ศีล
ตามความเข้าใจของเราที่ปฏิบัติกันมาการขอศีลจากพระนั้นถือเป็นปกติของเราที่ประพฤติกัน โบราณเราก้ทำกันอย่างนี้ สอนให้เราขอศีลก่อนถวายทานเพื่อความบริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องรองรับบุญจะได้มีอานิสงสิ์มาก ต่อมาก็กลายเป็นพิธีกรรมระเบียบแบบแผนในศาสนพิธี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นแต่ปัญหาของศีลคือเราเข้าใจว่ารับศีลแล้วจะเป็นผู้มีศีลจะได้ไปสวรรค์กัน พากันรับแต่ศีลแต่ไม่เคยรักษาศีล เราเป็นพุทธศาสนิกชนต้องรู้และฉลาดในพิธีกรรมว่าการนั้นๆมุ่งหวังอะไร พิธีกรรมท่านบัญญัติไว้เป็นแนวให้เราเข้าใจแก่นของธรรมเพื่อเป็นวิถีทางให้เราปฏิบัติได้ถูกต้องเรามาติดกันตงที่รับศีลการปฏิบัติไม่มีก็เลยยุ่งกันใหญ่ ความสงบความไม่มีเวรก็ไม่จบ อานิสงสิ์ของศีลไม่เกิดขึ้น
เราจะรับศีล ๕ ศีล ๘ ก็ต้องให้รู้และเข้าใจหมายความของศีลด้วยว่าเราต้องมีปัญญาถ้าไม่มีปัญญาศีลก็รักษาให้ครบไม่ได้ เพราะศีลแต่ละข้อเราต้องฉลาดที่จะปฏิบัติด้วย ฉลาดที่จะทำให้เกิดมีถึงจะได้มรรคได้ผล
หลายคนรับศีลแล้วก็จบไป จบตรงนั้นคิดว่าได้บุญแล้วไปสวรรค์แล้ว อย่างนี้เรียกว่าไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นเก็เรียกว่าเห็นผิด การรักษาศีลไม่จบแค่นั้นศีลนั้นเป็นข้อปฏิบัติที่ต้องเกี่ยวข้องกับเราในชีวิตประจำวัน ต้องฝึกทำให้ได้มีไว้ประจำตัวเพื่อความเป้นผู้อยู่เป็นสุขไม่มีเวรภัยเกิดความสงบสุขในชีวิต ศีลที่ปฏิบัติถูกต้องนำมีอานิสงสิ์เห็นในปัจจุบันชาติไม่ต้องรอชาติไหน ผู้ล่วงละเมิดศีลก็เหมือนกันเห็นกันในชาตินี้เลย ย่อมอยู่ไม่เป็นสุข
เวลาเราพูดตามพระเราต้องตั้งใจให้มั่นเรียกว่ามีเจตนาเพราะศีลจะเกิดขึ้นได้ต้องมีเจตนาประกอบในทุกข้อ เจตนา หัง ภิกขเว สีลัง วทามิ ศีลนั้นต้องมีเจตนานำหน้าถ้าขาดเจตนาในตอนรับข้อปฏิบัติที่จะละเว้นคือศีลแต่ละข้อที่เรารับเอามาปฏิบัติข้อนั้นย่อมกลายเป็นโมฆะเราก็เป็นผู้ไม่มีศีล
การรักษาศีลก็ใช่แต่สักว่าจะรับเฉยๆแค่นั้นยังไม่เป็นผล อานิสงสิ์ไม่เกิดให้เห็นตามคำพระที่ว่า “สีเลนะ สุคติงยันติ สีเลนะ โภคะ สัมปทา สีเลนนะ นิพพุติง ยันติ ตัสสะมา สีลัง วิโสทะเย” อันนี้จะเกิดไม่ได้ถ้าเรารับมาเฉยๆไม่ปฏิบัติเหมือนเราไปหาหมอเอายามาระงับโรคเรารับยามา เราเอายามาวางไว้หัวนอน เอาไปกราบเสียอย่างนี้ไม่เอามากินโรคก็ไม่ทุเรา ศีลนั้นเป็นข้อปฏิบัติให้เป็นผู้มีความสุขตัวเรามีความสุขคนอื่นก็มีความสุข คนที่รักษาศีลชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข เมื่อเรารักษาศีลก็รักษาตนเองคือไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นไม่ก่อโทษก่อเวรให้ใครก็ได้ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วยเขาก็ไม่มีเวรกับเราเราก็ไม่มีเวรกับเขาตัวเราก็ได้ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วย ความเป็นเวรไม่มีเราก็มีความสุขในชีวิตแล้วเราก็เข้าถึงศีลที่ถูกต้อง
เราจะปฏิบัติศีลให้ถูกต้องก็ต้องเข้าใจศีลให้ดี “สีลํ โลเก อนุตฺตรํ” คำว่าศีลเป็นเยี่ยมในโลกเพราะการที่คนเรามีศีลก็คือปฏิบัติต่อกันด้วยธรรม ไม่ฆ่าไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้าย ทรมานให้เกิดความเดือนร้อน ศีลข้อที่ ๑ ก็มีอานิสงสิ์เห็นปานนี้เพราะไม่มีใครอยากโดนฆ่าอยากโดนรังแก เพราะปกติของมนุษย์ของสัตว์ย่อมปราถนาความอยู่สุขสบายไม่เดือดร้อน เราจึงต้องเว้นการกระทำทั้งหลายที่ก่อทุกข์ให้ผู้อื่นลำบากหรือเสียชีวิต ศีลแต่ละข้อนั้นเป็นข้อปฏิบัติเพื่อความเจริญธรรมของชีวิต เราควรกำหนดให้ดีว่าเราปฏิบิติศีลกันไหม ที่มันไม่สงบไม่เจริญก็คือคนไม่รู้จักศีลพูดกันจริงๆก็คือไม่เคยละความชั่วเลยดังนั้นความเจริญในตัวเราในบ้านเมืองเราก็ไม่เกิด
ศีลเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้เราฝึกตัวเอง การรักษาศีลให้ได้ดีต้องอาศัยปัญญาอบรมควบไปด้วย เพราะขาดปัญญาก็ไม่ได้คือใช้ศีลฝึกตัวเองส่วนปัญญาก็คือฉลาดในการปฏิบัติให้ถูกต้องเอาปัญญาเป็นตัวอบรมศีลสร้างศีลให้เกิดขึ้นในตัวเรา ความฉลาดในศีลก็คือเรารับศีลมาแล้วมีเจตนารับเอาศีลแล้วให้รู้จักป้องกันควบคุมหลีกเว้นสิ่งที่จะเป็นข้าศึกต่อข้อปฏิบัติของเรา ไม่คิดล่วงละเมิด การรู้จักสำรวมให้มาก
ถ้าเราอยู่ในสังคมก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยศีลไม่ว่าร้ายกล่าวร้ายทำร้ายต่อกัน การอยู่ในศีลให้เราไม่ละเมิดต่อผู้อื่นโดยเจตนามุ่งร้าย คิดที่จะทำร้าย กล่าวร้าย ทำร้าย
ความวุ่นวายของโลกที่ไม่สงบได้นั้นเพราะผู้คนละเมิดศีลกัน อาชญากรรม ลักทรัพย์ ผิดลูกผิดเมียก็เกิดจากการละเมิดศีลทั้งหลาย คนที่ไม่รักษาศีลท่านว่าไม่รักษาตนเมื่อไปละเมิดผู้อื่นความทุกข์ร้อนก็เกิดขึ้นที่เขาและผู้ถูกล่วงละเมิดมันก็ลามไปอย่างนี้ ศีลจึงเป็นข้อปฏิบัติของเราทั้งหลายเพื่อความสงบกายสงบใจไม่ก่อทุกข์ให้ใคร
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าศีลนั้นต้องมีเจตนาเพื่อให้การปฏิบัติในศีลนั้นบรรลุผล ดังมีเรื่องปรากฏ ในสมัยพุทธกาล ที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีคนงานเข้างานใหม่ไปทำงานตอนเช้ากลับเข้ามาปรากฏว่าในบ้านไม่มีใครทำกับข้าวอาหารลย เพราะวันนั้นเป็นวันพระ ทุกคนในบ้านถืออุโบสถศีลกันทุกคน คนงานใหม่นั้นไม่ทราบก็ไปถามหาอาหาร แต่พอได้ทราบว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถศีลคนงานและนายทุกคนในบ้านนี้พร้อมใจกันรักษาอุโบสถศีล คนงานใหม่ได้ฟังก็ปรารถนาจะรักษาอุโบสถศีลนั้นด้วย พอตกดึกโรคเก่ากำเริบกับทั้งความหิวก็บังเกิดขึ้น เพื่อนคนงานต่างก็บอกให้รัปประทานอาหารแต่พ่อคนงานใหม่ก็บอกว่าตัวเองตั้งใจแล้ว ไม่อยากล่วงละเมิดศีล สุดท้าย ก็ทนทุกขเวทนาไม่ได้ก็สิ้นใจไป ปรากฏว่าหลังจากเคลื่อนอัตภาพความเป็นมนุษย์ได้บังเกิดเป็นเทพบุตรที่ต้นไม้ใหญ่ ตรงนี้ท่านโบราณจารย์อธิบายว่าเป็นเพราะอานิสงสิ์ของการรักษาอุโบสถศีลเพียงครึ่งวัน เจตนาเป็นตัวทำให้ศีลนั้นสำเร็จธรรมะที่ต้องมีก่อนรักษาศีลคือต้องตั้งไว้ก่อนการรับศีล สมทานศีลคือ อิทธบาท ๔ อันจะเป็นตัวทำให้ศีลนั้นบริบรูณ์ไม่ด่างพลอย ทำให้ศีลมีกำลังขึ้นได้แก่
ฉันทะ ก่อนอื่นประการใดต้องมีศรัทธาก่อนเป็นที่ตั้งคือความสมัครใจปรารถนาที่จะยินดีรักษาศีลไม่ว่าจะเป็น เบญจศีลหรือ อุโบสถศีลก็ต้องตั้งใจเพื่อจะน้อมเอาข้อปฏบัตินั้นๆมาไว้ในใจ ให้เรารู้ว่าเรากำลังปฏิบัติศีลข้อนั้นหมวดนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้ความหม่นหมองเกิดขึ้น
วิริยะ เป็นคุณธรรมขั้นต่อมาอีกต่อจากความตั้งใจหรือพอใจที่รับเอาข้อปฏบัติมาแล้ว ก็ให้เราหมั่นเพื่อพิจารณาข้อปฏิบัตินั้นๆ กระทำให้เกิดขึ้นพื่อความเจริญแก่ตัวเอง ถ้าข้อไหนเรายังทำไม่ได้ก็พยายามสร้างให้เกิดมีอาศัยความเพียรก่อให้เกิดขึ้นแล้วก็รักษาข้อปฏิบัตินั้นไว้
จิตตะ ความตั้งใจมั่นในสิกขบทแต่ละข้อให้เราตั้งใจศึกษาให้ดี ให้ศึกษาในข้อปฏิบัติของตัวเองเพื่อให้เกิดวามมั่นคง
วิมังสา ให้เราหมั่นพิจารณาคุณของศีลแต่ละข้อให้แจ่มแจ้ง ฝึกใช้ปัญญาเสมอๆเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งมีความภูมิใจในข้อปฏิบัติของตน
การมีธรรมมะ ๔ ข้อนี้ก็เพื่อเป็นหลักให้สิกขาบทแต่ละข้อของเรานั้นหนักแน่น เปรียบเหมือนสร้างบ้านเราต้องขุดหลุมตั้งเสาให้บ้านก่อน การรักษาศีลให้ได้ดีต้องมีคุณธรรม ๔ ข้อนี้เป็นเครื่องรองรับให้การปฏิบัติบรรลุผลได้
วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร: ตอน ทานกถา
ขอโอกาสพระเถรานุเถระ พระสงฆ์ผู้เป็นสหธรรมิกทุกรูป สวัสดีน้องสามเณรที่น่ารักทุกรูปด้วยกัน เจริญพรอุบาสกอุบาสิกาทุกท่าน บัดนี้จะได้กล่าวธรรมกถา พอเป็นเครื่องประคับประคอง ฉลองกุศลศรัทธา เสริมกุศลบุญราศีประดับสติปัญญาบารมี พอสมควรแก่เวลาสืบไป
โอกาสนี้เราท่านทั้งหลายพร้อมใจกันประพฤติคุณงามความดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้น้อมเอาคุณงามความดีอันนั้นมาระลึกนึกถึงให้ใจเป็นสมาธิ แล้วตั้งใจรับฟังพระธรรมเทศนาอันจะก่อให้เกิดปัญญาบารมี อันเนื่องมาจากสุตตมยปัญญา จินตตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา
วันนี้ทางพระอาจารย์กำหนดมาให้พูดเรื่องเข้าพรรษาใฝ่ธรรม หมายความว่าเลาเข้าพรรษาเราก็มาประพฤติประฏิบัติธรรมกัน จริงๆแล้วเรื่องเข้า-ออกก็ไม่มีอะไรแปลกใม่ดอก เราพากันสมมุติกันขึ้นพอให้เป็นเรื่องราว จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ที่มีปัญหาจริงๆคือสภาวะธรรมทั้งหลายมันเกิดอยู่ประจำทุกวันทุกวินาทีไม่ได้ว่างเว้นให้เราพักผ่อนหรือหาเวลาได้แล้วค่อยมาทำกัน ถ้าเข้าใจว่าว่างแล้วค่อยมาทำ วันพระ วันนั้นวันนี้ก็ไม่ใช่แล้ว เพราะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้นเกิดขึ้นได้กับเรากับคนรอบข้งเราอยู่เสมอตลอดเวลา ถึงวันเข้าพรรษาก็มีคนตาย มีคนเกิดเข้าพรรษาก็ห้ามคนไม่ให้แก่ไม่ได้ ห้ามไม่ให้คนตายไม่ได้ เรานั่งอยู๋นี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างละ ความโกรธ ความหงุดหงิด ความคิดถึงสิ่งโน้นอันนั้นโน้น เห็นไหมละเวลาเอาจริงๆแล้วเข้าพรรษามันไม่เกี่ยวเลย สำคัญที่ปัจจุบันของเราต่างหาก เราไม่เข้าใจจะพากันหลง ทำกันผิดๆมา
ความเกิดก้มีให้เห็น ความแก่ก็ปรากฏกับเราอยู่ความตายเกิดขึ้นความห่างจากไกลกัน หลายสิ่งหลายอย่างให้เราพิจารณาใช้ปัญญาพิจารณาลงมันจะเกิดขึ้นกับตวเรา ญาติเรา สิ่งนี้เป้นสิ่งแน่นอนไม่มีใครรอดพ้นไปได้ สิ่งนี้มันเอาเราอยู่ทุกวัน ถ้าเรามัวประมาทรอวันนั้นวันนี้ ไหนละความดีเรา เราจะบุญกันที่ไหน ความดีจะเอาที่ไหน ถ้าเราไม่ทำเอาตอนนี้
เราเห้นคนเกิดเราก็ไปหัวเราะยินดีกับเขา เห้นคนตายก็พากันร้องไห้ ไหนละปัญญาอยู่ตรงไหน เพราะเรารักเพราะเราอาลัยมันก็เลยทุกข์อย่างนั้น ไม่ได้คิดกันว่าสิ่งนั้นความเกิดก็ดี ความแก่ก็ดี ความตายก็ดี เห็นไปตามเหตุของที่เป็นอยู่แล้วตามธรรมชาติ
ที่พูดมานั้นให้พิจารณาตาม ที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ มาดูตัวเราว่าเราพิจารณาไหมถ้าเราฝึกบ้างหัดทำบ้างเราก็ชื่อว่าใฝ่ธรรม เป็นผู้แสวงหาวามดีเข้าใส่ตัว
มันก็จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะเข้าถึงธรรมไหม จะพ้นทุกข์ไหม ถ้าหากมัวประมาทกัน ความดีไม่ประกอบให้มีขึ้น หลงไปตามกระแส ตัณหาลากไป กิเลสดึงไว้ อวิชชาก็ปิดบัง อุปาทานก็ยึดไว้ เราก็ปไหนไม่ได้ เวียนไปเวียนมาอย่างนี้ความทุกข์ก็เวียนเกิดขึ้นเวียนดับอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ หลุดไม่ได้
เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไรละ?
