วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร: ตอน ทานกถา

ขอโอกาสพระเถรานุเถระ พระสงฆ์ผู้เป็นสหธรรมิกทุกรูป สวัสดีน้องสามเณรที่น่ารักทุกรูปด้วยกัน เจริญพรอุบาสกอุบาสิกาทุกท่าน บัดนี้จะได้กล่าวธรรมกถา พอเป็นเครื่องประคับประคอง ฉลองกุศลศรัทธา เสริมกุศลบุญราศีประดับสติปัญญาบารมี พอสมควรแก่เวลาสืบไป
โอกาสนี้เราท่านทั้งหลายพร้อมใจกันประพฤติคุณงามความดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้น้อมเอาคุณงามความดีอันนั้นมาระลึกนึกถึงให้ใจเป็นสมาธิ แล้วตั้งใจรับฟังพระธรรมเทศนาอันจะก่อให้เกิดปัญญาบารมี อันเนื่องมาจากสุตตมยปัญญา จินตตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา
วันนี้ทางพระอาจารย์กำหนดมาให้พูดเรื่องเข้าพรรษาใฝ่ธรรม หมายความว่าเลาเข้าพรรษาเราก็มาประพฤติประฏิบัติธรรมกัน จริงๆแล้วเรื่องเข้า-ออกก็ไม่มีอะไรแปลกใม่ดอก เราพากันสมมุติกันขึ้นพอให้เป็นเรื่องราว จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ที่มีปัญหาจริงๆคือสภาวะธรรมทั้งหลายมันเกิดอยู่ประจำทุกวันทุกวินาทีไม่ได้ว่างเว้นให้เราพักผ่อนหรือหาเวลาได้แล้วค่อยมาทำกัน ถ้าเข้าใจว่าว่างแล้วค่อยมาทำ วันพระ วันนั้นวันนี้ก็ไม่ใช่แล้ว เพราะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้นเกิดขึ้นได้กับเรากับคนรอบข้งเราอยู่เสมอตลอดเวลา ถึงวันเข้าพรรษาก็มีคนตาย มีคนเกิดเข้าพรรษาก็ห้ามคนไม่ให้แก่ไม่ได้ ห้ามไม่ให้คนตายไม่ได้ เรานั่งอยู๋นี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างละ ความโกรธ ความหงุดหงิด ความคิดถึงสิ่งโน้นอันนั้นโน้น เห็นไหมละเวลาเอาจริงๆแล้วเข้าพรรษามันไม่เกี่ยวเลย สำคัญที่ปัจจุบันของเราต่างหาก เราไม่เข้าใจจะพากันหลง ทำกันผิดๆมา
ความเกิดก้มีให้เห็น ความแก่ก็ปรากฏกับเราอยู่ความตายเกิดขึ้นความห่างจากไกลกัน หลายสิ่งหลายอย่างให้เราพิจารณาใช้ปัญญาพิจารณาลงมันจะเกิดขึ้นกับตวเรา ญาติเรา สิ่งนี้เป้นสิ่งแน่นอนไม่มีใครรอดพ้นไปได้ สิ่งนี้มันเอาเราอยู่ทุกวัน ถ้าเรามัวประมาทรอวันนั้นวันนี้ ไหนละความดีเรา เราจะบุญกันที่ไหน ความดีจะเอาที่ไหน ถ้าเราไม่ทำเอาตอนนี้
เราเห้นคนเกิดเราก็ไปหัวเราะยินดีกับเขา เห้นคนตายก็พากันร้องไห้ ไหนละปัญญาอยู่ตรงไหน เพราะเรารักเพราะเราอาลัยมันก็เลยทุกข์อย่างนั้น ไม่ได้คิดกันว่าสิ่งนั้นความเกิดก็ดี ความแก่ก็ดี ความตายก็ดี เห็นไปตามเหตุของที่เป็นอยู่แล้วตามธรรมชาติ
ที่พูดมานั้นให้พิจารณาตาม ที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ มาดูตัวเราว่าเราพิจารณาไหมถ้าเราฝึกบ้างหัดทำบ้างเราก็ชื่อว่าใฝ่ธรรม เป็นผู้แสวงหาวามดีเข้าใส่ตัว
มันก็จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะเข้าถึงธรรมไหม จะพ้นทุกข์ไหม ถ้าหากมัวประมาทกัน ความดีไม่ประกอบให้มีขึ้น หลงไปตามกระแส ตัณหาลากไป กิเลสดึงไว้ อวิชชาก็ปิดบัง อุปาทานก็ยึดไว้ เราก็ปไหนไม่ได้ เวียนไปเวียนมาอย่างนี้ความทุกข์ก็เวียนเกิดขึ้นเวียนดับอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ หลุดไม่ได้
เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไรละ?
เราสังเกตุตัวเองนี้ละเข้าวัดกันบ่อยๆทำไมทุกข์ไม่เคยหายสักที มานั่งกันอยู่ตรงนี้เคยคิดบ้างไหมว่าเราจะพัฒนาการเป้นพุทธสาสนิกชนของเราให้สุงกว่านี้อย่างไร บริจาคไปกี่แสนทำไมชีวิตถึงไม่เคยพ้นไปจากความทุกข์บ้าง
เราท่านทั้งหลายนั่งอยู่บ้านหรืออยู่วัดศาลาแห่งนี้มีกาย+ใจอยู่ด้วยเหมือนกัน เราจะอยู่ที่ไหน เดินอยู่ห้าง นอนดูทีวีเราก็มีแค่อันนี้ละ
เวลาเราปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติกายกับใจเรานั่นเองไม่ได้ทำที่อื่นที่ไหน ทำที่บ้านก็ได้ ถ้าเราเข้าใจดังนี้มันก็ง่ายมันจะไม่ใช่เรื่องของพระเรื่องของคนอื่นมันเป้นเรื่องของเรา
ธรรมมะของพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ดีแล้วกล่าวไว้ว่าใครทำใครก็ได้ทำตอนไหนก็ได้ ไม่จำกัดกาลและเวลา ผู้ปฏิบัติเท่านั้นสามารถรู้หรือเห็นตามที่ท่านแสดงไว้เท่านั้น ธรรมนั้นย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมและรักษาผู้ประพฤตินั้นไม่ให้ตกลงที่ต่ำ
ความดีนั้นใครทำคนนั้นก็ได้ คนที่ไม่ทำมานั่งดูคนอื่นทำ เวลาเขาเสวยผลบุญก็ได้แต่นั่งแหงนดูเขาเราจะรับเสวยเหมือนเขาก็ไม่ได้เพราะเป็นบุญเขาไม่ใช่ของเราก็เหมือนเงินทองของเขาเราเห็นเขามีเงินมีบ้านมีรถเขาประกอบเหตุที่หามาได้ เราไม่ได้ทำไม่ได้ประกอบเหตุนั้น เราจะมีจะได้เหมือนเขาไหม เราก็ได้แต่มองดูสมบัติเขาชื่นชมเขา แต่ถ้ามัวชื่นชมก็ไม่ได้ก้ต้องทำเหตประกอบเหตุให้เกิดมีผลมันถึงจะได้ ถ้าอยากได้ก็ทำเหตุเอา
เรื่องบาปอกุศลก็เหมือนกันใครเป็นผู้ทำก็รับผลนั้นไปคนที่ไม่ทำเขาก็ได้แต่มองดูเหมือนกัน
อาตมาเชื่อว่าญาติโยมหลายคนเคยได้ยินได้ฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์มาแล้วหรือสำหรับพระสงฆ์เราผู้เป็นนักศึกษาย่อมได้รับการสอนมาแล้ว หรือหากใครที่ยังไม่ได้ฟังก็ให้ตั้งใจฟังถ้าอยากกได้รายละเอียดเพื่อทำความเข้าใจ ก็ลไปศึกษาในพระไตรปิฎกหรือพระธรรมบท ท่านได้แจกแจงไว้ก็จะเห็นตามที่จะได้แสดงต่อไปข้างหน้า
การที่เราเข้าวัดมาทำบุญกันทุกวันนี้นั้นเป็นเรื่องดีแล้ว ศีลที่ทำกันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เรื่องที่จะก่อโทษแก่ใครผู้ประพฤติประฏิบัติบัณฑิตทั้งหลายก็สรรเสริญ
ใครที่ให้ทาน รักษศีล เจริญภาวนาเป็นประจำเนืองนิจยมบาลไม่จับไปโยนลงหม้อนรกดอก ขอให้กระทำอยู่เสมอรักษาความดีนั้นไว้อย่าให้ด่างพล้อย
พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีความเพียร ท่านกล่าวว่าคนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร หมายถึงว่าความดีนั้นให้หมั่นประกอบหมั่นทำ ถ้ามีแล้วหรือทำอยู่ก็ให้ประกอบความดีนั้นให้เกิดมีขึ้นเรื่อยๆรักษาความดีนั้นไว้มิให้เสื่อมคลาย
