สมาธิอย่างง่าย
เมื่อตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่นแล้ว การนั่งเป็นอิริยาบถที่เห็นต้องพิจารณาเป็นลำดับแรกก่อน พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า “ให้ตั้งสติไว้เฉพาะต่อหน้ากรรมมัฏฐาน” หมายความว่าเมื่ออะไรเกิดขึ้นจะเป็นเวทนาหรือ ความฟุ้งซ่าน ให้เอาสติกำหนดจับตรงนั้น แต่ถึงจะให้กำหนดตามสภาพที่เกิดขึ้นก็ต้องมีอารมณ์ที่ต้องยึดไว้เป็นแนว ที่เราคุ้นกันดีก็คือ พุท-โธ บางที่ก็ พองหนอ-ยุบหนอ
พุท-โธนั้นเป็นฝึกสติโดยการการกำหนดลมหายใจเข้าออก เมื่อหายใจเข้า บริกรรมว่า “พุท” เมื่อหายใจออกบริกรรมว่า “โธ” โดยเมื่อหายใจเข้าออกให้กล่าวคำภาวนาดังนี้ มีสติอยู่ที่ลมหายใจโดยภาวนาพุท-โธตามลมหายใจที่เข้า-ออกนั้น
กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆโดยกำหนดพุทโธตามลมหายใจ ให้สติอยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น
เมื่อกระทำได้สักระยะจิตจะเริ่มเป็นสมาธิ เพราะอาศัยความที่เป็นสมาธินั่นเองจึงน้อมปัญญาเข้าไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย
พิจารณากายนั้นให้น้อมจิตไว้ที่ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ พิจารณาในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ลงในไตรลักษณ์ ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความตั้งอยู่ไม่มีแน่นอน ความดับไปเพราะในทุกสิ่งอย่างไม่เที่ยงจำต้องเคลื่อนคล้อยเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่มีอะไรที่น่ายึดมั่นเลย ทั้งเกสาทั้งหลายที่ยาวสั้นต่างก็เป็นของไม่สะอาด ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยของไม่สะอาดไหลเข้าไหลออกอยู่ตลอดเวลา หู ตา จมูก ลิ้น ทั้งหลายก็เช่นกันล้วนมีแต่ของไม่สะอาดจึงไม่ควรที่จะเข้าไปยึดติดว่าน่ารักใคร ชื่นชมยินดีเลยและด้วยเพราะกายนั้นอาศัยการไหลเข้าไหลออกจึงสามารถตั้งอยู่ดำรงอยู่ได้ กายต้องนำอาหารและลมเข้าไปจึงตั้งอยู่ได้และก็ต้องเอาอาหารและลมเหล่านั้นออกด้วย
ความที่กายนั้นเป็นของไม่จีรังยั่งยืนคงทนและถาวรเมื่อนานไปถึงคราวแตกดับก็ดับไปตามเหตุและปัจจัยไม่มีอะไรสามารถฉุดไว้ได้ เมื่อพิจารณากายก็ให้พิจารณาหยั่งลงในลักษณะนี้ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดยินดียินร้ายในรูปนั้นๆ
การที่เรารู้แล้วกำหนดพิจารณาลงไปในกายว่าเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นรูปด้วยธาตุทั้งหลายปรุงเข้าด้วยกัน ก็จะเห็นถึงที่เกิดของกายและที่ดับของกาย ความเสื่อมของกายที่เกิดด้วยอนิจจัง ความเข้าใจตามนี้ย่อมคลายความหลงในรูปลงได้
ความเกิด
ความแก่
ความเจ็บ
ความตาย
เวทนา
การดูเวทนานั้นให้กำหนดแน่ชัดว่าเวทนานั้นเกิดที่กายหรือใจ เวทนานั้นไม่ใช่กายแต่เวทนาต้องอาศัยเกิดขึ้น เช่นปวดขา ปวดหลังเหล่านี้เพราะมีแขนและขาจึงมีอาการปวดเจ็บรู้สึกเกิดขึ้น พูดง่ายๆก็คือมีสิ่งใดเวทนาก็อาศัยสิ่งนั้นเกิดขึ้น
เมื่อจะพิจารณาเวทนา ต้องรู้ว่าเวทนาเกิดเพราะอาศัยกายเป็นที่ตั้งเพราะมีสิ่งเหล่านี้จึงเกิดมีเวทนาขึ้น หากไม่มีขาแขน ตา ก็ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้ปรากฏ เวทนาเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ เมื่อจะดับลงก็เมื่อกายดับไป เวทนาก็ดับไปเช่นกัน เวทนาจึงไม่ใช่ตัวตนเหมือนกัน
พุทธะองค์ตรัสจำแนกเวทนาไว้ ๓ ดังนี้:
“ติสฺโส อิมา ภิกฺขเว เวทนา.กตมา ติสฺโส.สุขา เวทนา,สุขเวทนา,ทุกขา เวทนา,อทุกขมสุขายเวทนา.อิมา โข ภิกฺขเว ติสฺโส เวทนา”.