เราสังเกตุตัวเองนี้ละเข้าวัดกันบ่อยๆทำไมทุกข์ไม่เคยหายสักที มานั่งกันอยู่ตรงนี้เคยคิดบ้างไหมว่าเราจะพัฒนาการเป้นพุทธสาสนิกชนของเราให้สุงกว่านี้อย่างไร บริจาคไปกี่แสนทำไมชีวิตถึงไม่เคยพ้นไปจากความทุกข์บ้าง
เราท่านทั้งหลายนั่งอยู่บ้านหรืออยู่วัดศาลาแห่งนี้มีกาย+ใจอยู่ด้วยเหมือนกัน เราจะอยู่ที่ไหน เดินอยู่ห้าง นอนดูทีวีเราก็มีแค่อันนี้ละ
เวลาเราปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติกายกับใจเรานั่นเองไม่ได้ทำที่อื่นที่ไหน ทำที่บ้านก็ได้ ถ้าเราเข้าใจดังนี้มันก็ง่ายมันจะไม่ใช่เรื่องของพระเรื่องของคนอื่นมันเป้นเรื่องของเรา
ธรรมมะของพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ดีแล้วกล่าวไว้ว่าใครทำใครก็ได้ทำตอนไหนก็ได้ ไม่จำกัดกาลและเวลา ผู้ปฏิบัติเท่านั้นสามารถรู้หรือเห็นตามที่ท่านแสดงไว้เท่านั้น ธรรมนั้นย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมและรักษาผู้ประพฤตินั้นไม่ให้ตกลงที่ต่ำ
ความดีนั้นใครทำคนนั้นก็ได้ คนที่ไม่ทำมานั่งดูคนอื่นทำ เวลาเขาเสวยผลบุญก็ได้แต่นั่งแหงนดูเขาเราจะรับเสวยเหมือนเขาก็ไม่ได้เพราะเป็นบุญเขาไม่ใช่ของเราก็เหมือนเงินทองของเขาเราเห็นเขามีเงินมีบ้านมีรถเขาประกอบเหตุที่หามาได้ เราไม่ได้ทำไม่ได้ประกอบเหตุนั้น เราจะมีจะได้เหมือนเขาไหม เราก็ได้แต่มองดูสมบัติเขาชื่นชมเขา แต่ถ้ามัวชื่นชมก็ไม่ได้ก้ต้องทำเหตประกอบเหตุให้เกิดมีผลมันถึงจะได้ ถ้าอยากได้ก็ทำเหตุเอา
เรื่องบาปอกุศลก็เหมือนกันใครเป็นผู้ทำก็รับผลนั้นไปคนที่ไม่ทำเขาก็ได้แต่มองดูเหมือนกัน
อาตมาเชื่อว่าญาติโยมหลายคนเคยได้ยินได้ฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์มาแล้วหรือสำหรับพระสงฆ์เราผู้เป็นนักศึกษาย่อมได้รับการสอนมาแล้ว หรือหากใครที่ยังไม่ได้ฟังก็ให้ตั้งใจฟังถ้าอยากกได้รายละเอียดเพื่อทำความเข้าใจ ก็ลไปศึกษาในพระไตรปิฎกหรือพระธรรมบท ท่านได้แจกแจงไว้ก็จะเห็นตามที่จะได้แสดงต่อไปข้างหน้า
การที่เราเข้าวัดมาทำบุญกันทุกวันนี้นั้นเป็นเรื่องดีแล้ว ศีลที่ทำกันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เรื่องที่จะก่อโทษแก่ใครผู้ประพฤติประฏิบัติบัณฑิตทั้งหลายก็สรรเสริญ
ใครที่ให้ทาน รักษศีล เจริญภาวนาเป็นประจำเนืองนิจยมบาลไม่จับไปโยนลงหม้อนรกดอก ขอให้กระทำอยู่เสมอรักษาความดีนั้นไว้อย่าให้ด่างพล้อย
พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีความเพียร ท่านกล่าวว่าคนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร หมายถึงว่าความดีนั้นให้หมั่นประกอบหมั่นทำ ถ้ามีแล้วหรือทำอยู่ก็ให้ประกอบความดีนั้นให้เกิดมีขึ้นเรื่อยๆรักษาความดีนั้นไว้มิให้เสื่อมคลาย
เราจะต้องศึกษาให้ถูก ก่อนที่เราจะรู้อะไรแจ่มชัดต้องศึกษาให้ละเอียดเพื่อความรู้ที่ถูกต้องและก็เพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย พระพุทธศาสนาก็เหมือนกันถ้าเราทะเล้อละล่าข้าไปก็จับจุดไม่ถูก นอกจากจับจุดไม่ถูกยังเข้าใจไม่ถูกก็พาให้เราปฏิบัติกันผิด การที่จะรู้จะเข้าใจในเรื่องนั้นก็ไม่ถูก การเข้าใจพระพุทธศาสนาจำเป้นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยการศึกษาให้เข้าใจถูกต้อง จึงต้องให้ความสำคัญต่อการศึกษา เพราะคนที่มีปัญญหาตอนนี้ก็เพราะไม่ได้ศึกษาห้ถูกต้องในหลักที่ควรปฏิบัติกัน
เมื่อเราศึกษากันดีแล้วก้น้อมคำสอนนั้นมาปฏิบัติให้เต้มที่เต้มกำลัง ยถาสติ ยถาพลํ มนสิ กโรม
เรื่องอะไรที่เราต้องศึกษาเราถึงจะเข้าใจพระพุทธศาสนาเอามาพูดกันวันนี้มี ๓ เรื่อง คือ ทาน ศีล ภาวนา เอาเรื่องปกติที่เราทำกันอยู่เพื่อทำความเข้าใจเพื่อการปฏิบัติให้ถูกต้อง การให้ทานเราก็ทำกันอยู่บ่อยๆ ศีลเราก็ทำ ภาวนาเราก็ทำแต่ทำตามๆกันมา พระพาทำก็ทำบางคนไม่รู้อะไรเขาว่าก็ว่าไปตาม ก่อนที่จะมาทำบุญนะลองถามดูสิถ้าไม่ใช่พราะหมอดูทักก็ไม่เข้าหรอกวัด ขอหวยอย่างนี้นั่นเพราะเราคิดว่ามันเป้นบุญเราก็ทำขอใหศึกษาให้ดีเพื่อการเข้าใจที่ถูกต้อง บางคนก็ยังคิดว่าเข้าวัดเป้นเรื่องของคนแก่ มีเวลาแล้วค่อยเข้าก็มีก็เพราะเราเข้าใจกันโดยไม่ได้ศึกษา ไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญาเมื่อมาทำก็ผิดไป แทนที่จะได้ปัญญากับไปก็เอาความทุกข์กลับไปอีกนั่นละโทษของการไม่ศึกษาอะไรให้เข้าใจ
มีพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า "ปุญฺญเมว โส สิกฺเขยฺย" เรามานั่งกันอยู่ในศาลาารเปรียญหลังนี้ หลายคนรวยทรัพย์ หลายคนก็พอมี หลายคนก็แทบไม่มี หลายคนมีความสุข หลายคนก็ทุกข์ใจมา ลูกไม่ดั่งใจผัวนอกใจก็มีบางคนไม่รวยทรัพย์แต่ใจดีก็มี จากพุทธพจน์ข้างต้นเราจึงต้องมาศึกษาเรื่องบุญกันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าบุคคลพึงศึกษาเรื่องบุญให้เข้าใจท่องแท้ จงเลือกให้ทานแต่เฉพาะที่ให้คุณประโยชน์ ให้เว้นทานที่ให้แล้วก่อทุกข์ร้อตามมา เราก้ทำกันอยู่มานาน บ้างก็ทำมากทำน้อยแล้วแต่ศรัทธาของใครของมันแต่เราก้ทำกันอยู่ก็ไม่เคยหายทุกข์ันสักที เข้าวัดก็หลายวัด เป่าเสกวัดไหนก็ไป ดน้ำวัดไหนดีก็ไปขึ้นเหนือลงใต้ไปหมด ไม่ใช่ว่าไม่ไดีหรอกแต่เราต้องศึกษากัน ญาติโยมทั้งหลายมาวัดก็หวังได้บุญ เราจะทำบุญตรงไหน เอาบุญอะไรก้ให้พิจารณาบ้าง บางสำนักบางวัดท่านก็มีสำนักเรียนมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษามากเราก็อนุเคราะห์ปัจจัย ๔ ให้เป็นเครื่องบำรุงพระสงฆ์สามเณร บางวัดท่านก็คลาดแคลนกุฏิบ้าง ศาลาบ้างก็ร่วมสร้างร่วมทำ ให้เราพิจารณาเห็นประโยชน์เราจึงทำถ้าบำรุงพระสงฆ์ให้มีการศึกษาเราก็ได้บุญมากมาย หนึ่งละได้พระสงฆ์ที่มีความรู้ความเข้าใจ สองเราได้ทำบุญไว้ในพระศาสนา สามเราได้เสริมกำลังอายุพระศาสนาที่มีพระสงฆ์ยังศึกษาอยู่แล้วเอาคำสอนนั้นมาบอกแก่เรา เราก้ยังได้บุญจากการฟังธรรมอีก พระสัทธรรมก็ยังคงดำรงอยู่ตราบใดที่เราบำรุงพระสงฆ์องค์เจ้า ตราบใดที่มีพระสงฆ์องค์เจ้าก็ยังมีผู้ปฏิบัติตามคำสอนเป็นหลักเป็นชัย นอกนั้นเราก้ยังได้ทำให้ประเทศชาติเจริญด้วยการสร้างคนสร้างกำลงชาติกำลังศาสนา อันนี้คือทำบุญแบบเห้นประโยชน์แล้วจึงทำ คือศึกษาว่าถ้าทำบุญส่วนนี้แล้วจะได้ประโยชน์อันนี้บ้างดังนี้ แต่ถ้าไม่ศึกษาแล้วไปทำบุญเราก็ไปขอหวยบ้าง ไหว้คางคกบ้างโน่นนะมันไกลกันไหม ไกลศาสนามากทีนี้เราก็มาหาว่าอันนั้นเป็นพระพุทธศาสนาก็พลอยให้ศาสนาเรามัวหมองไปด้วย พระพรหมพระพิฆเนศอย่างนี้ก็มีมา ถ้าเรายังทำกันอย่างนี้เราก็จะไม่เข้าใจหลักที่แท้จริงของการให้ทานที่ประกอบด้วยประโยชน์
ทีนี้จะกล่าวถึงข้อความที่ปรากฏในพระอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาติ กล่าวถึงการให้ทานท่านแยกออกเป็น ๒ อย่างคือการให้ทานของ อสัปปบุรุษและการให้ทานของสัปปบุรุษ
ทานของอสัปปบุรุษมี ๕ ประการคือ ๑.ให้โดยไม่เคารพ ๒.ให้โดยไม่ยำเกรง ๓.ไม่ให้ด้วยมือของตน ๔.ให้โดยทิ้งขว้าง ๕.ให้โดยไม่เห้นผลแล้วจึงให้
ส่วนทางของสัปปบุุรุษท่านก็แสดงไว้ตรงข้ามนี้ ส่วนทานของสัปปบุรุษนัยที่๒ท่านจำแนกออกไปอีกดังนี้
๑.ให้ทานด้วยศรัทธา
๒.ให้ทานโดยความเคารพ
๓.ให้ทานตามกาลอันสมควร
๓.๑ อาคันตกะทาน
๓.๒ คมิกทาน
๓.๓ ทุพภิกขทาน
๓.๔ นวสัสสทาน
๓.๕ นวผลทาน
๔.มีจิตอนุเคราะห์แล้วจึงให้
๕.ให้ทานโดยไม่กระทบตนเองและผู้อื่น
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกัับการให้ทานที่ทำแล้วได้อานิสงสิ์มากผู้ที่หวังบุญจากการให้ทานพึงศีกษาให้เข้าใจว่าเราทำบุญถูกไหม ทำกับเนื้อนาบุญหรือเปล่าท่านเปรียบว่าการทำบุญก็เหมือนกับเราปลูกข้าว ได้ดินดี กล้าดี หมั่นดูแลรักษาข้วกล้าเราก็ออกมางามให้ผลดีเวลาเก็บเกี่ยว เวลาทำบุญเราก็ทำแบบนั้นทำในนาที่ดี ให้ด้วยศรัทธา กระทำด้วยความเคารพไม่ลบหลู่ผู้ที่เราให้มีความตั้งใจ เมื่อจะกระทำบุญก็อย่าให้ตนเองเดือดร้อนผู้อื่นทุกข์ใจตาม
๑.เรื่องของศรัทธานั้นเป็นข้อพื้นฐานอยู่แล้วที่จะปูพื้นฐานให้เราเข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง มีศรัทธาจึงให้ได้จะของเล็กของใหญ่เมื่อไม่มีศรัทธาก็สละไม่ได้ ท่าจึงกล่าวว่าแม้จะให้ของอันเป็นสิ่งเล็กน้อยแแต่เมื่อให้ด้วยศรัทธา วัตถุทานชื่อว่าน้อยย่อมไม่มี
๒.ความเคารพนั้นเป็นความดีที่เราพึงปฏิบัติไม่ว่าจะทำอันใดกล่าวกะใคร เด็กเล็กผู้ใหญ่เราต้องให้ความเคารพกัน การให้ทานด้วยความเคารพท่านจัดเป้นสัปปุริสทานเพราะเมื่อบุคคลน้อมนำทักขิณาทานเข้ามาความเคารพก็ต้องมีให้แสดงกิริยามารยาทอันสมควร สังเกตเวลาที่เรามาใส่บาตรพระพ่อแ่เราสอนให้เราถอดรองเท้า ก็เพราะอันนี้ละเพื่อแดงความเคารพในคุณธรรมหวังอยากทำบุญด้วยท่านกล่าวอานิสงสิ์ของการทำบุญด้วยความเคารพว่าลูกเมียบริวารทั้งหลายจะเป็นผู้เชื่อฟังอยู่ในโอวาท เสมอต้นเสมอปลาย ใครที่เวลาถวายของให้พระทำแบบจับวางไม่ระมัดระวังก็ให้ทำใหม่เพราะมันแดงถึงความไม่ตั้งใจจริงของเราเหมือนไม่อยากจะได้บุญ เวลามาทำก็ให้ตั้งใจไม่ต้องรีบให้ทำเพื่อเอาบุญกันจริงๆ
๓.ให้ทานตามกาลอันสมควร ท่านเรียกสั้นๆว่ากาลทาน ทีนี้ท่าจัดกาลทานออกไปอีก๕ประการ ดังจะอธิบายให้ฟังดังนี้