เราจะต้องศึกษาให้ถูก ก่อนที่เราจะรู้อะไรแจ่มชัดต้องศึกษาให้ละเอียดเพื่อความรู้ที่ถูกต้องและก็เพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย พระพุทธศาสนาก็เหมือนกันถ้าเราทะเล้อละล่าข้าไปก็จับจุดไม่ถูก นอกจากจับจุดไม่ถูกยังเข้าใจไม่ถูกก็พาให้เราปฏิบัติกันผิด การที่จะรู้จะเข้าใจในเรื่องนั้นก็ไม่ถูก การเข้าใจพระพุทธศาสนาจำเป้นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยการศึกษาให้เข้าใจถูกต้อง จึงต้องให้ความสำคัญต่อการศึกษา เพราะคนที่มีปัญญหาตอนนี้ก็เพราะไม่ได้ศึกษาห้ถูกต้องในหลักที่ควรปฏิบัติกัน
เมื่อเราศึกษากันดีแล้วก้น้อมคำสอนนั้นมาปฏิบัติให้เต้มที่เต้มกำลัง ยถาสติ ยถาพลํ มนสิ กโรม
เรื่องอะไรที่เราต้องศึกษาเราถึงจะเข้าใจพระพุทธศาสนาเอามาพูดกันวันนี้มี ๓ เรื่อง คือ ทาน ศีล ภาวนา เอาเรื่องปกติที่เราทำกันอยู่เพื่อทำความเข้าใจเพื่อการปฏิบัติให้ถูกต้อง การให้ทานเราก็ทำกันอยู่บ่อยๆ ศีลเราก็ทำ ภาวนาเราก็ทำแต่ทำตามๆกันมา พระพาทำก็ทำบางคนไม่รู้อะไรเขาว่าก็ว่าไปตาม ก่อนที่จะมาทำบุญนะลองถามดูสิถ้าไม่ใช่พราะหมอดูทักก็ไม่เข้าหรอกวัด ขอหวยอย่างนี้นั่นเพราะเราคิดว่ามันเป้นบุญเราก็ทำขอใหศึกษาให้ดีเพื่อการเข้าใจที่ถูกต้อง บางคนก็ยังคิดว่าเข้าวัดเป้นเรื่องของคนแก่ มีเวลาแล้วค่อยเข้าก็มีก็เพราะเราเข้าใจกันโดยไม่ได้ศึกษา ไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญาเมื่อมาทำก็ผิดไป แทนที่จะได้ปัญญากับไปก็เอาความทุกข์กลับไปอีกนั่นละโทษของการไม่ศึกษาอะไรให้เข้าใจ
มีพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า "ปุญฺญเมว โส สิกฺเขยฺย" เรามานั่งกันอยู่ในศาลาารเปรียญหลังนี้ หลายคนรวยทรัพย์ หลายคนก็พอมี หลายคนก็แทบไม่มี หลายคนมีความสุข หลายคนก็ทุกข์ใจมา ลูกไม่ดั่งใจผัวนอกใจก็มีบางคนไม่รวยทรัพย์แต่ใจดีก็มี จากพุทธพจน์ข้างต้นเราจึงต้องมาศึกษาเรื่องบุญกันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าบุคคลพึงศึกษาเรื่องบุญให้เข้าใจท่องแท้ จงเลือกให้ทานแต่เฉพาะที่ให้คุณประโยชน์ ให้เว้นทานที่ให้แล้วก่อทุกข์ร้อตามมา เราก้ทำกันอยู่มานาน บ้างก็ทำมากทำน้อยแล้วแต่ศรัทธาของใครของมันแต่เราก้ทำกันอยู่ก็ไม่เคยหายทุกข์ันสักที เข้าวัดก็หลายวัด เป่าเสกวัดไหนก็ไป ดน้ำวัดไหนดีก็ไปขึ้นเหนือลงใต้ไปหมด ไม่ใช่ว่าไม่ไดีหรอกแต่เราต้องศึกษากัน ญาติโยมทั้งหลายมาวัดก็หวังได้บุญ เราจะทำบุญตรงไหน เอาบุญอะไรก้ให้พิจารณาบ้าง บางสำนักบางวัดท่านก็มีสำนักเรียนมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษามากเราก็อนุเคราะห์ปัจจัย ๔ ให้เป็นเครื่องบำรุงพระสงฆ์สามเณร บางวัดท่านก็คลาดแคลนกุฏิบ้าง ศาลาบ้างก็ร่วมสร้างร่วมทำ ให้เราพิจารณาเห็นประโยชน์เราจึงทำถ้าบำรุงพระสงฆ์ให้มีการศึกษาเราก็ได้บุญมากมาย หนึ่งละได้พระสงฆ์ที่มีความรู้ความเข้าใจ สองเราได้ทำบุญไว้ในพระศาสนา สามเราได้เสริมกำลังอายุพระศาสนาที่มีพระสงฆ์ยังศึกษาอยู่แล้วเอาคำสอนนั้นมาบอกแก่เรา เราก้ยังได้บุญจากการฟังธรรมอีก พระสัทธรรมก็ยังคงดำรงอยู่ตราบใดที่เราบำรุงพระสงฆ์องค์เจ้า