“ดูก่อนภกษุ ท. เวทนามี ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างคืออะไร คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนาและอุเบกขาเวทนา ดูก่อนภิกษุ ท.เวทนามี๓อย่างนี้”
จากพุทธพจน์เราสามารถแบ่งเวทนานั้นได้ ๓ อย่างแล้ว ทีนี้เมื่อเวทนาเหล่านั้นเกิดขึ้น เราต้องมีวิธีปฏิบัติต่อเวทนาเพื่อไม่ให้เกิดความยินดียินร้ายเข้าไป
เมื่อเราพิจาณาไปยังจุดที่เกิดของเวทนาเหล่านี้จะเห็นตามความเป็นจิรงว่าเมื่อมีการกระทบกันระหว่างอายตนะภายในภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกันโดยที่จิตเข้าไปถูกไปจับได้กับรูป ต้องไปกระทบก่อนจึงเกิดความรู้สึก ทีนี้จะรู้สึกว่า สวย ว่าไม่สวย หรือเฉยๆก็เป็นเวทนาที่เกิดขึ้นเวทนาสมบรูณ์แล้วเมื่อเกิดได้สมบรูณ์แล้วเป็นเหตุให้เกิดตัณหา ความยึดมั่น เพราะความรู้สึกที่มีในอารมณ์นั้นเป็นแรงผลักดันให้เกิดอุปาทาน
เราจึงควรพิจารณาเวทนาให้แจ้งชัดเพราะเวลาที่คนเราทุกข์หรือสุขยิ้มหรือร้องไห้บนโลกใบนี้ก็ตามเป็นเพราะเวทนาพาไปทั้งนั้น เพราะไม่รู้กำหนดรู้พิจารณาจึงไม่สามรถสลัดหรือลดความอยากได้จึงทำให้เกิดอุปาทาน ทุกข์หลายๆอย่างของคนเราจึงยากที่จะเบาบางลงได้
วิธีที่จะกำจัดเวทนา
ลำพังแค่สติตัวเดียวยังไม่เพียงพอที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้ เราต้องประกอบธรรม ๓ อย่างคือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา ให้เท่าเทียมเสมอกัน
เวทนาถ้าเราไม่ขยันสู้อดทนจริงๆนั้นไม่มีทางเอาชนะได้เลย ถ้าเวทนาเกิดหากเราปล่อยไปตามกระแสยิ่งจะเหมือนธารน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ ย่อมจะทำให้เราฟุ้งซ่านได้ง่าย พุทธองค์จึงตรัสว่า ขันติ ปรมํ ตโปตีติกขา ความอดทนเป็นธรรมที่ข่มกิเลสได้ดียิ่งอันยิ่ง
เราอย่าลืมว่าเวทนานั้นไม่ได้เกิดเฉพาะเวลาเรานั่งสมาธิเท่านั้น แม้กระทั่งเรายามที่เราเดินไปพบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าความรู้สึกย่อมเกิดขึ้น พบเจอเข้ากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมจะมีความรู้สึกปรากฏขึ้นนั่นแหละเป็นวิธีการในชั่วโมงยามที่เราต้องปฏิบัติในขณะนั้นทันที ความรู้สึกเหล่านี้ท่านก็ไม่ให้ละเลย
คนฉลาดย่อมรู้จักในการรักษาจิตให้สะอาด เมื่อทราบว่าสุขเวทนาทุกขเวทนาทำให้ใจไม่ใสไม่สะอาดก็ต้องพิจารณาลงในความเปลี่ยนแปลง
หากเราจะย้อนมองไปดูพระจริยาของพระพุทธเจ้าจะเห็นว่าพระองค์ก็ทรงเห็นแล้วว่าการติดในปิติสุขนั้นทำให้ไม่สามารถล่วงทุกข์ได้ เห็นได้เมื่อคราวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไปปฏิบัติสมถะกับกัมมัฏฐานในสำนักอาฬารดาบสและอุทกดาบส การได้ฌานจึงทำได้แค่หยุดใจให้สงบเท่านั้น เมื่อหันมาเจริญวิปัสสนาก็หยั่งเห็นเวทนาความรู้สึกเป็นของไม่น่าอาลัยไม่ยึดมั่นในทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนา
ความร้อนก็มิได้ตั้งอยู่กับเราตลอดไป ความร้อนเกิดขึ้นได้เพราะความเย็นดับลง ความสุขก็คือทุกข์ลดลงไป แต่เมื่อถึงความทุกข์เกิดขึ้นความสุขก็ลดลง สรรพสิ่งก็เปลี่ยนแปลงสลับกันดังนี้
เวทนาทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางจิตสุดแล้วแต่จะปรากฏชัดในที่ใด ขณะที่เดินอาจจะเหมื่อยขา ขณะนั่งอาจจะปวดหลังเมื่อเราโดนลมพัดเกิดความเย็นสบาย นั่นเราสบายที่ใจเรามีตัวรู้ที่รับรู้ที่ใจว่ามันสบาย ทีนี้เราจะเห็นว่าความปวดเหมื่อยที่เกิดนั้นหลังก็ไม่ได้ปวดลมพัดกระทบกายเกิดความเย็นสบายก็แยกได้ว่าลมก็ส่วนหนึ่ง กายก็ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกว่าสบายก็อีกส่วนหนึ่ง
อย่าพึ่งเปลี่ยนให้พิจารณาดูก่อน
แล้ววิธีที่เวลาเรานั่งกัมมัฏฐานเมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้นเราจะทำอย่างไร แน่นอนว่าเมื่อเรานั่งกัมมัฏฐานทุกคนต้องผ่านอาการแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าเกิดเวทนาขึ้นเราอย่าพึ่งเปลี่ยนอิริยาบถทันที ให้เราพิจารณาดูก่อน ตั้งจิตลงไปที่เกิดของเวทนานั้นไว้สักครู่โดยใช้ความอดทนแล้วกำหนดว่า”ปวดหนอๆ”แล้วสังเกตุอาการเหล่านั้นโดยที่เวลาเรากำหนดพิจารณาอาการเหล่านั้นให้เราเลิกคำภาวนาไว้ก่อน น้อมจิตประคองมาไว้ที่เวทนา
กระทั่งเรารับรู้อารมณ์นั้นแจ้งชัดแล้ว จึงค่อยถอนเคลื่อนหรือยักย้ายอิริยาบถออก ให้กระทำช้าๆ ให้สังเกตอาการของอิริยาบถนั้นๆทุกขณะมีสติกำหนดรู้ทุกเมื่อ
จิต
การเจริญวิปัสสนาต้องอาศัยการกำหนดรูป-นามเป็นอารมณ์เสมอ โดยให้เห็นทั้งสองอย่างนั้นเป็นสภาพที่ไม่คงทนแน่นอน มีความผันแปรไปตามกฎและเหตุปัจจัยเมื่อหัวข้อที่แล้วได้อธิบายถึงการพิจารณากาย เวทนา ถึงตอนนี้จะพูดถึงการพิจารณาจิตให้สะอาด ให้เป็นที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติต่อตัวเอง เรื่องจิตนั้นท่านให้กำหนดตามรู้เท่าทันที่มีอารมณ์เกิดขึ้น เพราะความที่ปกติของจิตเป็นสภาพที่ไหลและวิ่งอย่างรวดเร็วคล้ายแสงอาทิตย์ หมายความว่าจิตเป็นที่รับรู้ทุกสิ่งอย่าง เวทนาเกิดที่กายแต่ตัวรับรู้คือจิตและตัวจิตจะเป็นตัวควบคุมการแสดงออกทั้งทางกาย วาจา ใจ ดังมีพุทธพจน์ปรากฏในหลายที่สามารถสรุปได้ดังคำไทยที่ว่า จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว
การกำหนดจิตตามหลักสติปัฏฐานสูตรท่านให้ตามรู้จิตดังนี้ว่า
“จิตมีราคะก็ให้รู้ว่า จิตมีราคะ จิตปราศจากราคะก็ให้รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตหายจากราคะก็ให้รู้ว่าจิตหายจากราคะ จิตมีโทสะก็ให้รู้ว่าจิตมีโทสะ จิตหายจากโทสะก็ให้รู้ว่าจิตหายจากโทสะ...”