๑.อาคันตุกทาน ทานแก่ผู้จรมา หมายถึงแขกมาบ้านช่องเราก้ต้อนรับท่านก็จัดเป็นทานที่ได้อานิสงสิ์มากอาตมาเคยได้ยินเร่องเล่าว่าเรื่องนี้เกิดที่ประเทศสหรัฐมีนักศึกษาแพทย์เดินทางเหนื่อยไปเคาะบ้านหลังหนึ่งเพื่อขอน้ำดื่ม เจ้าของบ้านก็ยินดียื่นน้ำให้กาลเวลาต่อมาเจ้าของบ้านคนนั้นป่วยต้องผ่าตัดก็เข้าโรงพยาบาลทีนี้เวลาจ่ายยาเขาก็เซ็นว่าจ่ายแล้วด้วยน้ำดื่ม นี้เพราะอานิสงสิ์ของบุญที่ได้กระทำไว้
๒.คมิกทาน ทานแก่ผู้ที่จะจากไป ญาติเราคนรู้จักเรามาเยี่ยมแล้วจะจากไปหรือคนที่เรารู้จักกำลังจะจากไปเราก็จัดแจงข้าวของให้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงกันท่านก้ว่ามีอานิสงสิ์มากให้ค่ายนพาหนะช่วยกันดังนี้
๓.ทุพภิกขทาน ข้อนี้เราทำกันบ่อยมากคนไทยนี้ชอบเป้นเสน่ห์ของบ้านเราเวลาเกิดเหตุเภทภัยขึ้นเราก้มาช่วยกันบริจาคกันหนาวที่เหนือเราก็ชวยน้ำท่วมที่ใต้เราก็ไปสึนามิมาเราก็ทำ ดังนี้เรียกว่าไม่ทิ้งกันให้ทานเมื่อเกิดภัยพิบัติท่านก็ว่าอานิสงสิ์ให้เห็น
๔.นวสัสสทาน อันนี้อาตมาเห็นเวลาชาบ้านทำนาเสร็จใหม่เอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้ฉางโดยเฉพาะแถวบ้านอาตมาเขาจะทำเป็นประเพณีเลยอาตมาก็มานกว่าบรรพบุรุษเราสอนให้เราทำก็เพื่ออยากให้ลูกหลานไม่คลาดจากบุญเอาของใหม่ถวายพระเพื่อเป็นสิริมงคล อย่างเพื่ออาตมา ตอนนั้นทำงานได้เงินเดือนออกมาใหม่ๆมาหาที่วัด ถวายเงินมาบอกว่าเป้นสิริมงคลเงินเดือนๆแรกในชีวิตครับหลวงพี่ อาตมาก็แนะนำให้ว่าแล้วอย่าลืมเจียดให้โยมพ่อด้วยละ
๕.นวผลทาน ให้ผลไม้ใหม่เป็นทาน ที่ท่านจัดนวสัสสทานและนวผลทานเป็นกาลทานเพราะ๒อย่างนี้ต้องมีฤดูมีเวลาของมัน เมื่อทำงานได้ผลออกมาดีก็เอามาถวาย มีเรื่องพอจะยกเป็นอทาหรณ์ปรากฏในบทสวดของพระสงฆ์ปรารภเรื่องราวไว้
ในอนุโมทนากถา กาลทานสูตร นี้เป็นบทพระพุทธมนต์อนุโมทนาแก่ผู้บริจาคทานตามกาล เป็นพิเศษ จะได้บรรยายถึง
มูลเหตุแห่งมนต์บทนี้ เพื่อเจริญศรัทธาสัมมาปฏิบัติของทุกท่านที่ใคร่ธรรมก่อน ทั้งเพื่อเป็นวิทยาภรณ์ของธรรมจารี
ชนสืบไป เรื่องมีว่า
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่กุฏาคารศาลาป่ามหาวัน แคว้นพระนครไพสาลี ประทานอนุสาสนีพุทโธวาท
ประสาธน์มรรคผล ให้สำเร็จแก่พุทธเวไนย ทรงประทานพรหมจรรย์แก่ผู้มีเสื่อมใสเป็นพิเศษ เพื่อให้บรรลุอจลเขตปฏิ
สัมภิทา ทรงเผยเกียรติคุณของพระศาสนา ให้รุ่งเรืองไพศาลเป็นพิเศษปลุกประชาสัตว์ให้ตื่นจากสรรพกิเลสนิทรา จึง
ประชาชนพากันเคารพบูชาและปฏิบัติดำเนิน โดยหยั่งเห็นเป็นคุณเครื่องจำเริญประโยชน์สุขทั้งภพนี้และภพหน้า
ครั้งนั้น สีหะเสนาบดี มีศรัทธา ได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับโดยควรแก่โอกาส น้อมเศียรถวาย
อภิวาทแล้วกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระมหากรุณาธิคุณโลกนาถ พระองค์ยังจะทรงสามารถบัญญัติแสดงให้เห็นชัด ถึง
ผลทานในปัจจุบันนี้ทันตาเห็น ได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “สีหะ ตถาคตสามารถบัญญัติให้เธอรู้เห็นชัดในปัจจุบันทันตาเห็นได้ จงตั้งใจสดับ
ท่านสีหะ อันคนผู้เป็นทานบดี คือเจ้าของทาน มิใจชื่นบานยินดีสละให้ ย่อมเป็นที่รักใคร่ ชอบใจของหมู่ชนเป็นอัน
มาก นี้เป็นผลในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“ท่านสีหะ ยังมีอีก คือ คนที่ยินดีสละให้นั้น ย่อมได้รับการคบหาสมาคมจากคนดี อัธยาศัยดี สงบเรียบร้อยทั่วไป คนดี
ทั้งหลายพอใจไปมาหาสู่อยู่ร่วม นี้เป็นผลในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“สีหะ ยังมีอีก เกียรติศัพท์ ชื่อเสียงอันดีของทานบดี ผู้ที่ยินดีสละให้ ย่อมฟุ้งขจ รไปไกล นี้เป็นผลทานในปัจจุบันข้อ
หนึ่ง
“ท่านสีหะ ยังมีอีก หากว่า ทานบดี คนที่ยินดีสละให้ จะเข้าสู่สมาคมใด ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์,พราหมณ์ หรือ คหบดี
หรือแม้สมณะ ย่อมจะองอาจ ไม่สะทกสะท้านเก้อเขินแต่ประการใด นี้เป็นผลทานในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“ท่านสีหะ ใช่ว่าผลทานจะสิ้นสุดอานุภาพในการให้ผลแก่ผู้บริจาคในปัจจุบันเพียงเท่านั้นก็หาไม่ เมื่อผู้บริจาคแตก
กายทำลายขันธ์แล้ว ยังจะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์อีก”
ท่านสีหะเสนาบดีได้สดับพระพุทธโอวาทจบลงด้วยความปลาบปลื้มประกาศความเชื่อมั่นต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ตนเป็นทั้งทายก เป็นทั้งทานบดี คือ เป็นทั้งผู้ให้ทาน และเป็นเจ้าของทานด้วย ถวายอภิวาทกระทำปทักษิณแล้ว
กลับคืนนิเวศน์ของท่าน
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ทรงแสดงกาลทานแก่ ภิกษุ ทั้งหลาย สืบไปว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีปัญญา จักรู้ถ้อยคำของคน
ร้องขอความกรุณาบอกความต้องการ ผู้ปราศจากความตระหนี่ ย่อมบริจาคทานให้ทานที่ควรบริจาค กาลทานที่บุคคล
บริจาคแล้วด้วยจิตเลื่อมใสมีผลไพบูลย์ แม้คนที่ช่วยเหลือในการบริจาค ที่สุดคนที่ทราบเรื่องแล้ว พลอยอนุโมทนา
ทานในการบริจาคนั้นด้วยความเลื่อมใส ก็มีส่วนพลอยได้บุญด้วยมาก เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรมีความกินแหนง
แคลงใจในการบริจาค พึงห้ามความท้อแท้และพึงบริจาค ทานที่บริจาคแล้วนั้น มีผลมากนัก”
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน คือ ทานที่บริจาคในฤดูกาลที่นิยมนี้ มี ๕ อย่างคือ ๑. อาคันตุกทาน ทานสำหรับบริจาค
แก่ผู้เดินทางมาถึงถิ่นเรา ๒. คมิกทาน ทานบริจาคแก่ผู้เตรียมตัวจะเดินทางไกล ๓. ทุพภิกขทาน ทานบริจาคในคราว
เกิดทุพภิกขภัย คือในสมัยข้าวยากหมากแพง ในคราวประชาชนอดหยากลำบากด้วยอาหารเพราะฝนแล้ง ข้าวตาย
คนอดหยากมาก แม้ประสบภัยจากน้ำท่วม ลมร้ายไฟไหม้ ก็นับเข้าในข้อนี้ ๔. นวผลทาน ทานบริจาคในคราวมีผลไม้
ใหม่ในปีหนึ่งๆ เช่น สลากภัตมะม่วง เป็นต้น ๕. นวสัสสทาน ทานบริจาคในคราวข้าวกล้าในนาแรกเกิดผล ในเวลา
ต่างๆกัน รวม ๙ ครั้ง คือ
๑. สาลิคพฺพคฺคํ ในคราวแรกรวงข้าวกล้าเป็นน้ำนม ( นิยมเรียกว่า ยาคู )
๒.ปุถุคฺคํ ในคราวข้าวเป็นข้าวเม่า
๓. สายนคฺคํ ในคราวเกี่ยว
๔. เวณิคฺคํ ในคราวทำคะเน็ด
๕. กลาปคฺคํ ในคราวมัดฟ่อน
๖. ปลคฺคํ ในคราวขนเข้าลาน
๗. ภณฺฑคฺคํ ในคราวทำลอมข้าว
๘. โกฏฐคฺคํ ในคราวขนเข้ายุ้งฉาง
๙. อุกฺขลิกคฺคํ ในคราวหุงข้าวใหม่
กาลทาน ทั้ง ๕ นี้ ที่บุคคลมีปัญญา มีศรัทธา บริจาคในท่านผู้มีศีลทั้งหลาย ย่อมมีผลมากยิ่งแล เมื่อสิ้นกระแสพระ
โอวาทแล้ว ได้ตรัสคำเป็นอนุโมทนากถา รวม ๓ คาถาครึ่ง มีคำว่า กาเล ททนฺติ เป็นต้น
สำหรับกาลทานในเรื่องถวายเนื่องด้วยข้าว รวม ๙ ครั้งนี้ มีเรื่องที่พรรณนาถึงผลของกาลทาน ที่คนใจบุญได้พยายาม
ทำ ว่ามีผลมาก และได้รับผลก่อนผู้อื่น เพราะคนทำก่อนย่อมได้ผลก่อน คนทำภายหลัง ย่อมได้ผลภายหลัง เรื่องมีว่า
ในศาสนาของพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้นมีคหบดีสองพี่น้อง ผู้พี่มีนามว่า มหากาล ผู้น้องมีนามว่า จุลกาล เป็นผู้มี
หลักฐานในกสิกรรม ทำนาเป็นอาชีพ โดยชอบโดยกาล มีวิริยะอุตสาหะไม่เกียจคร้านในงานเฉพาะหน้า สมัยหนึ่งได้
เริ่มทำนา เมื่อข้าวกล้าได้น้ำท่า และได้รับการรักษาด้วยดีก็งดงามเสมอกันหมด ครั้นข้าวในนาออกรวง เริ่มมีน้ำนม
แล้ว ท่านคหบดีจุลกาล จึงดำริว่า อันน้ำนมในเมล็ด ในระยะกาลนี้ มีโอชารส ถ้าเราจะเอามาบดบีบคั้นเอาแต่น้ำนม
และผสมปรุงด้วยน้ำตาลกรวด ก็จะมีรสหวาน เป็นอาหารอันเอมโอชอันล้ำค่า แล้วน้อมถวายแต่พระบรมศาสดาพระวิ
ปัสสีพุทธเจ้า เป็นดีแท้จึงจัดการทดลองโดยเกี่ยวเอารวงข้าวที่กำลังเป็นน้ำนม ในเขตนามา บ้านครั้นท่านมหากาลผู้
พี่ชาย เห็นเข้าก็ไม่ชอบใจ และห้ามปรามทัดทาน แต่ท่านจุลกาลไม่ยินยอม ในที่สุดได้ตกลงแบ่งนาทั้งสิ้นออกเป็น
คนละส่วนไม่รวมกัน เพี่อให้สิทธิในอันที่จะทำกิจนั้นๆได้ตามประสงค์ โดยควรแก่อัธยาศัย ท่านจุลกาล มีความยินดี
ในอันจะได้บำเพ็ญบุญดังมโนรถจึงได้เรียกคนเข้าช่วยจัดตัดเอาแต่รวงข้าวที่เป็นน้ำนม เอามาคั้นปรุงเป็นข้าวยาคู
อย่างโอชารส พอควรแก่พระสงฆ์ และน้อมถวายพระพุทธองค์ พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้าและสาวกด้วยความเลื่อมใส
และได้อธิษฐานไว้ว่าต่อไปในเบื้องหน้า ขอให้ข้าได้บรรลุโมกขธรรมก่อนกว่าใครๆในพระศาสนาของพระสัมมาสัม
พุทธเจ้าในกาลข้างหน้าโน้นเถิด
ส่วนท่านมหากาลไม่เลื่อมใส ไม่พอใจในการกระทำของน้อง ปล่อยให้ท่านจุลกาลบำเพ็ญบุญกาลทานในผลของข้าว
ในนา รวม ๙ ครั้งตามลำพัง มิได้เข้าช่วยเหลือร่วมแรง แม้แต่จิตจะอนุโมทนาก็ไม่มี เพราะไม่มีความยินดีแล้วแต่ต้น
ได้มาบำเพ็ญบุญสำหรับตนต่อกาลภายหลัง
ดังนั้น ครั้นท่านทั้งสองวายชนม์แล้ว ก็ไปสุคติสวรรค์ด้วยบุญกรรมนั้นๆ อำนวยให้ ประสบสุขตามวิสัย โดยควรแก่กาล
ครั้นมาบังเกิดในภัทรกัปป์นี้ ด้วยอานุภาพของกาลทานของท่านจุลกาลที่ได้บำเพ็ญในครั้งนั้น ได้นำให้ท่านมาเกิด
เป็นพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ได้สดับธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ได้สำเร็จอริยผล เป็นพระสงฆ์อริยเจ้าก่อนผู้อื่นทั้งหมด
สมดังมโนรถที่ปรารถนาไว้ในคราวถวายข้าวยาคู ซึ่งปรุงขึ้นด้วยข้าวน้ำนมในศาสนาพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า
ส่วนท่านมหากาล ได้มาบังเกิดเป็นพระสุภัททะ ได้ฟังธรรมของพระสัมพุทธเจ้าในเวลาที่พระองค์ใกล้เสด็จดับขันธ
ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมื่องกุสินารา ได้เป็นอรหันต์องค์สุดท้าย ด้วยกุศลที่ถวายทานในกาลภายหลัง ด้วย
ประการฉะนี้
สำหรับอนุโมทนากถานี้ พระสงฆ์ได้นิยมสวดเป็นคาถาอนุโมทนาในงานถวายกาลทาน ตามที่ประจักษ์อยู่เป็นประจำ
โดยมาก ก็งานทอดกฐิน ด้วยผ้ากฐินเป็นผ้ากาลจีวร คือ จีวรที่ทายกจัดถวายพระสงฆ์ในจีวรกาล ตามพระบรมพุทธา
นุญาตที่ทรงบัญญัติ จัดเข้าในกาลทานโดยแท้ กับงานถวายสลากภัตต่างๆ เช่น สลากภัตมะม่วง สลากภัตทุเรียน
เป็นต้น ก็นิยมใช้กาลทานสูตรสวดอนโมทนาทั่วกันในสังฆมณฑล
เพราะฉะนั้น ขอสาธุชนผู้ใคร่บุญ ไม่พึงประมาทในโอกาสที่บำเพ็ญกาลทาน ควรจะมีใจเบิกบานร่วมบำเพ็ญกุศล หรือ
ไม่ก็เข้าช่วยเหลือด้วยกำลังของตนตามสามารถ ที่สุดหากไม่เป็นโอกาส ก็ควรตั้งใจอนุโมทนาสาธุการ จักได้มีส่วน
บุญในกาลทานนั้นๆ
จริงๆว่าวันนี้ต้องการจะาพูดเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา แต่วันนี้เห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงขอยุติลงไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน หากมีเวลาก็จะได้มาพูดคุยกับทุกท่านอีกครั้ง อนุโมทนา เจริญพรฯ
โอกาสนี้เราท่านทั้งหลายพร้อมใจกันประพฤติคุณงามความดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้น้อมเอาคุณงามความดีอันนั้นมาระลึกนึกถึงให้ใจเป็นสมาธิ แล้วตั้งใจรับฟังพระธรรมเทศนาอันจะก่อให้เกิดปัญญาบารมี อันเนื่องมาจากสุตตมยปัญญา จินตตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา
วันนี้ทางพระอาจารย์กำหนดมาให้พูดเรื่องเข้าพรรษาใฝ่ธรรม หมายความว่าเลาเข้าพรรษาเราก็มาประพฤติประฏิบัติธรรมกัน จริงๆแล้วเรื่องเข้า-ออกก็ไม่มีอะไรแปลกใม่ดอก เราพากันสมมุติกันขึ้นพอให้เป็นเรื่องราว จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ที่มีปัญหาจริงๆคือสภาวะธรรมทั้งหลายมันเกิดอยู่ประจำทุกวันทุกวินาทีไม่ได้ว่างเว้นให้เราพักผ่อนหรือหาเวลาได้แล้วค่อยมาทำกัน ถ้าเข้าใจว่าว่างแล้วค่อยมาทำ วันพระ วันนั้นวันนี้ก็ไม่ใช่แล้ว เพราะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้นเกิดขึ้นได้กับเรากับคนรอบข้งเราอยู่เสมอตลอดเวลา ถึงวันเข้าพรรษาก็มีคนตาย มีคนเกิดเข้าพรรษาก็ห้ามคนไม่ให้แก่ไม่ได้ ห้ามไม่ให้คนตายไม่ได้ เรานั่งอยู๋นี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างละ ความโกรธ ความหงุดหงิด ความคิดถึงสิ่งโน้นอันนั้นโน้น เห็นไหมละเวลาเอาจริงๆแล้วเข้าพรรษามันไม่เกี่ยวเลย สำคัญที่ปัจจุบันของเราต่างหาก เราไม่เข้าใจจะพากันหลง ทำกันผิดๆมา
ความเกิดก้มีให้เห็น ความแก่ก็ปรากฏกับเราอยู่ความตายเกิดขึ้นความห่างจากไกลกัน หลายสิ่งหลายอย่างให้เราพิจารณาใช้ปัญญาพิจารณาลงมันจะเกิดขึ้นกับตวเรา ญาติเรา สิ่งนี้เป้นสิ่งแน่นอนไม่มีใครรอดพ้นไปได้ สิ่งนี้มันเอาเราอยู่ทุกวัน ถ้าเรามัวประมาทรอวันนั้นวันนี้ ไหนละความดีเรา เราจะบุญกันที่ไหน ความดีจะเอาที่ไหน ถ้าเราไม่ทำเอาตอนนี้
เราเห้นคนเกิดเราก็ไปหัวเราะยินดีกับเขา เห้นคนตายก็พากันร้องไห้ ไหนละปัญญาอยู่ตรงไหน เพราะเรารักเพราะเราอาลัยมันก็เลยทุกข์อย่างนั้น ไม่ได้คิดกันว่าสิ่งนั้นความเกิดก็ดี ความแก่ก็ดี ความตายก็ดี เห็นไปตามเหตุของที่เป็นอยู่แล้วตามธรรมชาติ
ที่พูดมานั้นให้พิจารณาตาม ที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ มาดูตัวเราว่าเราพิจารณาไหมถ้าเราฝึกบ้างหัดทำบ้างเราก็ชื่อว่าใฝ่ธรรม เป็นผู้แสวงหาวามดีเข้าใส่ตัว
มันก็จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะเข้าถึงธรรมไหม จะพ้นทุกข์ไหม ถ้าหากมัวประมาทกัน ความดีไม่ประกอบให้มีขึ้น หลงไปตามกระแส ตัณหาลากไป กิเลสดึงไว้ อวิชชาก็ปิดบัง อุปาทานก็ยึดไว้ เราก็ปไหนไม่ได้ เวียนไปเวียนมาอย่างนี้ความทุกข์ก็เวียนเกิดขึ้นเวียนดับอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ หลุดไม่ได้
เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไรละ?
เราสังเกตุตัวเองนี้ละเข้าวัดกันบ่อยๆทำไมทุกข์ไม่เคยหายสักที มานั่งกันอยู่ตรงนี้เคยคิดบ้างไหมว่าเราจะพัฒนาการเป้นพุทธสาสนิกชนของเราให้สุงกว่านี้อย่างไร บริจาคไปกี่แสนทำไมชีวิตถึงไม่เคยพ้นไปจากความทุกข์บ้าง
เราท่านทั้งหลายนั่งอยู่บ้านหรืออยู่วัดศาลาแห่งนี้มีกาย+ใจอยู่ด้วยเหมือนกัน เราจะอยู่ที่ไหน เดินอยู่ห้าง นอนดูทีวีเราก็มีแค่อันนี้ละ
เวลาเราปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติกายกับใจเรานั่นเองไม่ได้ทำที่อื่นที่ไหน ทำที่บ้านก็ได้ ถ้าเราเข้าใจดังนี้มันก็ง่ายมันจะไม่ใช่เรื่องของพระเรื่องของคนอื่นมันเป้นเรื่องของเรา
ธรรมมะของพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ดีแล้วกล่าวไว้ว่าใครทำใครก็ได้ทำตอนไหนก็ได้ ไม่จำกัดกาลและเวลา ผู้ปฏิบัติเท่านั้นสามารถรู้หรือเห็นตามที่ท่านแสดงไว้เท่านั้น ธรรมนั้นย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมและรักษาผู้ประพฤตินั้นไม่ให้ตกลงที่ต่ำ
ความดีนั้นใครทำคนนั้นก็ได้ คนที่ไม่ทำมานั่งดูคนอื่นทำ เวลาเขาเสวยผลบุญก็ได้แต่นั่งแหงนดูเขาเราจะรับเสวยเหมือนเขาก็ไม่ได้เพราะเป็นบุญเขาไม่ใช่ของเราก็เหมือนเงินทองของเขาเราเห็นเขามีเงินมีบ้านมีรถเขาประกอบเหตุที่หามาได้ เราไม่ได้ทำไม่ได้ประกอบเหตุนั้น เราจะมีจะได้เหมือนเขาไหม เราก็ได้แต่มองดูสมบัติเขาชื่นชมเขา แต่ถ้ามัวชื่นชมก็ไม่ได้ก้ต้องทำเหตประกอบเหตุให้เกิดมีผลมันถึงจะได้ ถ้าอยากได้ก็ทำเหตุเอา
เรื่องบาปอกุศลก็เหมือนกันใครเป็นผู้ทำก็รับผลนั้นไปคนที่ไม่ทำเขาก็ได้แต่มองดูเหมือนกัน
อาตมาเชื่อว่าญาติโยมหลายคนเคยได้ยินได้ฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์มาแล้วหรือสำหรับพระสงฆ์เราผู้เป็นนักศึกษาย่อมได้รับการสอนมาแล้ว หรือหากใครที่ยังไม่ได้ฟังก็ให้ตั้งใจฟังถ้าอยากกได้รายละเอียดเพื่อทำความเข้าใจ ก็ลไปศึกษาในพระไตรปิฎกหรือพระธรรมบท ท่านได้แจกแจงไว้ก็จะเห็นตามที่จะได้แสดงต่อไปข้างหน้า
การที่เราเข้าวัดมาทำบุญกันทุกวันนี้นั้นเป็นเรื่องดีแล้ว ศีลที่ทำกันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เรื่องที่จะก่อโทษแก่ใครผู้ประพฤติประฏิบัติบัณฑิตทั้งหลายก็สรรเสริญ
ใครที่ให้ทาน รักษศีล เจริญภาวนาเป็นประจำเนืองนิจยมบาลไม่จับไปโยนลงหม้อนรกดอก ขอให้กระทำอยู่เสมอรักษาความดีนั้นไว้อย่าให้ด่างพล้อย
พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีความเพียร ท่านกล่าวว่าคนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร หมายถึงว่าความดีนั้นให้หมั่นประกอบหมั่นทำ ถ้ามีแล้วหรือทำอยู่ก็ให้ประกอบความดีนั้นให้เกิดมีขึ้นเรื่อยๆรักษาความดีนั้นไว้มิให้เสื่อมคลาย
เราจะต้องศึกษาให้ถูก ก่อนที่เราจะรู้อะไรแจ่มชัดต้องศึกษาให้ละเอียดเพื่อความรู้ที่ถูกต้องและก็เพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย พระพุทธศาสนาก็เหมือนกันถ้าเราทะเล้อละล่าข้าไปก็จับจุดไม่ถูก นอกจากจับจุดไม่ถูกยังเข้าใจไม่ถูกก็พาให้เราปฏิบัติกันผิด การที่จะรู้จะเข้าใจในเรื่องนั้นก็ไม่ถูก การเข้าใจพระพุทธศาสนาจำเป้นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยการศึกษาให้เข้าใจถูกต้อง จึงต้องให้ความสำคัญต่อการศึกษา เพราะคนที่มีปัญญหาตอนนี้ก็เพราะไม่ได้ศึกษาห้ถูกต้องในหลักที่ควรปฏิบัติกัน
เมื่อเราศึกษากันดีแล้วก้น้อมคำสอนนั้นมาปฏิบัติให้เต้มที่เต้มกำลัง ยถาสติ ยถาพลํ มนสิ กโรม
เรื่องอะไรที่เราต้องศึกษาเราถึงจะเข้าใจพระพุทธศาสนาเอามาพูดกันวันนี้มี ๓ เรื่อง คือ ทาน ศีล ภาวนา เอาเรื่องปกติที่เราทำกันอยู่เพื่อทำความเข้าใจเพื่อการปฏิบัติให้ถูกต้อง การให้ทานเราก็ทำกันอยู่บ่อยๆ ศีลเราก็ทำ ภาวนาเราก็ทำแต่ทำตามๆกันมา พระพาทำก็ทำบางคนไม่รู้อะไรเขาว่าก็ว่าไปตาม ก่อนที่จะมาทำบุญนะลองถามดูสิถ้าไม่ใช่พราะหมอดูทักก็ไม่เข้าหรอกวัด ขอหวยอย่างนี้นั่นเพราะเราคิดว่ามันเป้นบุญเราก็ทำขอใหศึกษาให้ดีเพื่อการเข้าใจที่ถูกต้อง บางคนก็ยังคิดว่าเข้าวัดเป้นเรื่องของคนแก่ มีเวลาแล้วค่อยเข้าก็มีก็เพราะเราเข้าใจกันโดยไม่ได้ศึกษา ไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญาเมื่อมาทำก็ผิดไป แทนที่จะได้ปัญญากับไปก็เอาความทุกข์กลับไปอีกนั่นละโทษของการไม่ศึกษาอะไรให้เข้าใจ
มีพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า "ปุญฺญเมว โส สิกฺเขยฺย" เรามานั่งกันอยู่ในศาลาารเปรียญหลังนี้ หลายคนรวยทรัพย์ หลายคนก็พอมี หลายคนก็แทบไม่มี หลายคนมีความสุข หลายคนก็ทุกข์ใจมา ลูกไม่ดั่งใจผัวนอกใจก็มีบางคนไม่รวยทรัพย์แต่ใจดีก็มี จากพุทธพจน์ข้างต้นเราจึงต้องมาศึกษาเรื่องบุญกันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าบุคคลพึงศึกษาเรื่องบุญให้เข้าใจท่องแท้ จงเลือกให้ทานแต่เฉพาะที่ให้คุณประโยชน์ ให้เว้นทานที่ให้แล้วก่อทุกข์ร้อตามมา เราก้ทำกันอยู่มานาน บ้างก็ทำมากทำน้อยแล้วแต่ศรัทธาของใครของมันแต่เราก้ทำกันอยู่ก็ไม่เคยหายทุกข์ันสักที เข้าวัดก็หลายวัด เป่าเสกวัดไหนก็ไป ดน้ำวัดไหนดีก็ไปขึ้นเหนือลงใต้ไปหมด ไม่ใช่ว่าไม่ไดีหรอกแต่เราต้องศึกษากัน ญาติโยมทั้งหลายมาวัดก็หวังได้บุญ เราจะทำบุญตรงไหน เอาบุญอะไรก้ให้พิจารณาบ้าง บางสำนักบางวัดท่านก็มีสำนักเรียนมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษามากเราก็อนุเคราะห์ปัจจัย ๔ ให้เป็นเครื่องบำรุงพระสงฆ์สามเณร บางวัดท่านก็คลาดแคลนกุฏิบ้าง ศาลาบ้างก็ร่วมสร้างร่วมทำ ให้เราพิจารณาเห็นประโยชน์เราจึงทำถ้าบำรุงพระสงฆ์ให้มีการศึกษาเราก็ได้บุญมากมาย หนึ่งละได้พระสงฆ์ที่มีความรู้ความเข้าใจ สองเราได้ทำบุญไว้ในพระศาสนา สามเราได้เสริมกำลังอายุพระศาสนาที่มีพระสงฆ์ยังศึกษาอยู่แล้วเอาคำสอนนั้นมาบอกแก่เรา เราก้ยังได้บุญจากการฟังธรรมอีก พระสัทธรรมก็ยังคงดำรงอยู่ตราบใดที่เราบำรุงพระสงฆ์องค์เจ้า ตราบใดที่มีพระสงฆ์องค์เจ้าก็ยังมีผู้ปฏิบัติตามคำสอนเป็นหลักเป็นชัย นอกนั้นเราก้ยังได้ทำให้ประเทศชาติเจริญด้วยการสร้างคนสร้างกำลงชาติกำลังศาสนา อันนี้คือทำบุญแบบเห้นประโยชน์แล้วจึงทำ คือศึกษาว่าถ้าทำบุญส่วนนี้แล้วจะได้ประโยชน์อันนี้บ้างดังนี้ แต่ถ้าไม่ศึกษาแล้วไปทำบุญเราก็ไปขอหวยบ้าง ไหว้คางคกบ้างโน่นนะมันไกลกันไหม ไกลศาสนามากทีนี้เราก็มาหาว่าอันนั้นเป็นพระพุทธศาสนาก็พลอยให้ศาสนาเรามัวหมองไปด้วย พระพรหมพระพิฆเนศอย่างนี้ก็มีมา ถ้าเรายังทำกันอย่างนี้เราก็จะไม่เข้าใจหลักที่แท้จริงของการให้ทานที่ประกอบด้วยประโยชน์
ทีนี้จะกล่าวถึงข้อความที่ปรากฏในพระอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาติ กล่าวถึงการให้ทานท่านแยกออกเป็น ๒ อย่างคือการให้ทานของ อสัปปบุรุษและการให้ทานของสัปปบุรุษ
ทานของอสัปปบุรุษมี ๕ ประการคือ ๑.ให้โดยไม่เคารพ ๒.ให้โดยไม่ยำเกรง ๓.ไม่ให้ด้วยมือของตน ๔.ให้โดยทิ้งขว้าง ๕.ให้โดยไม่เห้นผลแล้วจึงให้
ส่วนทางของสัปปบุุรุษท่านก็แสดงไว้ตรงข้ามนี้ ส่วนทานของสัปปบุรุษนัยที่๒ท่านจำแนกออกไปอีกดังนี้
๑.ให้ทานด้วยศรัทธา
๒.ให้ทานโดยความเคารพ
๓.ให้ทานตามกาลอันสมควร
๓.๑ อาคันตกะทาน
๓.๒ คมิกทาน
๓.๓ ทุพภิกขทาน
๓.๔ นวสัสสทาน
๓.๕ นวผลทาน
๔.มีจิตอนุเคราะห์แล้วจึงให้
๕.ให้ทานโดยไม่กระทบตนเองและผู้อื่น
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกัับการให้ทานที่ทำแล้วได้อานิสงสิ์มากผู้ที่หวังบุญจากการให้ทานพึงศีกษาให้เข้าใจว่าเราทำบุญถูกไหม ทำกับเนื้อนาบุญหรือเปล่าท่านเปรียบว่าการทำบุญก็เหมือนกับเราปลูกข้าว ได้ดินดี กล้าดี หมั่นดูแลรักษาข้วกล้าเราก็ออกมางามให้ผลดีเวลาเก็บเกี่ยว เวลาทำบุญเราก็ทำแบบนั้นทำในนาที่ดี ให้ด้วยศรัทธา กระทำด้วยความเคารพไม่ลบหลู่ผู้ที่เราให้มีความตั้งใจ เมื่อจะกระทำบุญก็อย่าให้ตนเองเดือดร้อนผู้อื่นทุกข์ใจตาม
๑.เรื่องของศรัทธานั้นเป็นข้อพื้นฐานอยู่แล้วที่จะปูพื้นฐานให้เราเข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง มีศรัทธาจึงให้ได้จะของเล็กของใหญ่เมื่อไม่มีศรัทธาก็สละไม่ได้ ท่าจึงกล่าวว่าแม้จะให้ของอันเป็นสิ่งเล็กน้อยแแต่เมื่อให้ด้วยศรัทธา วัตถุทานชื่อว่าน้อยย่อมไม่มี
๒.ความเคารพนั้นเป็นความดีที่เราพึงปฏิบัติไม่ว่าจะทำอันใดกล่าวกะใคร เด็กเล็กผู้ใหญ่เราต้องให้ความเคารพกัน การให้ทานด้วยความเคารพท่านจัดเป้นสัปปุริสทานเพราะเมื่อบุคคลน้อมนำทักขิณาทานเข้ามาความเคารพก็ต้องมีให้แสดงกิริยามารยาทอันสมควร สังเกตเวลาที่เรามาใส่บาตรพระพ่อแ่เราสอนให้เราถอดรองเท้า ก็เพราะอันนี้ละเพื่อแดงความเคารพในคุณธรรมหวังอยากทำบุญด้วยท่านกล่าวอานิสงสิ์ของการทำบุญด้วยความเคารพว่าลูกเมียบริวารทั้งหลายจะเป็นผู้เชื่อฟังอยู่ในโอวาท เสมอต้นเสมอปลาย ใครที่เวลาถวายของให้พระทำแบบจับวางไม่ระมัดระวังก็ให้ทำใหม่เพราะมันแดงถึงความไม่ตั้งใจจริงของเราเหมือนไม่อยากจะได้บุญ เวลามาทำก็ให้ตั้งใจไม่ต้องรีบให้ทำเพื่อเอาบุญกันจริงๆ
๓.ให้ทานตามกาลอันสมควร ท่านเรียกสั้นๆว่ากาลทาน ทีนี้ท่าจัดกาลทานออกไปอีก๕ประการ ดังจะอธิบายให้ฟังดังนี้
๑.อาคันตุกทาน ทานแก่ผู้จรมา หมายถึงแขกมาบ้านช่องเราก้ต้อนรับท่านก็จัดเป็นทานที่ได้อานิสงสิ์มากอาตมาเคยได้ยินเร่องเล่าว่าเรื่องนี้เกิดที่ประเทศสหรัฐมีนักศึกษาแพทย์เดินทางเหนื่อยไปเคาะบ้านหลังหนึ่งเพื่อขอน้ำดื่ม เจ้าของบ้านก็ยินดียื่นน้ำให้กาลเวลาต่อมาเจ้าของบ้านคนนั้นป่วยต้องผ่าตัดก็เข้าโรงพยาบาลทีนี้เวลาจ่ายยาเขาก็เซ็นว่าจ่ายแล้วด้วยน้ำดื่ม นี้เพราะอานิสงสิ์ของบุญที่ได้กระทำไว้
๒.คมิกทาน ทานแก่ผู้ที่จะจากไป ญาติเราคนรู้จักเรามาเยี่ยมแล้วจะจากไปหรือคนที่เรารู้จักกำลังจะจากไปเราก็จัดแจงข้าวของให้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงกันท่านก้ว่ามีอานิสงสิ์มากให้ค่ายนพาหนะช่วยกันดังนี้
๓.ทุพภิกขทาน ข้อนี้เราทำกันบ่อยมากคนไทยนี้ชอบเป้นเสน่ห์ของบ้านเราเวลาเกิดเหตุเภทภัยขึ้นเราก้มาช่วยกันบริจาคกันหนาวที่เหนือเราก็ชวยน้ำท่วมที่ใต้เราก็ไปสึนามิมาเราก็ทำ ดังนี้เรียกว่าไม่ทิ้งกันให้ทานเมื่อเกิดภัยพิบัติท่านก็ว่าอานิสงสิ์ให้เห็น
๔.นวสัสสทาน อันนี้อาตมาเห็นเวลาชาบ้านทำนาเสร็จใหม่เอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้ฉางโดยเฉพาะแถวบ้านอาตมาเขาจะทำเป็นประเพณีเลยอาตมาก็มานกว่าบรรพบุรุษเราสอนให้เราทำก็เพื่ออยากให้ลูกหลานไม่คลาดจากบุญเอาของใหม่ถวายพระเพื่อเป็นสิริมงคล อย่างเพื่ออาตมา ตอนนั้นทำงานได้เงินเดือนออกมาใหม่ๆมาหาที่วัด ถวายเงินมาบอกว่าเป้นสิริมงคลเงินเดือนๆแรกในชีวิตครับหลวงพี่ อาตมาก็แนะนำให้ว่าแล้วอย่าลืมเจียดให้โยมพ่อด้วยละ
๕.นวผลทาน ให้ผลไม้ใหม่เป็นทาน ที่ท่านจัดนวสัสสทานและนวผลทานเป็นกาลทานเพราะ๒อย่างนี้ต้องมีฤดูมีเวลาของมัน เมื่อทำงานได้ผลออกมาดีก็เอามาถวาย มีเรื่องพอจะยกเป็นอทาหรณ์ปรากฏในบทสวดของพระสงฆ์ปรารภเรื่องราวไว้
ในอนุโมทนากถา กาลทานสูตร นี้เป็นบทพระพุทธมนต์อนุโมทนาแก่ผู้บริจาคทานตามกาล เป็นพิเศษ จะได้บรรยายถึง
มูลเหตุแห่งมนต์บทนี้ เพื่อเจริญศรัทธาสัมมาปฏิบัติของทุกท่านที่ใคร่ธรรมก่อน ทั้งเพื่อเป็นวิทยาภรณ์ของธรรมจารี
ชนสืบไป เรื่องมีว่า
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่กุฏาคารศาลาป่ามหาวัน แคว้นพระนครไพสาลี ประทานอนุสาสนีพุทโธวาท
ประสาธน์มรรคผล ให้สำเร็จแก่พุทธเวไนย ทรงประทานพรหมจรรย์แก่ผู้มีเสื่อมใสเป็นพิเศษ เพื่อให้บรรลุอจลเขตปฏิ
สัมภิทา ทรงเผยเกียรติคุณของพระศาสนา ให้รุ่งเรืองไพศาลเป็นพิเศษปลุกประชาสัตว์ให้ตื่นจากสรรพกิเลสนิทรา จึง
ประชาชนพากันเคารพบูชาและปฏิบัติดำเนิน โดยหยั่งเห็นเป็นคุณเครื่องจำเริญประโยชน์สุขทั้งภพนี้และภพหน้า
ครั้งนั้น สีหะเสนาบดี มีศรัทธา ได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับโดยควรแก่โอกาส น้อมเศียรถวาย
อภิวาทแล้วกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระมหากรุณาธิคุณโลกนาถ พระองค์ยังจะทรงสามารถบัญญัติแสดงให้เห็นชัด ถึง
ผลทานในปัจจุบันนี้ทันตาเห็น ได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “สีหะ ตถาคตสามารถบัญญัติให้เธอรู้เห็นชัดในปัจจุบันทันตาเห็นได้ จงตั้งใจสดับ
ท่านสีหะ อันคนผู้เป็นทานบดี คือเจ้าของทาน มิใจชื่นบานยินดีสละให้ ย่อมเป็นที่รักใคร่ ชอบใจของหมู่ชนเป็นอัน
มาก นี้เป็นผลในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“ท่านสีหะ ยังมีอีก คือ คนที่ยินดีสละให้นั้น ย่อมได้รับการคบหาสมาคมจากคนดี อัธยาศัยดี สงบเรียบร้อยทั่วไป คนดี
ทั้งหลายพอใจไปมาหาสู่อยู่ร่วม นี้เป็นผลในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“สีหะ ยังมีอีก เกียรติศัพท์ ชื่อเสียงอันดีของทานบดี ผู้ที่ยินดีสละให้ ย่อมฟุ้งขจ รไปไกล นี้เป็นผลทานในปัจจุบันข้อ
หนึ่ง
“ท่านสีหะ ยังมีอีก หากว่า ทานบดี คนที่ยินดีสละให้ จะเข้าสู่สมาคมใด ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์,พราหมณ์ หรือ คหบดี
หรือแม้สมณะ ย่อมจะองอาจ ไม่สะทกสะท้านเก้อเขินแต่ประการใด นี้เป็นผลทานในปัจจุบันข้อหนึ่ง”
“ท่านสีหะ ใช่ว่าผลทานจะสิ้นสุดอานุภาพในการให้ผลแก่ผู้บริจาคในปัจจุบันเพียงเท่านั้นก็หาไม่ เมื่อผู้บริจาคแตก
กายทำลายขันธ์แล้ว ยังจะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์อีก”
ท่านสีหะเสนาบดีได้สดับพระพุทธโอวาทจบลงด้วยความปลาบปลื้มประกาศความเชื่อมั่นต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ตนเป็นทั้งทายก เป็นทั้งทานบดี คือ เป็นทั้งผู้ให้ทาน และเป็นเจ้าของทานด้วย ถวายอภิวาทกระทำปทักษิณแล้ว
กลับคืนนิเวศน์ของท่าน
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ทรงแสดงกาลทานแก่ ภิกษุ ทั้งหลาย สืบไปว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีปัญญา จักรู้ถ้อยคำของคน
ร้องขอความกรุณาบอกความต้องการ ผู้ปราศจากความตระหนี่ ย่อมบริจาคทานให้ทานที่ควรบริจาค กาลทานที่บุคคล
บริจาคแล้วด้วยจิตเลื่อมใสมีผลไพบูลย์ แม้คนที่ช่วยเหลือในการบริจาค ที่สุดคนที่ทราบเรื่องแล้ว พลอยอนุโมทนา
ทานในการบริจาคนั้นด้วยความเลื่อมใส ก็มีส่วนพลอยได้บุญด้วยมาก เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรมีความกินแหนง
แคลงใจในการบริจาค พึงห้ามความท้อแท้และพึงบริจาค ทานที่บริจาคแล้วนั้น มีผลมากนัก”
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน คือ ทานที่บริจาคในฤดูกาลที่นิยมนี้ มี ๕ อย่างคือ ๑. อาคันตุกทาน ทานสำหรับบริจาค