ตราบใดที่มีพระสงฆ์องค์เจ้าก็ยังมีผู้ปฏิบัติตามคำสอนเป็นหลักเป็นชัย นอกนั้นเราก้ยังได้ทำให้ประเทศชาติเจริญด้วยการสร้างคนสร้างกำลงชาติกำลังศาสนา อันนี้คือทำบุญแบบเห้นประโยชน์แล้วจึงทำ คือศึกษาว่าถ้าทำบุญส่วนนี้แล้วจะได้ประโยชน์อันนี้บ้างดังนี้ แต่ถ้าไม่ศึกษาแล้วไปทำบุญเราก็ไปขอหวยบ้าง ไหว้คางคกบ้างโน่นนะมันไกลกันไหม ไกลศาสนามากทีนี้เราก็มาหาว่าอันนั้นเป็นพระพุทธศาสนาก็พลอยให้ศาสนาเรามัวหมองไปด้วย พระพรหมพระพิฆเนศอย่างนี้ก็มีมา ถ้าเรายังทำกันอย่างนี้เราก็จะไม่เข้าใจหลักที่แท้จริงของการให้ทานที่ประกอบด้วยประโยชน์
ทีนี้จะกล่าวถึงข้อความที่ปรากฏในพระอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาติ กล่าวถึงการให้ทานท่านแยกออกเป็น ๒ อย่างคือการให้ทานของ อสัปปบุรุษและการให้ทานของสัปปบุรุษ
ทานของอสัปปบุรุษมี ๕ ประการคือ ๑.ให้โดยไม่เคารพ ๒.ให้โดยไม่ยำเกรง ๓.ไม่ให้ด้วยมือของตน ๔.ให้โดยทิ้งขว้าง ๕.ให้โดยไม่เห้นผลแล้วจึงให้
ส่วนทางของสัปปบุุรุษท่านก็แสดงไว้ตรงข้ามนี้ ส่วนทานของสัปปบุรุษนัยที่๒ท่านจำแนกออกไปอีกดังนี้
๑.ให้ทานด้วยศรัทธา
๒.ให้ทานโดยความเคารพ
๓.ให้ทานตามกาลอันสมควร
๓.๑ อาคันตกะทาน
๓.๒ คมิกทาน
๓.๓ ทุพภิกขทาน
๓.๔ นวสัสสทาน
๓.๕ นวผลทาน
๔.มีจิตอนุเคราะห์แล้วจึงให้
๕.ให้ทานโดยไม่กระทบตนเองและผู้อื่น
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกัับการให้ทานที่ทำแล้วได้อานิสงสิ์มากผู้ที่หวังบุญจากการให้ทานพึงศีกษาให้เข้าใจว่าเราทำบุญถูกไหม ทำกับเนื้อนาบุญหรือเปล่าท่านเปรียบว่าการทำบุญก็เหมือนกับเราปลูกข้าว ได้ดินดี กล้าดี หมั่นดูแลรักษาข้วกล้าเราก็ออกมางามให้ผลดีเวลาเก็บเกี่ยว เวลาทำบุญเราก็ทำแบบนั้นทำในนาที่ดี ให้ด้วยศรัทธา กระทำด้วยความเคารพไม่ลบหลู่ผู้ที่เราให้มีความตั้งใจ เมื่อจะกระทำบุญก็อย่าให้ตนเองเดือดร้อนผู้อื่นทุกข์ใจตาม
๑.เรื่องของศรัทธานั้นเป็นข้อพื้นฐานอยู่แล้วที่จะปูพื้นฐานให้เราเข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง มีศรัทธาจึงให้ได้จะของเล็กของใหญ่เมื่อไม่มีศรัทธาก็สละไม่ได้ ท่าจึงกล่าวว่าแม้จะให้ของอันเป็นสิ่งเล็กน้อยแแต่เมื่อให้ด้วยศรัทธา วัตถุทานชื่อว่าน้อยย่อมไม่มี
๒.ความเคารพนั้นเป็นความดีที่เราพึงปฏิบัติไม่ว่าจะทำอันใดกล่าวกะใคร เด็กเล็กผู้ใหญ่เราต้องให้ความเคารพกัน การให้ทานด้วยความเคารพท่านจัดเป้นสัปปุริสทานเพราะเมื่อบุคคลน้อมนำทักขิณาทานเข้ามาความเคารพก็ต้องมีให้แสดงกิริยามารยาทอันสมควร สังเกตเวลาที่เรามาใส่บาตรพระพ่อแ่เราสอนให้เราถอดรองเท้า ก็เพราะอันนี้ละเพื่อแดงความเคารพในคุณธรรมหวังอยากทำบุญด้วยท่านกล่าวอานิสงสิ์ของการทำบุญด้วยความเคารพว่าลูกเมียบริวารทั้งหลายจะเป็นผู้เชื่อฟังอยู่ในโอวาท เสมอต้นเสมอปลาย ใครที่เวลาถวายของให้พระทำแบบจับวางไม่ระมัดระวังก็ให้ทำใหม่เพราะมันแดงถึงความไม่ตั้งใจจริงของเราเหมือนไม่อยากจะได้บุญ เวลามาทำก็ให้ตั้งใจไม่ต้องรีบให้ทำเพื่อเอาบุญกันจริงๆ
