วิธีนั่งสมาธิ วิธีที่ ๒
วิธีที่ ๒ เราตัดคำบริกรรม คือพุทโธออก ให้เหลือเพียงความตั้งใจอันมีสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ลมหายใจหยาบก็รู้ว่าลมหายใจหยาบและกำหนดรู้ลมหายใจหยาบๆ นั้นต่อไป จนกว่าลมหายใจจะมีความละเอียด เมื่อลมหายใจมีความละเอียดก็รู้ว่าลมหายใจมีความละเอียด และตั้งใจต่อไปจนกว่าลมหายใจจะมีความละเอียดเต็มที่ นี้แลเรียกว่า เอกัคตารมณ์ คืออารมณ์เป็นหนึ่ง
เมื่อเรากำหนดลมหายใจละเอียดอยู่อย่างนี้ ก็แสดงว่าใจเรามีความละเอียดไปตามๆ กันด้วย ลมมีความละเอียดก็เพราะใจเรามีความละเอียด ลมก็มีความละเอียดไปตามๆ กัน ความละเอียดของใจ ความละเอียดของลมหายใจมาบรรจบกันเมื่อไร เมื่อนั้นรัศมีทางกายก็จะแสดงตัวทางกายในลักษณะต่างๆ กัน เช่น ปรากฏร่างกายเราใหญ่ขึ้น พองขึ้นผิดปกติธรรมดา เช่น ขาแขนลำตัวศีรษะก็ใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ เหมือนกับจะนั่งอยู่ที่ไหนตัวก็จะใหญ่อยู่ที่นั้น
ถ้าหากปรากฏว่ากายใหญ่ๆ ขึ้นดังกล่าว ก็ให้เราตั้งสติความกำหนดรู้ลมหายใจละเอียดนั้น อย่าให้เผลอ ไม่นานประมาณ ๕ นาที อาการความใหญ่ขึ้นทุกส่วนก็จะหายไปเอง บางทีนั่งภาวนาอยู่ปรากฏว่าสูงขึ้นๆ บางทีก็ปรากฏว่าเตี้ยลงๆ บางทีก็ปรากฏว่ากายหมุนตัว บางทีก็ปรากฏว่าเอนไปข้างนั้น และเอนไปข้างนี้ ทั้งๆ ที่เรายังมีสตินั่นเอง จะปรากฏว่ากายเรามีลักษณะใดก็ตาม นั่นคืออาการของใจ ที่แสดงออกมาทางกายเท่านั้น มันเกิดขึ้นเองและดับไปเอง บางครั้งก็จะปรากฏว่า ลมหายใจเล็กเข้าทุกทีๆ การหายใจก็จะปรากฏว่าหายใจสั้นเข้าทุกทีๆ ถ้าผู้กลัวตายก็จะถอนจากสมาธิทันที
ถ้าเป็นเช่นนี้ เราไม่ต้องกลัวนั่นแหละ คือใจเรากำลังลงสู่ความสงบเต็มที่ ขอให้เรามีสติกำหนดรู้ลมหายใจเล็กๆ นั้นไว้อย่าให้เผลอ ลมหายใจจะเล็กก็รู้ว่าลมหายใจเล็ก ลมหายใจสั้นก็รู้ว่าลมหายใจสั้นและมีสติกำหนดรู้ จนกว่าลมหายใจจะหมดไปในวาระสุดท้าย เมื่อลมหายใจหมดไปแล้ว ก็จะไม่รู้ตนเองว่าเราอยู่อย่างไรเพราะกายไม่มี แต่ก็รู้อยู่เฉยๆ เท่านั้น
บางครั้งก็อาจจะเกิดแสงสว่างรอบตัวอย่างกว้างขวาง คำว่าตัวนั้นหมายถึงผู้รู้ในตัวนั่นเอง แต่ไม่ปรากฏว่ามีกายเลยในขณะนั้น แต่เป็นธรรมชาติรู้และสว่างรอบด้าน ความเบาใจ ความสว่างภายในใจ ก็จะเจิดจ้าแพรวพราว ก็น่าอัศจรรย์ใจมาก เราจะหาสิ่งใดในโลกนี้ไม่ได้เลย และมีความสุขสงบอย่างนี้ประมาณ ๑๐ นาที ก็จะถอนตัวออกมาหายใจธรรมดา ความสุขก็จะเกิดขึ้นที่ใจ ไม่มีความสุขใดในโลกนี้เสมอเหมือนความเบากายความเบาใจ และความสุขกายสุขใจแทบตัวจะลอย