แก่ผู้เดินทางมาถึงถิ่นเรา ๒. คมิกทาน ทานบริจาคแก่ผู้เตรียมตัวจะเดินทางไกล ๓. ทุพภิกขทาน ทานบริจาคในคราว
เกิดทุพภิกขภัย คือในสมัยข้าวยากหมากแพง ในคราวประชาชนอดหยากลำบากด้วยอาหารเพราะฝนแล้ง ข้าวตาย
คนอดหยากมาก แม้ประสบภัยจากน้ำท่วม ลมร้ายไฟไหม้ ก็นับเข้าในข้อนี้ ๔. นวผลทาน ทานบริจาคในคราวมีผลไม้
ใหม่ในปีหนึ่งๆ เช่น สลากภัตมะม่วง เป็นต้น ๕. นวสัสสทาน ทานบริจาคในคราวข้าวกล้าในนาแรกเกิดผล ในเวลา
ต่างๆกัน รวม ๙ ครั้ง คือ
๑. สาลิคพฺพคฺคํ ในคราวแรกรวงข้าวกล้าเป็นน้ำนม ( นิยมเรียกว่า ยาคู )
๒.ปุถุคฺคํ ในคราวข้าวเป็นข้าวเม่า
๓. สายนคฺคํ ในคราวเกี่ยว
๔. เวณิคฺคํ ในคราวทำคะเน็ด
๕. กลาปคฺคํ ในคราวมัดฟ่อน
๖. ปลคฺคํ ในคราวขนเข้าลาน
๗. ภณฺฑคฺคํ ในคราวทำลอมข้าว
๘. โกฏฐคฺคํ ในคราวขนเข้ายุ้งฉาง
๙. อุกฺขลิกคฺคํ ในคราวหุงข้าวใหม่
กาลทาน ทั้ง ๕ นี้ ที่บุคคลมีปัญญา มีศรัทธา บริจาคในท่านผู้มีศีลทั้งหลาย ย่อมมีผลมากยิ่งแล เมื่อสิ้นกระแสพระ
โอวาทแล้ว ได้ตรัสคำเป็นอนุโมทนากถา รวม ๓ คาถาครึ่ง มีคำว่า กาเล ททนฺติ เป็นต้น
สำหรับกาลทานในเรื่องถวายเนื่องด้วยข้าว รวม ๙ ครั้งนี้ มีเรื่องที่พรรณนาถึงผลของกาลทาน ที่คนใจบุญได้พยายาม
ทำ ว่ามีผลมาก และได้รับผลก่อนผู้อื่น เพราะคนทำก่อนย่อมได้ผลก่อน คนทำภายหลัง ย่อมได้ผลภายหลัง เรื่องมีว่า
ในศาสนาของพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้นมีคหบดีสองพี่น้อง ผู้พี่มีนามว่า มหากาล ผู้น้องมีนามว่า จุลกาล เป็นผู้มี
หลักฐานในกสิกรรม ทำนาเป็นอาชีพ โดยชอบโดยกาล มีวิริยะอุตสาหะไม่เกียจคร้านในงานเฉพาะหน้า สมัยหนึ่งได้
เริ่มทำนา เมื่อข้าวกล้าได้น้ำท่า และได้รับการรักษาด้วยดีก็งดงามเสมอกันหมด ครั้นข้าวในนาออกรวง เริ่มมีน้ำนม
แล้ว ท่านคหบดีจุลกาล จึงดำริว่า อันน้ำนมในเมล็ด ในระยะกาลนี้ มีโอชารส ถ้าเราจะเอามาบดบีบคั้นเอาแต่น้ำนม
และผสมปรุงด้วยน้ำตาลกรวด ก็จะมีรสหวาน เป็นอาหารอันเอมโอชอันล้ำค่า แล้วน้อมถวายแต่พระบรมศาสดาพระวิ
ปัสสีพุทธเจ้า เป็นดีแท้จึงจัดการทดลองโดยเกี่ยวเอารวงข้าวที่กำลังเป็นน้ำนม ในเขตนามา บ้านครั้นท่านมหากาลผู้
พี่ชาย เห็นเข้าก็ไม่ชอบใจ และห้ามปรามทัดทาน แต่ท่านจุลกาลไม่ยินยอม ในที่สุดได้ตกลงแบ่งนาทั้งสิ้นออกเป็น
คนละส่วนไม่รวมกัน เพี่อให้สิทธิในอันที่จะทำกิจนั้นๆได้ตามประสงค์ โดยควรแก่อัธยาศัย ท่านจุลกาล มีความยินดี
ในอันจะได้บำเพ็ญบุญดังมโนรถจึงได้เรียกคนเข้าช่วยจัดตัดเอาแต่รวงข้าวที่เป็นน้ำนม เอามาคั้นปรุงเป็นข้าวยาคู
อย่างโอชารส พอควรแก่พระสงฆ์ และน้อมถวายพระพุทธองค์ พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้าและสาวกด้วยความเลื่อมใส
และได้อธิษฐานไว้ว่าต่อไปในเบื้องหน้า ขอให้ข้าได้บรรลุโมกขธรรมก่อนกว่าใครๆในพระศาสนาของพระสัมมาสัม
พุทธเจ้าในกาลข้างหน้าโน้นเถิด
ส่วนท่านมหากาลไม่เลื่อมใส ไม่พอใจในการกระทำของน้อง ปล่อยให้ท่านจุลกาลบำเพ็ญบุญกาลทานในผลของข้าว
ในนา รวม ๙ ครั้งตามลำพัง มิได้เข้าช่วยเหลือร่วมแรง แม้แต่จิตจะอนุโมทนาก็ไม่มี เพราะไม่มีความยินดีแล้วแต่ต้น
ได้มาบำเพ็ญบุญสำหรับตนต่อกาลภายหลัง
ดังนั้น ครั้นท่านทั้งสองวายชนม์แล้ว ก็ไปสุคติสวรรค์ด้วยบุญกรรมนั้นๆ อำนวยให้ ประสบสุขตามวิสัย โดยควรแก่กาล
ครั้นมาบังเกิดในภัทรกัปป์นี้ ด้วยอานุภาพของกาลทานของท่านจุลกาลที่ได้บำเพ็ญในครั้งนั้น ได้นำให้ท่านมาเกิด
เป็นพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ได้สดับธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ได้สำเร็จอริยผล เป็นพระสงฆ์อริยเจ้าก่อนผู้อื่นทั้งหมด
สมดังมโนรถที่ปรารถนาไว้ในคราวถวายข้าวยาคู ซึ่งปรุงขึ้นด้วยข้าวน้ำนมในศาสนาพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า
ส่วนท่านมหากาล ได้มาบังเกิดเป็นพระสุภัททะ ได้ฟังธรรมของพระสัมพุทธเจ้าในเวลาที่พระองค์ใกล้เสด็จดับขันธ
ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมื่องกุสินารา ได้เป็นอรหันต์องค์สุดท้าย ด้วยกุศลที่ถวายทานในกาลภายหลัง ด้วย
ประการฉะนี้
สำหรับอนุโมทนากถานี้ พระสงฆ์ได้นิยมสวดเป็นคาถาอนุโมทนาในงานถวายกาลทาน ตามที่ประจักษ์อยู่เป็นประจำ
โดยมาก ก็งานทอดกฐิน ด้วยผ้ากฐินเป็นผ้ากาลจีวร คือ จีวรที่ทายกจัดถวายพระสงฆ์ในจีวรกาล ตามพระบรมพุทธา
นุญาตที่ทรงบัญญัติ จัดเข้าในกาลทานโดยแท้ กับงานถวายสลากภัตต่างๆ เช่น สลากภัตมะม่วง สลากภัตทุเรียน
เป็นต้น ก็นิยมใช้กาลทานสูตรสวดอนโมทนาทั่วกันในสังฆมณฑล
เพราะฉะนั้น ขอสาธุชนผู้ใคร่บุญ ไม่พึงประมาทในโอกาสที่บำเพ็ญกาลทาน ควรจะมีใจเบิกบานร่วมบำเพ็ญกุศล หรือ
ไม่ก็เข้าช่วยเหลือด้วยกำลังของตนตามสามารถ ที่สุดหากไม่เป็นโอกาส ก็ควรตั้งใจอนุโมทนาสาธุการ จักได้มีส่วน
บุญในกาลทานนั้นๆ
จริงๆว่าวันนี้ต้องการจะาพูดเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา แต่วันนี้เห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงขอยุติลงไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน หากมีเวลาก็จะได้มาพูดคุยกับทุกท่านอีกครั้ง อนุโมทนา เจริญพรฯ
เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร: ตอน นิสัยของมนุษย์
นิสัยของมนุษย์เราในโลกนี้มีสิ่งที่เหมือนกันคือความอยาก ความอยากและความชอบใจ ความพึงพอใจของตัวเราเอง สำคัญว่าสิ่งนั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจนัก เป็นตัวต้นเหตุให้เราสร้างกรรมใหม่ให้แก่ตัวเอง อยากได้ในสิ่งใด อันใดก็พยายามไขว่คว้าหาสิ่งนั้น คือเราจะต้องทำตามใจของตัวเอง ถ้าได้สมใจอยากเราก็ว่าเป็นสุข แต่ถ้าไม่ได้เราก็เรียกว่ามันเป็นความทุกข์
ฉะนั้นการที่เราจะทำอะไรจะไปทำตามใจอยากตามที่เราชอบใจก็ไม่ได้เสมอไปเพราะบางทีการที่เราอยากได้อยากมีมันก็ใช่จะเป็นสิ่งดีหรือเป็นสิ่งดีแต่วถีทางที่ได้ไปเบียดเบียนเขาเอามาก็ไม่ดี
ดังนั้นเราจะทำอะไรลงไปก็ต้องใช้ปัญญาให้มาก จะว่าสักแต่ทำก็ไม่ได้ อยากพูดอะไรจะพูดไปก็หาใช่ที เพราะเราต้องพึงสังวรคำพูดเรียกว่าสำรวมอยู่เสมอเพื่อไม่ให้การกระทำของเราก่อทุกข์ก่อโทษให้ผู้อื่น เพื่อหลีกเว้นให้เราเป็นผู้ห่างไกลเวร ถึงแม้เราจะไม่ไปว่าเขาทำเขาบางทีมันก็มีมาทำร้ายเรา มายุ่งกับชีวิตเรา อันนั้นเราก็ต้องพิจารณาให้ดีๆ ไม่ใช่ไปกระทำตอบคืนด้วย กายทุจริต มโนทุจริต เพราะมันก็สร้างกรรมให้เราต่อไปอีก เราก็ไม่มีความสุขได้ๆ
การที่เราพิจารณากันสักนิดเราก็จะมองเห็นคุณเห็นโทษ แต่ที่เราทำกันคือไม่ได้ใช้เวลาพิจารณาเอาเลย ดังนั้นเมื่อเกิดมีอะไรขึ้นก็มีแต่จะไหลไป ความโกรธโมโหก็พาตัวเราตกต่ำ ความโลภความอยากเกิดขึ้นก็ปรุงแต่งไปกับมันเกินไปเราก็สาระวนอยู่กับสิ่งนั้น ความทุกข์ทั้งหลายก็ไม่หมดไป
เรารู้ว่าอะไรเป็นทุกข์เป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์เราเป็นมนุษย์มีปัญญาก็ต้องหลีกหนีให้ไกล อย่าทำตามใจเพราะใจเรามักจะหลงอยู่เสมอ พยายามฝึกและอบรมปัญญาให้เกิดจะได้ไม่ต้องนั่งทุกข์นอนทุกข์เพราะการกระทำของเราเอง
ฉะนั้นการที่เราจะทำอะไรจะไปทำตามใจอยากตามที่เราชอบใจก็ไม่ได้เสมอไปเพราะบางทีการที่เราอยากได้อยากมีมันก็ใช่จะเป็นสิ่งดีหรือเป็นสิ่งดีแต่วถีทางที่ได้ไปเบียดเบียนเขาเอามาก็ไม่ดี
ดังนั้นเราจะทำอะไรลงไปก็ต้องใช้ปัญญาให้มาก จะว่าสักแต่ทำก็ไม่ได้ อยากพูดอะไรจะพูดไปก็หาใช่ที เพราะเราต้องพึงสังวรคำพูดเรียกว่าสำรวมอยู่เสมอเพื่อไม่ให้การกระทำของเราก่อทุกข์ก่อโทษให้ผู้อื่น เพื่อหลีกเว้นให้เราเป็นผู้ห่างไกลเวร ถึงแม้เราจะไม่ไปว่าเขาทำเขาบางทีมันก็มีมาทำร้ายเรา มายุ่งกับชีวิตเรา อันนั้นเราก็ต้องพิจารณาให้ดีๆ ไม่ใช่ไปกระทำตอบคืนด้วย กายทุจริต มโนทุจริต เพราะมันก็สร้างกรรมให้เราต่อไปอีก เราก็ไม่มีความสุขได้ๆ
การที่เราพิจารณากันสักนิดเราก็จะมองเห็นคุณเห็นโทษ แต่ที่เราทำกันคือไม่ได้ใช้เวลาพิจารณาเอาเลย ดังนั้นเมื่อเกิดมีอะไรขึ้นก็มีแต่จะไหลไป ความโกรธโมโหก็พาตัวเราตกต่ำ ความโลภความอยากเกิดขึ้นก็ปรุงแต่งไปกับมันเกินไปเราก็สาระวนอยู่กับสิ่งนั้น ความทุกข์ทั้งหลายก็ไม่หมดไป
เรารู้ว่าอะไรเป็นทุกข์เป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์เราเป็นมนุษย์มีปัญญาก็ต้องหลีกหนีให้ไกล อย่าทำตามใจเพราะใจเรามักจะหลงอยู่เสมอ พยายามฝึกและอบรมปัญญาให้เกิดจะได้ไม่ต้องนั่งทุกข์นอนทุกข์เพราะการกระทำของเราเอง
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อาสาหฬบูชากถา แสดงแก่คณครูและนักเรียนโรงเรียนวัดไทร
เจริญพรคณะครูผู้บริหารและนักเรียนที่รักทุกคนทุกท่าน วันนี้เราทั้งหลายมาประชุมกันโดยปรารภเนื่องในวันอาสฬหบูชาพร้อมกันนั้นก็ได้นำต้นเทียนพรรษามาถวายพระสงฆ์และเวียนเทียนประทักษิณเพื่อระลึกนึกถึงพระรัตนตรัย
วันนี้เป็นวันพิเศษในทางพระพุทธศาสนาที่เราถือว่าเป็นวันครบองค์ ๓ ของพระรัตนตรัยคือเมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สัจธรรมรู้เห็นแล้วจึงนำเอาพระสัทธรรมนั้นมาประกาศแก่มหาชน ครั้งนั้นครั้งแรกในวันขึ้น๑๕ ค่ำเดือน๘ได้แสดงธรรมกถาแก่ปัญจวัคคีย์ได้ปรากฏว่าอัญญาโกณฑัญญะได้รู้เห็นตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยเหตุและปัจจัยแล้วก็จะดับไปเป็นเรื่องธรรมดานั่นก็ทำให้เกิดพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาขึ้น