๓.ให้ทานตามกาลอันสมควร ท่านเรียกสั้นๆว่ากาลทาน ทีนี้ท่าจัดกาลทานออกไปอีก๕ประการ ดังจะอธิบายให้ฟังดังนี้
๑.อาคันตุกทาน ทานแก่ผู้จรมา หมายถึงแขกมาบ้านช่องเราก้ต้อนรับท่านก็จัดเป็นทานที่ได้อานิสงสิ์มากอาตมาเคยได้ยินเร่องเล่าว่าเรื่องนี้เกิดที่ประเทศสหรัฐมีนักศึกษาแพทย์เดินทางเหนื่อยไปเคาะบ้านหลังหนึ่งเพื่อขอน้ำดื่ม เจ้าของบ้านก็ยินดียื่นน้ำให้กาลเวลาต่อมาเจ้าของบ้านคนนั้นป่วยต้องผ่าตัดก็เข้าโรงพยาบาลทีนี้เวลาจ่ายยาเขาก็เซ็นว่าจ่ายแล้วด้วยน้ำดื่ม นี้เพราะอานิสงสิ์ของบุญที่ได้กระทำไว้
๒.คมิกทาน ทานแก่ผู้ที่จะจากไป ญาติเราคนรู้จักเรามาเยี่ยมแล้วจะจากไปหรือคนที่เรารู้จักกำลังจะจากไปเราก็จัดแจงข้าวของให้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงกันท่านก้ว่ามีอานิสงสิ์มากให้ค่ายนพาหนะช่วยกันดังนี้
๓.ทุพภิกขทาน ข้อนี้เราทำกันบ่อยมากคนไทยนี้ชอบเป้นเสน่ห์ของบ้านเราเวลาเกิดเหตุเภทภัยขึ้นเราก้มาช่วยกันบริจาคกันหนาวที่เหนือเราก็ชวยน้ำท่วมที่ใต้เราก็ไปสึนามิมาเราก็ทำ ดังนี้เรียกว่าไม่ทิ้งกันให้ทานเมื่อเกิดภัยพิบัติท่านก็ว่าอานิสงสิ์ให้เห็น
๔.นวสัสสทาน อันนี้อาตมาเห็นเวลาชาบ้านทำนาเสร็จใหม่เอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้ฉางโดยเฉพาะแถวบ้านอาตมาเขาจะทำเป็นประเพณีเลยอาตมาก็มานกว่าบรรพบุรุษเราสอนให้เราทำก็เพื่ออยากให้ลูกหลานไม่คลาดจากบุญเอาของใหม่ถวายพระเพื่อเป็นสิริมงคล อย่างเพื่ออาตมา ตอนนั้นทำงานได้เงินเดือนออกมาใหม่ๆมาหาที่วัด ถวายเงินมาบอกว่าเป้นสิริมงคลเงินเดือนๆแรกในชีวิตครับหลวงพี่ อาตมาก็แนะนำให้ว่าแล้วอย่าลืมเจียดให้โยมพ่อด้วยละ
๕.นวผลทาน ให้ผลไม้ใหม่เป็นทาน ที่ท่านจัดนวสัสสทานและนวผลทานเป็นกาลทานเพราะ๒อย่างนี้ต้องมีฤดูมีเวลาของมัน เมื่อทำงานได้ผลออกมาดีก็เอามาถวาย มีเรื่องพอจะยกเป็นอทาหรณ์ปรากฏในบทสวดของพระสงฆ์ปรารภเรื่องราวไว้
ในอนุโมทนากถา กาลทานสูตร นี้เป็นบทพระพุทธมนต์อนุโมทนาแก่ผู้บริจาคทานตามกาล เป็นพิเศษ จะได้บรรยายถึง
มูลเหตุแห่งมนต์บทนี้ เพื่อเจริญศรัทธาสัมมาปฏิบัติของทุกท่านที่ใคร่ธรรมก่อน ทั้งเพื่อเป็นวิทยาภรณ์ของธรรมจารี
ชนสืบไป เรื่องมีว่า
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่กุฏาคารศาลาป่ามหาวัน แคว้นพระนครไพสาลี ประทานอนุสาสนีพุทโธวาท
ประสาธน์มรรคผล ให้สำเร็จแก่พุทธเวไนย ทรงประทานพรหมจรรย์แก่ผู้มีเสื่อมใสเป็นพิเศษ เพื่อให้บรรลุอจลเขตปฏิ
สัมภิทา ทรงเผยเกียรติคุณของพระศาสนา ให้รุ่งเรืองไพศาลเป็นพิเศษปลุกประชาสัตว์ให้ตื่นจากสรรพกิเลสนิทรา จึง
ประชาชนพากันเคารพบูชาและปฏิบัติดำเนิน โดยหยั่งเห็นเป็นคุณเครื่องจำเริญประโยชน์สุขทั้งภพนี้และภพหน้า
ครั้งนั้น สีหะเสนาบดี มีศรัทธา ได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับโดยควรแก่โอกาส น้อมเศียรถวาย
อภิวาทแล้วกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระมหากรุณาธิคุณโลกนาถ พระองค์ยังจะทรงสามารถบัญญัติแสดงให้เห็นชัด ถึง
