ศีล
ตามความเข้าใจของเราที่ปฏิบัติกันมาการขอศีลจากพระนั้นถือเป็นปกติของเราที่ประพฤติกัน โบราณเราก้ทำกันอย่างนี้ สอนให้เราขอศีลก่อนถวายทานเพื่อความบริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องรองรับบุญจะได้มีอานิสงสิ์มาก ต่อมาก็กลายเป็นพิธีกรรมระเบียบแบบแผนในศาสนพิธี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นแต่ปัญหาของศีลคือเราเข้าใจว่ารับศีลแล้วจะเป็นผู้มีศีลจะได้ไปสวรรค์กัน พากันรับแต่ศีลแต่ไม่เคยรักษาศีล เราเป็นพุทธศาสนิกชนต้องรู้และฉลาดในพิธีกรรมว่าการนั้นๆมุ่งหวังอะไร พิธีกรรมท่านบัญญัติไว้เป็นแนวให้เราเข้าใจแก่นของธรรมเพื่อเป็นวิถีทางให้เราปฏิบัติได้ถูกต้องเรามาติดกันตงที่รับศีลการปฏิบัติไม่มีก็เลยยุ่งกันใหญ่ ความสงบความไม่มีเวรก็ไม่จบ อานิสงสิ์ของศีลไม่เกิดขึ้น
เราจะรับศีล ๕ ศีล ๘ ก็ต้องให้รู้และเข้าใจหมายความของศีลด้วยว่าเราต้องมีปัญญาถ้าไม่มีปัญญาศีลก็รักษาให้ครบไม่ได้ เพราะศีลแต่ละข้อเราต้องฉลาดที่จะปฏิบัติด้วย ฉลาดที่จะทำให้เกิดมีถึงจะได้มรรคได้ผล
หลายคนรับศีลแล้วก็จบไป จบตรงนั้นคิดว่าได้บุญแล้วไปสวรรค์แล้ว อย่างนี้เรียกว่าไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นเก็เรียกว่าเห็นผิด การรักษาศีลไม่จบแค่นั้นศีลนั้นเป็นข้อปฏิบัติที่ต้องเกี่ยวข้องกับเราในชีวิตประจำวัน ต้องฝึกทำให้ได้มีไว้ประจำตัวเพื่อความเป้นผู้อยู่เป็นสุขไม่มีเวรภัยเกิดความสงบสุขในชีวิต ศีลที่ปฏิบัติถูกต้องนำมีอานิสงสิ์เห็นในปัจจุบันชาติไม่ต้องรอชาติไหน ผู้ล่วงละเมิดศีลก็เหมือนกันเห็นกันในชาตินี้เลย ย่อมอยู่ไม่เป็นสุข
เวลาเราพูดตามพระเราต้องตั้งใจให้มั่นเรียกว่ามีเจตนาเพราะศีลจะเกิดขึ้นได้ต้องมีเจตนาประกอบในทุกข้อ เจตนา หัง ภิกขเว สีลัง วทามิ ศีลนั้นต้องมีเจตนานำหน้าถ้าขาดเจตนาในตอนรับข้อปฏิบัติที่จะละเว้นคือศีลแต่ละข้อที่เรารับเอามาปฏิบัติข้อนั้นย่อมกลายเป็นโมฆะเราก็เป็นผู้ไม่มีศีล
การรักษาศีลก็ใช่แต่สักว่าจะรับเฉยๆแค่นั้นยังไม่เป็นผล อานิสงสิ์ไม่เกิดให้เห็นตามคำพระที่ว่า “สีเลนะ สุคติงยันติ สีเลนะ โภคะ สัมปทา สีเลนนะ นิพพุติง ยันติ ตัสสะมา สีลัง วิโสทะเย” อันนี้จะเกิดไม่ได้ถ้าเรารับมาเฉยๆไม่ปฏิบัติเหมือนเราไปหาหมอเอายามาระงับโรคเรารับยามา เราเอายามาวางไว้หัวนอน เอาไปกราบเสียอย่างนี้ไม่เอามากินโรคก็ไม่ทุเรา ศีลนั้นเป็นข้อปฏิบัติให้เป็นผู้มีความสุขตัวเรามีความสุขคนอื่นก็มีความสุข