ตามธรรมดาของจิตนั้นย่อมเป็นที่รับเอาทั้งราคะ โทสะ โมหะเข้ามาโดยจิตไม่ได้ปฏิเสธเลย ถ้าเราแยกพิจารณาให้ละเอียดด้วยปัญญา เมื่อราคะเกิดก็จักเกิดความรักใคร่ ยินดี ชอบกำหนัดบ้าง อยากได้สิ่งนั้น หากไม่ได้สิ่งอันเป็นที่รักทีใคร่ก็เกิดความเสียใจ ทุรนทุราย ฟุ้งซ่าน อาการดังนี้หากไม่มีสติกำหนดรู้ก็จะหลงเกิดโมหะธรรมขึ้นมา
เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นที่จิตธรรมะที่สำคัญที่ต้องอาศัยเพื่อยับยั้งกิเสลไม่ให้กำเริบนอกจากสติแล้วคือขันติธรรมที่จะเป็นตัวข่มใจไว้เพื่อไม่ให้กิเลสปะทุขึ้นธรรมะอีกตัวที่จะเป็นตัวช่วยให้การปฏิบัติบรรลุได้ช่วยขันติธรรมอีกทีคือวิริยะต้องประสานกัน
ในยามที่เราปฏิบัติธรรมสิ่งที่เป็นอุปสรรคของการปฏิบัติธรรมของใครหลายคนคือความคิดฟุ้งซ่าน คือจิตชอบคิดแล่นไปมา สิ่งนั้นให้เราเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาของสภาพจิตที่รู้อารมณ์ตลอดเพียงแต่จิตจะน้อมเอาอารมณ์ไหนมาเป็นเครื่องระลึกถ้าจิตไปยึดเอาความโกรธ ความหลังความยินดีในคราวครั้งก่อนก็ต้องให้รู้ชัดในอาการนั้น ถ้าเราเข้าใจตามความจริงว่าจิตเป็นสภาพคิดตัวรู้อารมณ์มักจะแล่นไปตามธรรมชาติของมัน ก็ให้เราอย่าได้กังวลเมื่อมันเป็นธรรมชาติของมันเราก็ต้องพิจารณาให้เห็นตามธรรมชาติของมันนั่นเอง อย่าไปสลัดความคิดทิ้ง อย่าไปบังคับความคิดมันอาจจะทำให้เกิดความรำคาญได้ เมื่อความคิดทั้งลายเกิดขึ้นก็อย่าไปคิดว่าทำไมคิดมากเหลือเกิน วุ่นวายเหลือเกินแต่ให้เอาอาการความคิดนั้นมาพิจารณา ความยินดีอยู่ที่ไหน ความโกรธอยู่ที่ไหน ความสุขอยู่ที่ไหนให้ยกเอาสิ่งนั้นมาพิจารณา เพราะทุกสิ่งอย่างทั้งความรักความชังเราเป็นสร้างมันขึ้นมาเอง
เมื่อรู้เท่าทันก็จะเห็นว่า การมีต้นเหตุของความทุกข์หรือการมความทุกข์สั่งสมคั่งค้างอยู่ทำให้ใจไม่สะอาดมัวหมองจึงจำเป็นที่เราต้องหมั่นชำระจิตของเราให้สะอาดทุกๆวันเวลา โดยอาศัยความเพียรความอดทน หมั่นทำให้บ่อยๆก็จะตามรู้อาการที่จิตรู้ได้ เมื่อเห็นเช่นนี้ความยินดียินร้ายในความรับรู้อารมณ์ก็จะเบาบางผ่อนคลายลง
การรู้จิตตามที่สภาวะธรรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นจะปรากฏให้เราเห็นถึงความที่จิตของเรานั้นเป็นความคิดปรุงแต่งโดยที่เข้าไปปรุงแต่งทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลแต่แล้วทั้งสองอย่างก็ดับไป จึงจะเห็นว่าจิตเป็นที่ถูกรู้ ความที่จิตของเราเข้าไปยึดในอารมณ์ใดอย่างหนึ่งทำให้มองไม่เห็นไตรลักษณ์ เราจึงต้องทำจิตให้เป็นตัวรู้โดยความเป็นกลางๆไม่สอดใส่เพิ่มความปรุงแต่งลงไป เฝ้าดูตามเหตุและปัจจัยที่เกิดขึ้น