ผลทานในปัจจุบันนี้ทันตาเห็น ได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “สีหะ ตถาคตสามารถบัญญัติให้เธอรู้เห็นชัดในปัจจุบันทันตาเห็นได้ จงตั้งใจสดับ
ท่านสีหะ อันคนผู้เป็นทานบดี คือเจ้าของทาน มิใจชื่นบานยินดีสละให้ ย่อมเป็นที่รักใคร่ ชอบใจของหมู่ชนเป็นอัน
มาก นี้เป็นผลในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“ท่านสีหะ ยังมีอีก คือ คนที่ยินดีสละให้นั้น ย่อมได้รับการคบหาสมาคมจากคนดี อัธยาศัยดี สงบเรียบร้อยทั่วไป คนดี
ทั้งหลายพอใจไปมาหาสู่อยู่ร่วม นี้เป็นผลในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“สีหะ ยังมีอีก เกียรติศัพท์ ชื่อเสียงอันดีของทานบดี ผู้ที่ยินดีสละให้ ย่อมฟุ้งขจ รไปไกล นี้เป็นผลทานในปัจจุบันข้อ
หนึ่ง
“ท่านสีหะ ยังมีอีก หากว่า ทานบดี คนที่ยินดีสละให้ จะเข้าสู่สมาคมใด ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์,พราหมณ์ หรือ คหบดี
หรือแม้สมณะ ย่อมจะองอาจ ไม่สะทกสะท้านเก้อเขินแต่ประการใด นี้เป็นผลทานในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“ท่านสีหะ ใช่ว่าผลทานจะสิ้นสุดอานุภาพในการให้ผลแก่ผู้บริจาคในปัจจุบันเพียงเท่านั้นก็หาไม่ เมื่อผู้บริจาคแตก
กายทำลายขันธ์แล้ว ยังจะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์อีก”
ท่านสีหะเสนาบดีได้สดับพระพุทธโอวาทจบลงด้วยความปลาบปลื้มประกาศความเชื่อมั่นต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ตนเป็นทั้งทายก เป็นทั้งทานบดี คือ เป็นทั้งผู้ให้ทาน และเป็นเจ้าของทานด้วย ถวายอภิวาทกระทำปทักษิณแล้ว
กลับคืนนิเวศน์ของท่าน
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ทรงแสดงกาลทานแก่ ภิกษุ ทั้งหลาย สืบไปว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีปัญญา จักรู้ถ้อยคำของคน
ร้องขอความกรุณาบอกความต้องการ ผู้ปราศจากความตระหนี่ ย่อมบริจาคทานให้ทานที่ควรบริจาค กาลทานที่บุคคล
บริจาคแล้วด้วยจิตเลื่อมใสมีผลไพบูลย์ แม้คนที่ช่วยเหลือในการบริจาค ที่สุดคนที่ทราบเรื่องแล้ว พลอยอนุโมทนา
ทานในการบริจาคนั้นด้วยความเลื่อมใส ก็มีส่วนพลอยได้บุญด้วยมาก เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรมีความกินแหนง
แคลงใจในการบริจาค พึงห้ามความท้อแท้และพึงบริจาค ทานที่บริจาคแล้วนั้น มีผลมากนัก”
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน คือ ทานที่บริจาคในฤดูกาลที่นิยมนี้ มี ๕ อย่างคือ ๑. อาคันตุกทาน ทานสำหรับบริจาค
แก่ผู้เดินทางมาถึงถิ่นเรา ๒. คมิกทาน ทานบริจาคแก่ผู้เตรียมตัวจะเดินทางไกล ๓. ทุพภิกขทาน ทานบริจาคในคราว
เกิดทุพภิกขภัย คือในสมัยข้าวยากหมากแพง ในคราวประชาชนอดหยากลำบากด้วยอาหารเพราะฝนแล้ง ข้าวตาย
คนอดหยากมาก แม้ประสบภัยจากน้ำท่วม ลมร้ายไฟไหม้ ก็นับเข้าในข้อนี้ ๔. นวผลทาน ทานบริจาคในคราวมีผลไม้
ใหม่ในปีหนึ่งๆ เช่น สลากภัตมะม่วง เป็นต้น ๕. นวสัสสทาน ทานบริจาคในคราวข้าวกล้าในนาแรกเกิดผล ในเวลา
ต่างๆกัน รวม ๙ ครั้ง คือ