ถ้าเป็นในลักษณะความสงบเช่นนี้ ถ้าผู้ไม่เคยคิดพิจารณาด้วยปัญญามาก่อนแล้ว ก็อยากจะอยู่ในความสุขนี้ต่อไป ถ้าใครเคยคิดพิจารณามาก่อนแล้ว ความสงบนี้ก็จะเป็นพื้นฐานของปัญญาได้เป็นอย่างดี และไม่ติดอยู่ในความสงบนี้เลย สมาธิคือความสงบนี้เอง ก็จะเป็นกำลังอุดหนุนปัญญาให้พิจารณาอย่างรวดเร็ว
และขอย้ำเพื่อทำความเข้าใจกับผู้อ่านสักนิด ขณะนี้ท่านเป็นผู้ปฏิบัติและมีความมุ่งหวังและตั้งใจว่า เมื่อจิตมีความสงบเต็มที่แล้ว จะมีปัญญาเกิดขึ้นเพื่อจะพิจารณาธรรมต่อไป ใครๆ ก็มุ่งหวังปัญญา จึงได้ตั้งหน้าตั้งใจทำสมาธิหวังความสงบเพื่อคอยให้ปัญญาเกิดขึ้น ผู้ที่ไม่เคยพิจารณาในแง่ธรรมต่างๆ มาก่อน ถึงจะทำความสงบนั้นก็ทำได้ แต่สายทางความสงบของผู้ที่มีปัญญามาก่อนถึงจะสงบลึกจนถึงสมาบัติ ๘ ก็ตาม ผลที่ได้รับก็คือความสุขกายสุขใจ
บางทีอาจมีเครื่องเล่นคือ อภิญญาญาณ คือมีญาณหยั่งรู้ในแง่อดีต อนาคต และรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และมีจักขุญาณต่างๆ บ้าง โสตญาณบ้าง คือมองเห็นด้วยตาภายใน หูภายใน หรือแสดงฤทธิ์ในวิธีต่างๆ ได้ หรือหยั่งรู้วาระจิตของคนหรือสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้นั้นก็จะติดความรู้ในญาณของตนนั้นอย่างไม่รู้ตัว ญาณดังกล่าวนี้ก็จะทำให้คิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ง่ายที่สุด เพราะเชื่อในญาณของตัวเอง
เช่นในครั้งพุทธกาลมีพระ ๓๐ รูปไปเจริญสมถะเพื่อความสงบ เมื่อจิตมีความสงบเต็มที่แล้ว ก็มีความสุขกาย และสุขใจ และรักษาความสงบนั้นติดต่อกันได้หลายวัน ก็มาคิดว่าพวกเราหมด กิเลส ตัณหา อวิชชาแล้ว พวกเราได้ถึงขั้นพระอรหันต์แล้ว เพราะราคะตัณหาพวกเราไม่มี ไปเถอะ ไปกราบนมัสการพระพุทธเจ้าเพื่อจะรับคำพยากรณ์แล้วพากันเดินเข้ามาจวนจะเข้าวัด
พระพุทธเจ้าได้กล่าวกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงไปบอกกับภิกษุ ๓๐ รูปนั้นให้เข้าไปพักกับป่าช้าก่อน ภิกษุทั้ง ๓๐ รูปนั้นก็พากันเข้าไปในป่าช้านั้นๆ เมื่อเขาเข้าไปก็บังเอิญพบกับหญิงตายหงายท้องแบบสดๆ ร้อนๆ เหมือนกับอาการนอนหลับ ผ้าชิ้นหนึ่งจะปกปิดร่างกายก็ไม่มี พระทั้ง ๓๐ รูป นั้นก็กรูเข้าไปรุมล้อมด้วยความอยากเห็น ต่างองค์ก็ต่างดูต่างองค์ก็ต่างคิดไปในอารมณ์แห่งความใคร่ ความกำหนัด ไฟของราคะจึงเกิดขึ้นภายในใจจนถึงขีดแดง ผลที่สุดอรหันต์ที่พากันคิดเอาเองก็แสดงตัวร้องโวยวายขึ้นทันทีว่า พวกเรายังมี ราคะ ตัณหา อวิชชาอยู่ จากนั้นก็พากันเจริญด้วยปัญญา พิจารณาด้วยกฎแห่งไตรลักษณ์ พิจารณาไปพิจารณามาด้วยปัญญาธรรมดา เมื่อใจเห็นจริงตามปัญญานี้แล้ว วิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้น ผลที่สุดก็บรรลุอยู่ในป่าช้านั้นเอง
