เจริญพรคณะครูผู้บริหารและนักเรียนที่รักทุกคนทุกท่าน วันนี้เราทั้งหลายมาประชุมกันโดยปรารภเนื่องในวันอาสฬหบูชาพร้อมกันนั้นก็ได้นำต้นเทียนพรรษามาถวายพระสงฆ์และเวียนเทียนประทักษิณเพื่อระลึกนึกถึงพระรัตนตรัย
วันนี้เป็นวันพิเศษในทางพระพุทธศาสนาที่เราถือว่าเป็นวันครบองค์ ๓ ของพระรัตนตรัยคือเมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สัจธรรมรู้เห็นแล้วจึงนำเอาพระสัทธรรมนั้นมาประกาศแก่มหาชน ครั้งนั้นครั้งแรกในวันขึ้น๑๕ ค่ำเดือน๘ได้แสดงธรรมกถาแก่ปัญจวัคคีย์ได้ปรากฏว่าอัญญาโกณฑัญญะได้รู้เห็นตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยเหตุและปัจจัยแล้วก็จะดับไปเป็นเรื่องธรรมดานั่นก็ทำให้เกิดพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาขึ้น
เราชาวพุทธทั้งหลายโดยเฉพาะนักเรียนที่มาเรียนธรรมะกับพระอาจารย์ถ้าตอบไม่ได้นี้อายเขานะถ้าเขาถมว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรไม่ทราบนี้ไม่ได้ต้องตอบว่าอริยสัจจ์๔นี้คือพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำเอาออกมาแสดง อริยสัจจ์ ๔ คืออะไร
๑.ทุกข์
๒.สมุทัย
๓.นิโรธ
๔.มรรค
ให้เราเข้าใจว่าการรู้อริยสัจจ์ ๔ นั้นมีในเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้นและก็เป็นลักษณะคำสอนของพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงทุกข์ไปหาสาเหตุของการเกิดทุกข์ไปถึงมรรควิธีปฏบัติในการพ้นทุกข์พูดถึงสภาวะที่พ้นทุกข์คือนิพพาน นี่เป็นหน้าตาของอริยสัจจ์ พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องอริยสัจจ์นี้แก่ปัญจวัคคีย์เรารู้จักกันในชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ปัญจวัคคีย์ทั้งหลายได้ฟังแล้วมีเพียงโกณฑัญญะเท่านั้นที่รุ้เหตุตามพระพุทธเจ้า ถึงตรงนี้เราก็มีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ในวันนี้นั่นเอง
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ชาวพุทธเราจึงมาประชุมกันและถัดไปอีกหนึ่งวันก็จะเป็นวัดเข้าพรรษาของพระสงฆ์ในทุกเขตทุกอาวาส อันนั้นเกี่ยวกับพระธรรมวินัยอันคณะสงฆ์ก็จะปฏิบัติตามอริยประเพณีสืบไปโดยกำหนดระยะเลา ๓ เดือน
สมัยก่อนเราก็ถวายเทียนอันนั้นเป็นประโยชน์มาก แต่พอมาถึงยุคนี้สมัยนี้วัตถุเจริญขึ้นเราก็นำหลอดไฟมาถวายบางท่านก็ถวายโคมไฟ ก็นับว่าเป็นความฉลาดในการทำบุญ
เมื่อพูดถึงวันอาสฬหบูชาถ้าเราไม่พูดถึงมรรคมีองค์ ๘ นี้ก็จะไม่เข้าอรรถรสเท่าใดนัก ในธรรมจักรกัปปวัตนสูตรพระพุทธองค์ทรงแสดงได้แจกแจงมรรค ไว้ดังนี้
๑.สัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาอันเห็นชอบ ได้แก่การเห็นในอริยสัจ ๔ คือ
• ทุกข์
• เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สมุทัย)
• ความดับทุกข์ (นิโรธ)
• ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค)
๒.สัมมาสังกัปปะ คือดำริชอบ ได้แก่
ดำริที่จะออกจากกาม (เนกขัมมะ)
ดำริในการไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
ดำริในการไม่เบียดเบียนผู้อื่น
๓.สัมมาวาจา คือเจรจาชอบ ได้แก่การเว้นจากวจีทุจริต ๔ คือไม่ประพฤติชั่วทางวาจาอันได้แก่
• ไม่พูดเท็จ (มุสาวาทา)
• ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน (ปิสุณาย วาจาย)
• ไม่พูดคำหยาบคาย (ผรุสาย วาจาย)
• ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ (สัมผัปปลาปา)
๔.สัมมากัมมันตะ คือทำการงานชอบโดยประกอบการงานที่ไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม และเว้นจากการทุจริต ๓ อย่างได้แก่
• การเบียดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (ปาณาติบาต)
• การลักขโมย และฉ้อฉลคดโกง แกล้งทำลายผู้อื่น (อทินนาทาน)
• การประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร)