คนที่รักษาศีลชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข เมื่อเรารักษาศีลก็รักษาตนเองคือไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นไม่ก่อโทษก่อเวรให้ใครก็ได้ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วยเขาก็ไม่มีเวรกับเราเราก็ไม่มีเวรกับเขาตัวเราก็ได้ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วย ความเป็นเวรไม่มีเราก็มีความสุขในชีวิตแล้วเราก็เข้าถึงศีลที่ถูกต้อง
เราจะปฏิบัติศีลให้ถูกต้องก็ต้องเข้าใจศีลให้ดี “สีลํ โลเก อนุตฺตรํ” คำว่าศีลเป็นเยี่ยมในโลกเพราะการที่คนเรามีศีลก็คือปฏิบัติต่อกันด้วยธรรม ไม่ฆ่าไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้าย ทรมานให้เกิดความเดือนร้อน ศีลข้อที่ ๑ ก็มีอานิสงสิ์เห็นปานนี้เพราะไม่มีใครอยากโดนฆ่าอยากโดนรังแก เพราะปกติของมนุษย์ของสัตว์ย่อมปราถนาความอยู่สุขสบายไม่เดือดร้อน เราจึงต้องเว้นการกระทำทั้งหลายที่ก่อทุกข์ให้ผู้อื่นลำบากหรือเสียชีวิต ศีลแต่ละข้อนั้นเป็นข้อปฏิบัติเพื่อความเจริญธรรมของชีวิต เราควรกำหนดให้ดีว่าเราปฏิบิติศีลกันไหม ที่มันไม่สงบไม่เจริญก็คือคนไม่รู้จักศีลพูดกันจริงๆก็คือไม่เคยละความชั่วเลยดังนั้นความเจริญในตัวเราในบ้านเมืองเราก็ไม่เกิด
ศีลเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้เราฝึกตัวเอง การรักษาศีลให้ได้ดีต้องอาศัยปัญญาอบรมควบไปด้วย เพราะขาดปัญญาก็ไม่ได้คือใช้ศีลฝึกตัวเองส่วนปัญญาก็คือฉลาดในการปฏิบัติให้ถูกต้องเอาปัญญาเป็นตัวอบรมศีลสร้างศีลให้เกิดขึ้นในตัวเรา ความฉลาดในศีลก็คือเรารับศีลมาแล้วมีเจตนารับเอาศีลแล้วให้รู้จักป้องกันควบคุมหลีกเว้นสิ่งที่จะเป็นข้าศึกต่อข้อปฏิบัติของเรา ไม่คิดล่วงละเมิด การรู้จักสำรวมให้มาก
ถ้าเราอยู่ในสังคมก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยศีลไม่ว่าร้ายกล่าวร้ายทำร้ายต่อกัน การอยู่ในศีลให้เราไม่ละเมิดต่อผู้อื่นโดยเจตนามุ่งร้าย คิดที่จะทำร้าย กล่าวร้าย ทำร้าย
ความวุ่นวายของโลกที่ไม่สงบได้นั้นเพราะผู้คนละเมิดศีลกัน อาชญากรรม ลักทรัพย์ ผิดลูกผิดเมียก็เกิดจากการละเมิดศีลทั้งหลาย คนที่ไม่รักษาศีลท่านว่าไม่รักษาตนเมื่อไปละเมิดผู้อื่นความทุกข์ร้อนก็เกิดขึ้นที่เขาและผู้ถูกล่วงละเมิดมันก็ลามไปอย่างนี้ ศีลจึงเป็นข้อปฏิบัติของเราทั้งหลายเพื่อความสงบกายสงบใจไม่ก่อทุกข์ให้ใคร