เห็นไหมละท่าน สมาธิคือความสงบนั้นก็ทำให้เราเข้าใจผิดได้ นี้ในครั้งสมัยที่มีพระพุทธเจ้า ก็ยังมีนักปฏิบัติที่มีความเข้าใจผิด ในผลการปฏิบัติในสมถะมาแล้วเป็นจำนวนมากทีเดียว เพราะความสงบนี้ ถ้าไม่มีครูอาจารย์องค์ที่ท่านผ่านไปแล้วเข้าแก้ไขก็ผิดได้ง่ายเหมือนกัน และติดในสมถะโดยไม่มีทางออก ถ้าในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้ามีผู้ภาวนาเป็นเหมือนภิกษุ ๓๐ รูปแล้ว ก็จะไม่มีใครๆ เข้าแก้ไขได้เลย และก็จะเป็นอรหันต์ดิบอย่างนั้นต่อไปจนถึงวันตาย
เพราะในสมัยนี้ไม่มีซากศพแบบสดๆ ร้อนๆ นอนอยู่ตามป่าช้าเลย จำเป็นต้องทำความสงบต่อไปเรื่อยๆ พากันนั่งคอย นอนคอยตัวปัญญาให้เกิดขึ้นในใจ นับตั้งแต่วันปฏิบัติมาถึงเดี๋ยวนี้ ทำไมปัญญาจึงไม่เกิดขึ้นกับเราหนอ พากันบ่นแล้วบ่นอีก คอยปัญญาแล้วปัญญาอีก ทำความสงบแล้วความสงบอีก สงบลึกเท่าไรก็ไม่ปัญญา จนนักภาวนาเกิดความอ่อนใจ ฉะนั้น ขอให้คิดสักนิดเพื่อได้พิจารณาว่า ในครั้งพุทธกาลที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่ก็ตาม ในสมัยนั้นมีใครบ้าง องค์ไหนบ้าง ที่ทำสมาธิมีความสงบไปหน้าเดียว และได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ นอกจากจะเป็นดังพระ ๓๐ รูปที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งนั้น
ถ้าหากพิจารณาหวนกลับความเป็นพระอริยะเจ้าของพระอรหันต์ที่เป็นมา ทุกองค์ก็ล้วนแล้วมีปัญญามาก่อนแล้วทั้งนั้น ในสมัยนี้ก็มีครูอาจารย์ที่มีความบริสุทธิ์ใจ อันดับแรกท่านก็พิจารณาด้วยปัญญามาก่อน แล้วจึงทำความสงบ เมื่อจิตถอนออกจากความสงบแล้ว ก็ตั้งใจคิดพิจารณาไปตามสรรพธรรม สรรพสังขารทุกชนิดให้เป็นไปตาม ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่ใช่ว่าจะมัวมานั่งคอยนอนคอยให้มีปัญญาเกิดขึ้นเหมือนกับเราเลย มันจึงไกลกันเหมือนฟ้ากับดิน หรือเหมือนกับเราขุดดินเตรียมหลุมมะพร้าวเสร็จแล้ว จะมัวมานั่งคอยนอนคอยให้ต้นมะพร้าวเกิดขึ้นจากหลุมนั้น มันจะเป็นไปได้หรือ ผลไม้ทุกอย่าง ต้นไม้ทุกชนิดที่เราต้องการจะให้มันเกิดขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ต้องหาเชื้อมาปลูกเอง มันจะเกิดขึ้นได้ไหม นี้เพียงให้ข้อคิดนิดเดียวเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น