หมายความว่าให้รู้สภาวะธรรมโดยไม่คิดปรุงแต่งนั่นเองดังหลักที่ท่านกล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เมื่อจิตมีความโกรธให้รู้ชัดว่าจิตกำลังมีความโกรธ เมื่อจิตมีความรักก็ให้รู้ชัดว่าจิตมีความรัก เมื่อเกิดความสงสัยก็ให้รู้แค่ว่าจิตนั้นเวลานั้นมีความสงสัยó ถึงตอนนี้สติมีความสำคัญมากการรู้ธรรมที่เกิดขึ้นตัวรู้นั้นนี้เรียกว่าสติ ให้เราน้อมพิจารณาตามธรรมที่เกิดขึ้นพึงหมั่นฝึกหัดอบรมจิตดังนี้ การที่เราเฝ้าดูและรู้ความเป็นไปของจิต โดยที่ไม่ไปบังคับหรือยินดีในสภาวะทั้งหลายกรณีนี้ท่านเปรียบว่าให้ทำจิตของตนให้เป็นดั่งยามเฝ้าประตู คอยดูคนเข้าออกตรวจดูอยู่อย่างนี้
ธรรม
ทุกสิ่งอย่างทั้งรูป-นามต่างก็รวมลงในธรรม ธรรมะนั้นอยู่ในทุกสิ่งอย่าง การพิจารณาธรรมจึงครอบคลุมทั้งหมด การพิจารณาจึงให้พิจารณาตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านแนะทำให้ดูที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยการพิจารณาให้รู้โดยแจ้งชัดใน ตาที่เห็นรูป หูที่ได้ยินเสียง จมูกที่ได้รับกลิ่น ลิ้นเมื่อได้สัมผัสรส กายเมื่อได้สัมผัส ใจเมื่อได้กระทบรู้อารมณ์หมายความว่าเมื่อตากระทบรูปให้กำหนดลงที่ตาว่า “เห็นหนอ” เมื่อขณะได้ยินก็ให้กำหนดว่า “ได้ยินหนอ”
พิจารณาให้เห็นตามที่พระอาจารย์ทั้งหลายท่านแนะนำว่าให้เพ่งพิจารณาโดยอาการว่า “สักแต่ว่า” สักแต่ว่าได้เห็น สักแต่ว่าได้ยิน และในอาการต่างๆที่เกิดขึ้นในทางทวารทั้งหลายเพื่อไม่ให้เกิดความยินดียินร้ายความใส่ใจในสิ่งนั้นๆ
เราจะไม่ใส่ความปรุงแต่งในธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเราจะไม่เห็นสภาวะธรรมโดยความเป็นธรรมชาติคือตัวของสภาวะธรรมนั้นๆที่เกิดขึ้น
รู้จักตัวเองหรือยัง
ถ้าถามหลายคนจริงๆจังๆว่า “คุณรู้จักตัวเองไหม” อาจจะมีคำตอบกลับมาว่าใครบ้างไม่รู้จักตัวเอง แต่ถ้าเราลองนึกดูดีๆ มีจะเห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้รักตัวเองอย่างแท้ จริง เราเห็นคนหลายคนในโลกนี้ออกเดินทางเพื่อตามหาตัวเอง เพื่อออกตามหาสัจจะดังที่มีบุคคลหลายท่านออกมาประกาศว่าเขาได้พบสิ่งเหล่า นั้นบ้างแล้ว
การรู้จักตัวเองเป็นการเริ่มต้นของชีวิตคน ถ้าเราไม่รู้ตัวเองนั้นเป็นอย่างไร ต้องการอะไร เราก็จะไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตได้ การรู้จักตัวเองนั้นคำตอบคือเราจะได้รู้ตัวเองนั่นเอง อาจจะไม่ใช่ว่าเราต้องการอะไรบ้าง เราต้องแสวงหาอะไรบ้าง แต่ในที่นี้ขอให้ทุกคนรู้จักการสำรวจตัวเองให้ทั่วพร้อมใช้สติปัญญาพิจารณา ตัวเองให้ทั่วทุกด้าน ทั้งกาย วาจา ใจ ในโลกนี้คงยังไม่มีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์สิ่งใดที่จะสามารถตรวจสแกนความต้อง การหรือภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับเราได้ เมื่อเจอสิ่งไม่ดีแล้วก็ตัดออก ผ่าออกเหมือนเนื้องอก ผมทั้งหลายเมื่อยาวไม่สวยไม่ได้สระมาสามสี่วันก็ใช้น้ำยาสระผมชะโลมล้าง ปากไม่สะอาดฟันไม่แข็งแรงก็ใช้ยาสีฟันหายามาอุดเสียเหล่านี้ก็คงพอทำได้ นอกเหนือสิ่งนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจของเราที่เราต้องหมั่นชำระ ให้สะอาดอยู่เสมอ รู้จักรักษากายทำความสะอาดกายแล้วก็อย่าลืมใส่ใจให้กับจิตของตัวเองด้วย สภาพของจิตที่ย่ำแย่ ย่อมส่งผลกระทบต่อทุกส่วนของร่างกายกระทั่งการแสดงออกต่อผู้คน พระท่านจึงสอนสอนให้เพียรระวังสังวรดูจิตของตัวเอง ได้ดูจิตตัวเองก็ได้ดูความคิดของตัวเองได้พูดกับตัวเอง ได้บอกกล่าวตัวเองสอนตัวเองด้วย ยามที่ท้อหมดแรงและกำลังใจก็บอกตัวเองให้ยิ้มสู้เสมอ ทุกวันนี้เรากลายเป็นคนสภาพจิตใจย่ำแย่ไหม หมายความว่าเรามีความโกรธความเกลียดความชังไหม ความโลภของเราอยากได้ของเขามีมากหรือเปล่า เรามีความอยากมากไปหรือเปล่าที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่ไกลไปหรือสิ่งที่เรียก ว่ากระแสนิยม สิ่งเหล่านี้เราต้องพิจารณา ตรวจชำระความคิดของเราขณะสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นให้ได้ให้ทัน ถ้าเราตามไม่ทันนั่นละจะพาเราหลง เมื่อสแกนดูแล้วจับได้แล้วเอาที่สำคัญก่อน ที่เราเห็นมันก่อนนั่นแหละมาพิจารณา ให้เอาสิ่งเหล่านี้เป็นข้อบกพร่อง ข้อที่ควรรีบก็แก้ไขเลย เอาเวลาที่ว่างก็ได้ หรือตอนตื่นเช้าก่อนนอนหลังจากเราตื่นขึ้นทำงานแล้วจะมีสักกี่นาทีที่เราจะ ได้ทำแบบนี้เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราก้าวออกจากบ้านหลายคนก็ดำเนินชีวิตไปตาม ปกติพบปะเจอะเจอผู้คนมากมายไม่ได้คิดเลยหรือใช้เวลาพูดคุยกับตัวเองเลย การสำรวจตัวเองนั้นสมมุติว่าเมื่อเราพบว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวให้กำหนด ว่า”เราเป็นคนเห็นแก่ตัว” หรือเมื่อกระทำสิ่งที่เป็นการแสดงออกเหล่านี้กำหนดเลยเพ่งพิจารณาลงไป น้อมเข้ามาหาตัวเรา ระลึกให้ได้ พร้อมกันนั้นก็พูดกับตัวเองต่อไปอีก พร้อมทั้งหาวิธีการแก้ไข การแก้ไขสิ่งเหล่านี้เราพิจารณาเองไม่มีใครช่วยเราได้ ให้เราแก้ตัวเอง
เมื่อเราเพียรพยามยาทำอย่างนี้เราจะสามารถเข้าใจตัวเองได้ จะรู้จักข้อด้อยเห็นเสียของเรา รู้ปัจจุบันธรรมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่สำคัญในจุดนี้คือความเพียรปรับปรุง ลด ละ เลิก ก่อ สร้าง เสริม บริหารจิตของเราฝึกจิตของเราอย่างนี้ประสบความสำเร็จ ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้นแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น