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าศีลนั้นต้องมีเจตนาเพื่อให้การปฏิบัติในศีลนั้นบรรลุผล ดังมีเรื่องปรากฏ ในสมัยพุทธกาล ที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีคนงานเข้างานใหม่ไปทำงานตอนเช้ากลับเข้ามาปรากฏว่าในบ้านไม่มีใครทำกับข้าวอาหารลย เพราะวันนั้นเป็นวันพระ ทุกคนในบ้านถืออุโบสถศีลกันทุกคน คนงานใหม่นั้นไม่ทราบก็ไปถามหาอาหาร แต่พอได้ทราบว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถศีลคนงานและนายทุกคนในบ้านนี้พร้อมใจกันรักษาอุโบสถศีล คนงานใหม่ได้ฟังก็ปรารถนาจะรักษาอุโบสถศีลนั้นด้วย พอตกดึกโรคเก่ากำเริบกับทั้งความหิวก็บังเกิดขึ้น เพื่อนคนงานต่างก็บอกให้รัปประทานอาหารแต่พ่อคนงานใหม่ก็บอกว่าตัวเองตั้งใจแล้ว ไม่อยากล่วงละเมิดศีล สุดท้าย ก็ทนทุกขเวทนาไม่ได้ก็สิ้นใจไป ปรากฏว่าหลังจากเคลื่อนอัตภาพความเป็นมนุษย์ได้บังเกิดเป็นเทพบุตรที่ต้นไม้ใหญ่ ตรงนี้ท่านโบราณจารย์อธิบายว่าเป็นเพราะอานิสงสิ์ของการรักษาอุโบสถศีลเพียงครึ่งวัน เจตนาเป็นตัวทำให้ศีลนั้นสำเร็จธรรมะที่ต้องมีก่อนรักษาศีลคือต้องตั้งไว้ก่อนการรับศีล สมทานศีลคือ อิทธบาท ๔ อันจะเป็นตัวทำให้ศีลนั้นบริบรูณ์ไม่ด่างพลอย ทำให้ศีลมีกำลังขึ้นได้แก่
ฉันทะ ก่อนอื่นประการใดต้องมีศรัทธาก่อนเป็นที่ตั้งคือความสมัครใจปรารถนาที่จะยินดีรักษาศีลไม่ว่าจะเป็น เบญจศีลหรือ อุโบสถศีลก็ต้องตั้งใจเพื่อจะน้อมเอาข้อปฏบัตินั้นๆมาไว้ในใจ ให้เรารู้ว่าเรากำลังปฏิบัติศีลข้อนั้นหมวดนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้ความหม่นหมองเกิดขึ้น
วิริยะ เป็นคุณธรรมขั้นต่อมาอีกต่อจากความตั้งใจหรือพอใจที่รับเอาข้อปฏบัติมาแล้ว ก็ให้เราหมั่นเพื่อพิจารณาข้อปฏิบัตินั้นๆ กระทำให้เกิดขึ้นพื่อความเจริญแก่ตัวเอง ถ้าข้อไหนเรายังทำไม่ได้ก็พยายามสร้างให้เกิดมีอาศัยความเพียรก่อให้เกิดขึ้นแล้วก็รักษาข้อปฏิบัตินั้นไว้
จิตตะ ความตั้งใจมั่นในสิกขบทแต่ละข้อให้เราตั้งใจศึกษาให้ดี ให้ศึกษาในข้อปฏิบัติของตัวเองเพื่อให้เกิดวามมั่นคง
วิมังสา ให้เราหมั่นพิจารณาคุณของศีลแต่ละข้อให้แจ่มแจ้ง ฝึกใช้ปัญญาเสมอๆเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งมีความภูมิใจในข้อปฏิบัติของตน
การมีธรรมมะ ๔ ข้อนี้ก็เพื่อเป็นหลักให้สิกขาบทแต่ละข้อของเรานั้นหนักแน่น เปรียบเหมือนสร้างบ้านเราต้องขุดหลุมตั้งเสาให้บ้านก่อน การรักษาศีลให้ได้ดีต้องมีคุณธรรม ๔ ข้อนี้เป็นเครื่องรองรับให้การปฏิบัติบรรลุผลได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น