เราชาวพุทธทั้งหลายโดยเฉพาะนักเรียนที่มาเรียนธรรมะกับพระอาจารย์ถ้าตอบไม่ได้นี้อายเขานะถ้าเขาถมว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรไม่ทราบนี้ไม่ได้ต้องตอบว่าอริยสัจจ์๔นี้คือพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำเอาออกมาแสดง อริยสัจจ์ ๔ คืออะไร
๑.ทุกข์
๒.สมุทัย
๓.นิโรธ
๔.มรรค
ให้เราเข้าใจว่าการรู้อริยสัจจ์ ๔ นั้นมีในเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้นและก็เป็นลักษณะคำสอนของพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงทุกข์ไปหาสาเหตุของการเกิดทุกข์ไปถึงมรรควิธีปฏบัติในการพ้นทุกข์พูดถึงสภาวะที่พ้นทุกข์คือนิพพาน นี่เป็นหน้าตาของอริยสัจจ์ พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องอริยสัจจ์นี้แก่ปัญจวัคคีย์เรารู้จักกันในชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ปัญจวัคคีย์ทั้งหลายได้ฟังแล้วมีเพียงโกณฑัญญะเท่านั้นที่รุ้เหตุตามพระพุทธเจ้า ถึงตรงนี้เราก็มีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ในวันนี้นั่นเอง
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ชาวพุทธเราจึงมาประชุมกันและถัดไปอีกหนึ่งวันก็จะเป็นวัดเข้าพรรษาของพระสงฆ์ในทุกเขตทุกอาวาส อันนั้นเกี่ยวกับพระธรรมวินัยอันคณะสงฆ์ก็จะปฏิบัติตามอริยประเพณีสืบไปโดยกำหนดระยะเลา ๓ เดือน
สมัยก่อนเราก็ถวายเทียนอันนั้นเป็นประโยชน์มาก แต่พอมาถึงยุคนี้สมัยนี้วัตถุเจริญขึ้นเราก็นำหลอดไฟมาถวายบางท่านก็ถวายโคมไฟ ก็นับว่าเป็นความฉลาดในการทำบุญ
เมื่อพูดถึงวันอาสฬหบูชาถ้าเราไม่พูดถึงมรรคมีองค์ ๘ นี้ก็จะไม่เข้าอรรถรสเท่าใดนัก ในธรรมจักรกัปปวัตนสูตรพระพุทธองค์ทรงแสดงได้แจกแจงมรรค ไว้ดังนี้
๑.สัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาอันเห็นชอบ ได้แก่การเห็นในอริยสัจ ๔ คือ
• ทุกข์
• เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สมุทัย)
• ความดับทุกข์ (นิโรธ)
• ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค)
๒.สัมมาสังกัปปะ คือดำริชอบ ได้แก่
ดำริที่จะออกจากกาม (เนกขัมมะ)
ดำริในการไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
ดำริในการไม่เบียดเบียนผู้อื่น
๓.สัมมาวาจา คือเจรจาชอบ ได้แก่การเว้นจากวจีทุจริต ๔ คือไม่ประพฤติชั่วทางวาจาอันได้แก่
• ไม่พูดเท็จ (มุสาวาทา)
• ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน (ปิสุณาย วาจาย)
• ไม่พูดคำหยาบคาย (ผรุสาย วาจาย)
• ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ (สัมผัปปลาปา)
๔.สัมมากัมมันตะ คือทำการงานชอบโดยประกอบการงานที่ไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม และเว้นจากการทุจริต ๓ อย่างได้แก่
• การเบียดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (ปาณาติบาต)
• การลักขโมย และฉ้อฉลคดโกง แกล้งทำลายผู้อื่น (อทินนาทาน)
• การประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร)
๕.สัมมาอาชีวะ คือเลี้ยงชีวิตชอบได้แก่ การเว้นจากการเลี้ยงชีพในทางที่ผิด การประกอบสัมมาอาชีพคือ
• เว้นจากการค้าขายเครื่องประหารมนุษย์และสัตว์
• เว้นจากการค้าขายมนุษย์ไปเป็นทาส
• เว้นจากการค้าสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร
• เว้นจากการค้าขายน้ำเมา
• เว้นจากการค้าขายยาพิษ
๖.สัมมาวายามะ คือมีความเพียรชอบ ๔ ประการได้แก่
• เพียรระวังมิให้บาปหรือความชั่วเกิดขึ้น
• เพียรละบาปหรือความชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว
• เพียรทำกุศลหรือความดีให้เกิดขึ้น
• เพียรรักษากุศลหรือความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่
๗.สัมมาสติ คือระลึกชอบได้แก่ การระลึกวิปัฏฐานได้แก่ การระลึกในกาย เวทนา จิต และธรรม ๔ ประการคือ
• พิจารณากาย ระลึกได้เมื่อรู้สึกสบายหรือไม่สบาย พิจารณาลมหายใจเข้าออก
• พิจารณาเวทนา ระลึกได้เมื่อรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ มีราคะ โทสะ โมหะหรือไม่
• พิจารณาจิต ระลึกได้ว่าจิตกำลังเศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว รู้เท่าทันความนึกคิด
• พิจารณาธรรมให้เกิดปัญญา ระลึกได้ว่าอารมณ์อะไรกำลังผ่านเข้ามาในใจ
๘.สัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ ทำจิตให้สงบระงับจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง ให้มีอารมณ์แน่วแน่เป็นอันเดียว เพื่อให้จิตจดจ่อไม่ฟุ้งซ่าน หาอารมณ์อันไม่มีโทษให้จิตยึด จะได้ไม่พร่าไปหลายทางได้แก่ การเจริญฌานทั้ง ๔ คือ
• ปฐมฌาน หรือฌานที่ ๑
• ทุติยฌาน หรือฌานที่ ๒
• ตติยฌาน หรือฌานที่ ๓
• จตุตถฌาน หรือฌานที่ ๔
มรรคมีองค์ ๘ นั้นเป็นแนวปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์พ้นความโศก ในชีวิตประจำวันของเราโดยเฉพาะเราเป็นนักเรียนนักศึกษาเมื่อไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียนไม่มีศรัทธาในการเรียน เมื่อศรัทธาไม่มีก็ไม่ทำไม่ศึกษาไม่ตั้งใจ ไม่ศึกษาพิจาณาจะเห็นทุกข์จะเกิดปัญญาได้อย่างไร ไม่เรียนก็ไม่รู้ ไม่ดูก็ไม่เห็น ไม่ทำก็ไม่เป็น อะไรๆก็ไม่รู้ไม่ทำไม่สนใจก็อย่าหวังความเจริญในชีวิต ครูบอกครุสอนไม่เอาไม่ใส่ใจไม่ตั้งใจทำกิจของตัวเองคิดถึงเรื่องใส่ใจเรื่องอื่นอันเป็นกิจภายนอกไม่ใช่หน้าที่ปัจจุบันของตัวเองนั่นก็พาตัวลงเหวไปนรกกัน มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้นนี้ ก็คือให้เราเห็นว่าการเรียนการศึกษานั้นเป็นเรื่องสำคัญเรียนแล้วได้ความรู้มีปัญญาเมื่อได้ความรู้ได้ปัญญาก็จะได้รู้วิธีทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ก็จะได้ไม่ต้องโง่ต้องทุกข์
มรรคนี้ละคือวิธีได้ปัญญาทำเลยมรรคมีองค์ ๘ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี หมั่นเพียรขยันในหน้าที่ของตน พิจารณาให้มากๆปัญญานั้นเป็นผล ปัญญาไม่ใช่ของซื้อได้หาได้ตามห้างร้านค้าแต่มันมีในตัวเราตัวทุกคนทุกผู้ เราจะสร้างมันขึ้นมาไหมเท่านั้นละ เพียรทำกิจอันจะทำให้เกิดปัญญา สัมมาทิฏฐิมีก่อนแล้วค่อยปฏิบัติขั้นต่อไปคืออยู่ในศีลนั่นเองทำบ่อยๆตั้งใจทำก็คือสมาธิ ปัญญานั่นเป็นผลของการปฏิบัติสูงสุดของพระพุทธศาสนาก็ต้องสร้างขึ้นมาเองเช่นกัน
สุดท้ายที่ให้เราทั้งหลายน้อมใจระลึกถึงพระรัตนตรัย จะระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติก็น้อมจิตระลึกว่า “พุทโธ” ถ้าจะน้อมระลึกถึงพระธรรมก็พึงกำหนดว่า “ธัมโม” หรือใครจะน้อมระลึกถึงพระสงฆ์ก็พึงกำหนดเช่นนั้นเดียวกันว่า “สังโฆ”ดังนี้ เมื่อใจเป็นสมาธิก็ให้น้อมสมาธินั้นเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันอาสฬหบูชานี้ ขอให้ทุกท่านตั้งใจ สัก ๓ นาที
รัตนนัตตยานุภาเวนะ ด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ทุกท่านมีความสุขตลอดกาลทุกเมื่อเถิด สาธุ อนุโมทนาทุกท่าน เจริญพรฯ
วันนี้เป็นวันพิเศษในทางพระพุทธศาสนาที่เราถือว่าเป็นวันครบองค์ ๓ ของพระรัตนตรัยคือเมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สัจธรรมรู้เห็นแล้วจึงนำเอาพระสัทธรรมนั้นมาประกาศแก่มหาชน ครั้งนั้นครั้งแรกในวันขึ้น๑๕ ค่ำเดือน๘ได้แสดงธรรมกถาแก่ปัญจวัคคีย์ได้ปรากฏว่าอัญญาโกณฑัญญะได้รู้เห็นตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยเหตุและปัจจัยแล้วก็จะดับไปเป็นเรื่องธรรมดานั่นก็ทำให้เกิดพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาขึ้น
เราชาวพุทธทั้งหลายโดยเฉพาะนักเรียนที่มาเรียนธรรมะกับพระอาจารย์ถ้าตอบไม่ได้นี้อายเขานะถ้าเขาถมว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรไม่ทราบนี้ไม่ได้ต้องตอบว่าอริยสัจจ์๔นี้คือพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำเอาออกมาแสดง อริยสัจจ์ ๔ คืออะไร
๑.ทุกข์
๒.สมุทัย
๓.นิโรธ
๔.มรรค
ให้เราเข้าใจว่าการรู้อริยสัจจ์ ๔ นั้นมีในเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้นและก็เป็นลักษณะคำสอนของพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงทุกข์ไปหาสาเหตุของการเกิดทุกข์ไปถึงมรรควิธีปฏบัติในการพ้นทุกข์พูดถึงสภาวะที่พ้นทุกข์คือนิพพาน นี่เป็นหน้าตาของอริยสัจจ์ พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องอริยสัจจ์นี้แก่ปัญจวัคคีย์เรารู้จักกันในชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ปัญจวัคคีย์ทั้งหลายได้ฟังแล้วมีเพียงโกณฑัญญะเท่านั้นที่รุ้เหตุตามพระพุทธเจ้า ถึงตรงนี้เราก็มีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ในวันนี้นั่นเอง
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ชาวพุทธเราจึงมาประชุมกันและถัดไปอีกหนึ่งวันก็จะเป็นวัดเข้าพรรษาของพระสงฆ์ในทุกเขตทุกอาวาส อันนั้นเกี่ยวกับพระธรรมวินัยอันคณะสงฆ์ก็จะปฏิบัติตามอริยประเพณีสืบไปโดยกำหนดระยะเลา ๓ เดือน
สมัยก่อนเราก็ถวายเทียนอันนั้นเป็นประโยชน์มาก แต่พอมาถึงยุคนี้สมัยนี้วัตถุเจริญขึ้นเราก็นำหลอดไฟมาถวายบางท่านก็ถวายโคมไฟ ก็นับว่าเป็นความฉลาดในการทำบุญ
