหลือร่วมแรง แม้แต่จิตจะอนุโมทนาก็ไม่มี เพราะไม่มีความยินดีแล้วแต่ต้น

ได้มาบำเพ็ญบุญสำหรับตนต่อกาลภายหลัง

ดังนั้น ครั้นท่านทั้งสองวายชนม์แล้ว ก็ไปสุคติสวรรค์ด้วยบุญกรรมนั้นๆ อำนวยให้ ประสบสุขตามวิสัย โดยควรแก่กาล

ครั้นมาบังเกิดในภัทรกัปป์นี้ ด้วยอานุภาพของกาลทานของท่านจุลกาลที่ได้บำเพ็ญในครั้งนั้น ได้นำให้ท่านมาเกิด

เป็นพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ได้สดับธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ได้สำเร็จอริยผล เป็นพระสงฆ์อริยเจ้าก่อนผู้อื่นทั้งหมด

สมดังมโนรถที่ปรารถนาไว้ในคราวถวายข้าวยาคู ซึ่งปรุงขึ้นด้วยข้าวน้ำนมในศาสนาพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า

ส่วนท่านมหากาล ได้มาบังเกิดเป็นพระสุภัททะ ได้ฟังธรรมของพระสัมพุทธเจ้าในเวลาที่พระองค์ใกล้เสด็จดับขันธ

ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมื่องกุสินารา ได้เป็นอรหันต์องค์สุดท้าย ด้วยกุศลที่ถวายทานในกาลภายหลัง ด้วย

ประการฉะนี้

สำหรับอนุโมทนากถานี้ พระสงฆ์ได้นิยมสวดเป็นคาถาอนุโมทนาในงานถวายกาลทาน ตามที่ประจักษ์อยู่เป็นประจำ

โดยมาก ก็งานทอดกฐิน ด้วยผ้ากฐินเป็นผ้ากาลจีวร คือ จีวรที่ทายกจัดถวายพระสงฆ์ในจีวรกาล ตามพระบรมพุทธา

นุญาตที่ทรงบัญญัติ จัดเข้าในกาลทานโดยแท้ กับงานถวายสลากภัตต่างๆ เช่น สลากภัตมะม่วง สลากภัตทุเรียน

เป็นต้น ก็นิยมใช้กาลทานสูตรสวดอนโมทนาทั่วกันในสังฆมณฑล

เพราะฉะนั้น ขอสาธุชนผู้ใคร่บุญ ไม่พึงประมาทในโอกาสที่บำเพ็ญกาลทาน ควรจะมีใจเบิกบานร่วมบำเพ็ญกุศล หรือ

ไม่ก็เข้าช่วยเหลือด้วยกำลังของตนตามสามารถ ที่สุดหากไม่เป็นโอกาส ก็ควรตั้งใจอนุโมทนาสาธุการ จักได้มีส่วน

บุญในกาลทานนั้นๆ
จริงๆว่าวันนี้ต้องการจะาพูดเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา แต่วันนี้เห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงขอยุติลงไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน หากมีเวลาก็จะได้มาพูดคุยกับทุกท่านอีกครั้ง อนุโมทนา เจริญพรฯ