๑. สาลิคพฺพคฺคํ ในคราวแรกรวงข้าวกล้าเป็นน้ำนม ( นิยมเรียกว่า ยาคู )

๒.ปุถุคฺคํ ในคราวข้าวเป็นข้าวเม่า

๓. สายนคฺคํ ในคราวเกี่ยว

๔. เวณิคฺคํ ในคราวทำคะเน็ด

๕. กลาปคฺคํ ในคราวมัดฟ่อน

๖. ปลคฺคํ ในคราวขนเข้าลาน

๗. ภณฺฑคฺคํ ในคราวทำลอมข้าว

๘. โกฏฐคฺคํ ในคราวขนเข้ายุ้งฉาง

๙. อุกฺขลิกคฺคํ ในคราวหุงข้าวใหม่

กาลทาน ทั้ง ๕ นี้ ที่บุคคลมีปัญญา มีศรัทธา บริจาคในท่านผู้มีศีลทั้งหลาย ย่อมมีผลมากยิ่งแล เมื่อสิ้นกระแสพระ

โอวาทแล้ว ได้ตรัสคำเป็นอนุโมทนากถา รวม ๓ คาถาครึ่ง มีคำว่า กาเล ททนฺติ เป็นต้น

สำหรับกาลทานในเรื่องถวายเนื่องด้วยข้าว รวม ๙ ครั้งนี้ มีเรื่องที่พรรณนาถึงผลของกาลทาน ที่คนใจบุญได้พยายาม

ทำ ว่ามีผลมาก และได้รับผลก่อนผู้อื่น เพราะคนทำก่อนย่อมได้ผลก่อน คนทำภายหลัง ย่อมได้ผลภายหลัง เรื่องมีว่า

ในศาสนาของพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้นมีคหบดีสองพี่น้อง ผู้พี่มีนามว่า มหากาล ผู้น้องมีนามว่า จุลกาล เป็นผู้มี

หลักฐานในกสิกรรม ทำนาเป็นอาชีพ โดยชอบโดยกาล มีวิริยะอุตสาหะไม่เกียจคร้านในงานเฉพาะหน้า สมัยหนึ่งได้

เริ่มทำนา เมื่อข้าวกล้าได้น้ำท่า และได้รับการรักษาด้วยดีก็งดงามเสมอกันหมด ครั้นข้าวในนาออกรวง เริ่มมีน้ำนม

แล้ว ท่านคหบดีจุลกาล จึงดำริว่า อันน้ำนมในเมล็ด ในระยะกาลนี้ มีโอชารส ถ้าเราจะเอามาบดบีบคั้นเอาแต่น้ำนม

และผสมปรุงด้วยน้ำตาลกรวด ก็จะมีรสหวาน เป็นอาหารอันเอมโอชอันล้ำค่า แล้วน้อมถวายแต่พระบรมศาสดาพระวิ

ปัสสีพุทธเจ้า เป็นดีแท้จึงจัดการทดลองโดยเกี่ยวเอารวงข้าวที่กำลังเป็นน้ำนม ในเขตนามา บ้านครั้นท่านมหากาลผู้