๕.สัมมาอาชีวะ คือเลี้ยงชีวิตชอบได้แก่ การเว้นจากการเลี้ยงชีพในทางที่ผิด การประกอบสัมมาอาชีพคือ
• เว้นจากการค้าขายเครื่องประหารมนุษย์และสัตว์
• เว้นจากการค้าขายมนุษย์ไปเป็นทาส
• เว้นจากการค้าสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร
• เว้นจากการค้าขายน้ำเมา
• เว้นจากการค้าขายยาพิษ
๖.สัมมาวายามะ คือมีความเพียรชอบ ๔ ประการได้แก่
• เพียรระวังมิให้บาปหรือความชั่วเกิดขึ้น
• เพียรละบาปหรือความชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว
• เพียรทำกุศลหรือความดีให้เกิดขึ้น
• เพียรรักษากุศลหรือความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่
๗.สัมมาสติ คือระลึกชอบได้แก่ การระลึกวิปัฏฐานได้แก่ การระลึกในกาย เวทนา จิต และธรรม ๔ ประการคือ
• พิจารณากาย ระลึกได้เมื่อรู้สึกสบายหรือไม่สบาย พิจารณาลมหายใจเข้าออก
• พิจารณาเวทนา ระลึกได้เมื่อรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ มีราคะ โทสะ โมหะหรือไม่
• พิจารณาจิต ระลึกได้ว่าจิตกำลังเศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว รู้เท่าทันความนึกคิด
• พิจารณาธรรมให้เกิดปัญญา ระลึกได้ว่าอารมณ์อะไรกำลังผ่านเข้ามาในใจ
๘.สัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ ทำจิตให้สงบระงับจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง ให้มีอารมณ์แน่วแน่เป็นอันเดียว เพื่อให้จิตจดจ่อไม่ฟุ้งซ่าน หาอารมณ์อันไม่มีโทษให้จิตยึด จะได้ไม่พร่าไปหลายทางได้แก่ การเจริญฌานทั้ง ๔ คือ
• ปฐมฌาน หรือฌานที่ ๑
• ทุติยฌาน หรือฌานที่ ๒
• ตติยฌาน หรือฌานที่ ๓
• จตุตถฌาน หรือฌานที่ ๔
มรรคมีองค์ ๘ นั้นเป็นแนวปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์พ้นความโศก ในชีวิตประจำวันของเราโดยเฉพาะเราเป็นนักเรียนนักศึกษาเมื่อไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียนไม่มีศรัทธาในการเรียน เมื่อศรัทธาไม่มีก็ไม่ทำไม่ศึกษาไม่ตั้งใจ ไม่ศึกษาพิจาณาจะเห็นทุกข์จะเกิดปัญญาได้อย่างไร ไม่เรียนก็ไม่รู้ ไม่ดูก็ไม่เห็น ไม่ทำก็ไม่เป็น อะไรๆก็ไม่รู้ไม่ทำไม่สนใจก็อย่าหวังความเจริญในชีวิต ครูบอกครุสอนไม่เอาไม่ใส่ใจไม่ตั้งใจทำกิจของตัวเองคิดถึงเรื่องใส่ใจเรื่องอื่นอันเป็นกิจภายนอกไม่ใช่หน้าที่ปัจจุบันของตัวเองนั่นก็พาตัวลงเหวไปนรกกัน มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้นนี้ ก็คือให้เราเห็นว่าการเรียนการศึกษานั้นเป็นเรื่องสำคัญเรียนแล้วได้ความรู้มีปัญญาเมื่อได้ความรู้ได้ปัญญาก็จะได้รู้วิธีทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ก็จะได้ไม่ต้องโง่ต้องทุกข์
มรรคนี้ละคือวิธีได้ปัญญาทำเลยมรรคมีองค์ ๘ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี หมั่นเพียรขยันในหน้าที่ของตน พิจารณาให้มากๆปัญญานั้นเป็นผล ปัญญาไม่ใช่ของซื้อได้หาได้ตามห้างร้านค้าแต่มันมีในตัวเราตัวทุกคนทุกผู้ เราจะสร้างมันขึ้นมาไหมเท่านั้นละ เพียรทำกิจอันจะทำให้เกิดปัญญา สัมมาทิฏฐิมีก่อนแล้วค่อยปฏิบัติขั้นต่อไปคืออยู่ในศีลนั่นเองทำบ่อยๆตั้งใจทำก็คือสมาธิ ปัญญานั่นเป็นผลของการปฏิบัติสูงสุดของพระพุทธศาสนาก็ต้องสร้างขึ้นมาเองเช่นกัน
สุดท้ายที่ให้เราทั้งหลายน้อมใจระลึกถึงพระรัตนตรัย จะระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติก็น้อมจิตระลึกว่า “พุทโธ” ถ้าจะน้อมระลึกถึงพระธรรมก็พึงกำหนดว่า “ธัมโม” หรือใครจะน้อมระลึกถึงพระสงฆ์ก็พึงกำหนดเช่นนั้นเดียวกันว่า “สังโฆ”ดังนี้ เมื่อใจเป็นสมาธิก็ให้น้อมสมาธินั้นเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันอาสฬหบูชานี้ ขอให้ทุกท่านตั้งใจ สัก ๓ นาที
รัตนนัตตยานุภาเวนะ ด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ทุกท่านมีความสุขตลอดกาลทุกเมื่อเถิด สาธุ อนุโมทนาทุกท่าน เจริญพรฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น