พี่ชาย เห็นเข้าก็ไม่ชอบใจ และห้ามปรามทัดทาน แต่ท่านจุลกาลไม่ยินยอม ในที่สุดได้ตกลงแบ่งนาทั้งสิ้นออกเป็น

คนละส่วนไม่รวมกัน เพี่อให้สิทธิในอันที่จะทำกิจนั้นๆได้ตามประสงค์ โดยควรแก่อัธยาศัย ท่านจุลกาล มีความยินดี

ในอันจะได้บำเพ็ญบุญดังมโนรถจึงได้เรียกคนเข้าช่วยจัดตัดเอาแต่รวงข้าวที่เป็นน้ำนม เอามาคั้นปรุงเป็นข้าวยาคู

อย่างโอชารส พอควรแก่พระสงฆ์ และน้อมถวายพระพุทธองค์ พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้าและสาวกด้วยความเลื่อมใส

และได้อธิษฐานไว้ว่าต่อไปในเบื้องหน้า ขอให้ข้าได้บรรลุโมกขธรรมก่อนกว่าใครๆในพระศาสนาของพระสัมมาสัม

พุทธเจ้าในกาลข้างหน้าโน้นเถิด

ส่วนท่านมหากาลไม่เลื่อมใส ไม่พอใจในการกระทำของน้อง ปล่อยให้ท่านจุลกาลบำเพ็ญบุญกาลทานในผลของข้าว

ในนา รวม ๙ ครั้งตามลำพัง มิได้เข้าช่วยเหลือร่วมแรง แม้แต่จิตจะอนุโมทนาก็ไม่มี เพราะไม่มีความยินดีแล้วแต่ต้น

ได้มาบำเพ็ญบุญสำหรับตนต่อกาลภายหลัง

ดังนั้น ครั้นท่านทั้งสองวายชนม์แล้ว ก็ไปสุคติสวรรค์ด้วยบุญกรรมนั้นๆ อำนวยให้ ประสบสุขตามวิสัย โดยควรแก่กาล

ครั้นมาบังเกิดในภัทรกัปป์นี้ ด้วยอานุภาพของกาลทานของท่านจุลกาลที่ได้บำเพ็ญในครั้งนั้น ได้นำให้ท่านมาเกิด

เป็นพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ได้สดับธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ได้สำเร็จอริยผล เป็นพระสงฆ์อริยเจ้าก่อนผู้อื่นทั้งหมด

สมดังมโนรถที่ปรารถนาไว้ในคราวถวายข้าวยาคู ซึ่งปรุงขึ้นด้วยข้าวน้ำนมในศาสนาพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า

ส่วนท่านมหากาล ได้มาบังเกิดเป็นพระสุภัททะ ได้ฟังธรรมของพระสัมพุทธเจ้าในเวลาที่พระองค์ใกล้เสด็จดับขันธ

ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมื่องกุสินารา ได้เป็นอรหันต์องค์สุดท้าย ด้วยกุศลที่ถวายทานในกาลภายหลัง ด้วย

ประการฉะนี้

สำหรับอนุโมทนากถานี้ พระสงฆ์ได้นิยมสวดเป็นคาถาอนุโมทนาในงานถวายกาลทาน ตามที่ประจักษ์อยู่เป็นประจำ

โดยมาก ก็งานทอดกฐิน ด้วยผ้ากฐินเป็นผ้ากาลจีวร คือ จีวรที่ทายกจัดถวายพระสงฆ์ในจีวรกาล ตามพระบรมพุทธา

นุญาตที่ทรงบัญญัติ จัดเข้าในกาลทานโดยแท้ กับงานถวายสลากภัตต่างๆ เช่น สลากภัตมะม่วง สลากภัตทุเรียน

เป็นต้น ก็นิยมใช้กาลทานสูตรสวดอนโมทนาทั่วกันในสังฆมณฑล

เพราะฉะนั้น ขอสาธุชนผู้ใคร่บุญ ไม่พึงประมาทในโอกาสที่บำเพ็ญกาลทาน ควรจะมีใจเบิกบานร่วมบำเพ็ญกุศล หรือ

ไม่ก็เข้าช่วยเหลือด้วยกำลังของตนตามสามารถ ที่สุดหากไม่เป็นโอกาส ก็ควรตั้งใจอนุโมทนาสาธุการ จักได้มีส่วน

บุญในกาลทานนั้นๆ
จริงๆว่าวันนี้ต้องการจะาพูดเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา แต่วันนี้เห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงขอยุติลงไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน หากมีเวลาก็จะได้มาพูดคุยกับทุกท่านอีกครั้ง อนุโมทนา เจริญพรฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น