เมื่อพูดถึงวันอาสฬหบูชาถ้าเราไม่พูดถึงมรรคมีองค์ ๘ นี้ก็จะไม่เข้าอรรถรสเท่าใดนัก ในธรรมจักรกัปปวัตนสูตรพระพุทธองค์ทรงแสดงได้แจกแจงมรรค ไว้ดังนี้
๑.สัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาอันเห็นชอบ ได้แก่การเห็นในอริยสัจ ๔ คือ
• ทุกข์
• เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สมุทัย)
• ความดับทุกข์ (นิโรธ)
• ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค)
๒.สัมมาสังกัปปะ คือดำริชอบ ได้แก่
ดำริที่จะออกจากกาม (เนกขัมมะ)
ดำริในการไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
ดำริในการไม่เบียดเบียนผู้อื่น
๓.สัมมาวาจา คือเจรจาชอบ ได้แก่การเว้นจากวจีทุจริต ๔ คือไม่ประพฤติชั่วทางวาจาอันได้แก่
• ไม่พูดเท็จ (มุสาวาทา)
• ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน (ปิสุณาย วาจาย)
• ไม่พูดคำหยาบคาย (ผรุสาย วาจาย)
• ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ (สัมผัปปลาปา)
๔.สัมมากัมมันตะ คือทำการงานชอบโดยประกอบการงานที่ไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม และเว้นจากการทุจริต ๓ อย่างได้แก่
• การเบียดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (ปาณาติบาต)
• การลักขโมย และฉ้อฉลคดโกง แกล้งทำลายผู้อื่น (อทินนาทาน)
• การประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร)
๕.สัมมาอาชีวะ คือเลี้ยงชีวิตชอบได้แก่ การเว้นจากการเลี้ยงชีพในทางที่ผิด การประกอบสัมมาอาชีพคือ
• เว้นจากการค้าขายเครื่องประหารมนุษย์และสัตว์
• เว้นจากการค้าขายมนุษย์ไปเป็นทาส
• เว้นจากการค้าสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร
• เว้นจากการค้าขายน้ำเมา
• เว้นจากการค้าขายยาพิษ
๖.สัมมาวายามะ คือมีความเพียรชอบ ๔ ประการได้แก่
• เพียรระวังมิให้บาปหรือความชั่วเกิดขึ้น
• เพียรละบาปหรือความชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว
• เพียรทำกุศลหรือความดีให้เกิดขึ้น
• เพียรรักษากุศลหรือความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่
๗.สัมมาสติ คือระลึกชอบได้แก่ การระลึกวิปัฏฐานได้แก่ การระลึกในกาย เวทนา จิต และธรรม ๔ ประการคือ
• พิจารณากาย ระลึกได้เมื่อรู้สึกสบายหรือไม่สบาย พิจารณาลมหายใจเข้าออก
• พิจารณาเวทนา ระลึกได้เมื่อรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ มีราคะ โทสะ โมหะหรือไม่
• พิจารณาจิต ระลึกได้ว่าจิตกำลังเศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว รู้เท่าทันความนึกคิด
• พิจารณาธรรมให้เกิดปัญญา ระลึกได้ว่าอารมณ์อะไรกำลังผ่านเข้ามาในใจ
๘.สัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ ทำจิตให้สงบระงับจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง ให้มีอารมณ์แน่วแน่เป็นอันเดียว เพื่อให้จิตจดจ่อไม่ฟุ้งซ่าน หาอารมณ์อันไม่มีโทษให้จิตยึด จะได้ไม่พร่าไปหลายทางได้แก่ การเจริญฌานทั้ง ๔ คือ
• ปฐมฌาน หรือฌานที่ ๑
• ทุติยฌาน หรือฌานที่ ๒
• ตติยฌาน หรือฌานที่ ๓
• จตุตถฌาน หรือฌานที่ ๔
มรรคมีองค์ ๘ นั้นเป็นแนวปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์พ้นความโศก ในชีวิตประจำวันของเราโดยเฉพาะเราเป็นนักเรียนนักศึกษาเมื่อไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียนไม่มีศรัทธาในการเรียน เมื่อศรัทธาไม่มีก็ไม่ทำไม่ศึกษาไม่ตั้งใจ ไม่ศึกษาพิจาณาจะเห็นทุกข์จะเกิดปัญญาได้อย่างไร ไม่เรียนก็ไม่รู้ ไม่ดูก็ไม่เห็น ไม่ทำก็ไม่เป็น อะไรๆก็ไม่รู้ไม่ทำไม่สนใจก็อย่าหวังความเจริญในชีวิต ครูบอกครุสอนไม่เอาไม่ใส่ใจไม่ตั้งใจทำกิจของตัวเองคิดถึงเรื่องใส่ใจเรื่องอื่นอันเป็นกิจภายนอกไม่ใช่หน้าที่ปัจจุบันของตัวเองนั่นก็พาตัวลงเหวไปนรกกัน มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้นนี้ ก็คือให้เราเห็นว่าการเรียนการศึกษานั้นเป็นเรื่องสำคัญเรียนแล้วได้ความรู้มีปัญญาเมื่อได้ความรู้ได้ปัญญาก็จะได้รู้วิธีทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ก็จะได้ไม่ต้องโง่ต้องทุกข์
มรรคนี้ละคือวิธีได้ปัญญาทำเลยมรรคมีองค์ ๘ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี หมั่นเพียรขยันในหน้าที่ของตน พิจารณาให้มากๆปัญญานั้นเป็นผล ปัญญาไม่ใช่ของซื้อได้หาได้ตามห้างร้านค้าแต่มันมีในตัวเราตัวทุกคนทุกผู้ เราจะสร้างมันขึ้นมาไหมเท่านั้นละ เพียรทำกิจอันจะทำให้เกิดปัญญา สัมมาทิฏฐิมีก่อนแล้วค่อยปฏิบัติขั้นต่อไปคืออยู่ในศีลนั่นเองทำบ่อยๆตั้งใจทำก็คือสมาธิ ปัญญานั่นเป็นผลของการปฏิบัติสูงสุดของพระพุทธศาสนาก็ต้องสร้างขึ้นมาเองเช่นกัน
สุดท้ายที่ให้เราทั้งหลายน้อมใจระลึกถึงพระรัตนตรัย จะระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติก็น้อมจิตระลึกว่า “พุทโธ” ถ้าจะน้อมระลึกถึงพระธรรมก็พึงกำหนดว่า “ธัมโม” หรือใครจะน้อมระลึกถึงพระสงฆ์ก็พึงกำหนดเช่นนั้นเดียวกันว่า “สังโฆ”ดังนี้ เมื่อใจเป็นสมาธิก็ให้น้อมสมาธินั้นเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันอาสฬหบูชานี้ ขอให้ทุกท่านตั้งใจ สัก ๓ นาที
รัตนนัตตยานุภาเวนะ ด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ทุกท่านมีความสุขตลอดกาลทุกเมื่อเถิด สาธุ อนุโมทนาทุกท่าน เจริญพรฯ
สมาธิอย่างง่าย
สมาธิอย่างง่าย
เมื่อตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่นแล้ว การนั่งเป็นอิริยาบถที่เห็นต้องพิจารณาเป็นลำดับแรกก่อน พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า “ให้ตั้งสติไว้เฉพาะต่อหน้ากรรมมัฏฐาน” หมายความว่าเมื่ออะไรเกิดขึ้นจะเป็นเวทนาหรือ ความฟุ้งซ่าน ให้เอาสติกำหนดจับตรงนั้น แต่ถึงจะให้กำหนดตามสภาพที่เกิดขึ้นก็ต้องมีอารมณ์ที่ต้องยึดไว้เป็นแนว ที่เราคุ้นกันดีก็คือ พุท-โธ บางที่ก็ พองหนอ-ยุบหนอ
พุท-โธนั้นเป็นฝึกสติโดยการการกำหนดลมหายใจเข้าออก เมื่อหายใจเข้า บริกรรมว่า “พุท” เมื่อหายใจออกบริกรรมว่า “โธ” โดยเมื่อหายใจเข้าออกให้กล่าวคำภาวนาดังนี้ มีสติอยู่ที่ลมหายใจโดยภาวนาพุท-โธตามลมหายใจที่เข้า-ออกนั้น
กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆโดยกำหนดพุทโธตามลมหายใจ ให้สติอยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น
เมื่อกระทำได้สักระยะจิตจะเริ่มเป็นสมาธิ เพราะอาศัยความที่เป็นสมาธินั่นเองจึงน้อมปัญญาเข้าไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย
พิจารณากายนั้นให้น้อมจิตไว้ที่ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ พิจารณาในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ลงในไตรลักษณ์ ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความตั้งอยู่ไม่มีแน่นอน ความดับไปเพราะในทุกสิ่งอย่างไม่เที่ยงจำต้องเคลื่อนคล้อยเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่มีอะไรที่น่ายึดมั่นเลย ทั้งเกสาทั้งหลายที่ยาวสั้นต่างก็เป็นของไม่สะอาด ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยของไม่สะอาดไหลเข้าไหลออกอยู่ตลอดเวลา หู ตา จมูก ลิ้น ทั้งหลายก็เช่นกันล้วนมีแต่ของไม่สะอาดจึงไม่ควรที่จะเข้าไปยึดติดว่าน่ารักใคร ชื่นชมยินดีเลยและด้วยเพราะกายนั้นอาศัยการไหลเข้าไหลออกจึงสามารถตั้งอยู่ดำรงอยู่ได้ กายต้องนำอาหารและลมเข้าไปจึงตั้งอยู่ได้และก็ต้องเอาอาหารและลมเหล่านั้นออกด้วย
ความที่กายนั้นเป็นของไม่จีรังยั่งยืนคงทนและถาวรเมื่อนานไปถึงคราวแตกดับก็ดับไปตามเหตุและปัจจัยไม่มีอะไรสามารถฉุดไว้ได้ เมื่อพิจารณากายก็ให้พิจารณาหยั่งลงในลักษณะนี้ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดยินดียินร้ายในรูปนั้นๆ
การที่เรารู้แล้วกำหนดพิจารณาลงไปในกายว่าเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นรูปด้วยธาตุทั้งหลายปรุงเข้าด้วยกัน ก็จะเห็นถึงที่เกิดของกายและที่ดับของกาย ความเสื่อมของกายที่เกิดด้วยอนิจจัง ความเข้าใจตามนี้ย่อมคลายความหลงในรูปลงได้
ความเกิด
ความแก่
ความเจ็บ
ความตาย
เวทนา
การดูเวทนานั้นให้กำหนดแน่ชัดว่าเวทนานั้นเกิดที่กายหรือใจ เวทนานั้นไม่ใช่กายแต่เวทนาต้องอาศัยเกิดขึ้น เช่นปวดขา ปวดหลังเหล่านี้เพราะมีแขนและขาจึงมีอาการปวดเจ็บรู้สึกเกิดขึ้น พูดง่ายๆก็คือมีสิ่งใดเวทนาก็อาศัยสิ่งนั้นเกิดขึ้น
เมื่อจะพิจารณาเวทนา ต้องรู้ว่าเวทนาเกิดเพราะอาศัยกายเป็นที่ตั้งเพราะมีสิ่งเหล่านี้จึงเกิดมีเวทนาขึ้น หากไม่มีขาแขน ตา ก็ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้ปรากฏ เวทนาเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ เมื่อจะดับลงก็เมื่อกายดับไป เวทนาก็ดับไปเช่นกัน เวทนาจึงไม่ใช่ตัวตนเหมือนกัน
พุทธะองค์ตรัสจำแนกเวทนาไว้ ๓ ดังนี้:
“ติสฺโส อิมา ภิกฺขเว เวทนา.กตมา ติสฺโส.สุขา เวทนา,สุขเวทนา,ทุกขา เวทนา,อทุกขมสุขายเวทนา.อิมา โข ภิกฺขเว ติสฺโส เวทนา”.
“ดูก่อนภกษุ ท. เวทนามี ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างคืออะไร คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนาและอุเบกขาเวทนา ดูก่อนภิกษุ ท.เวทนามี๓อย่างนี้”
จากพุทธพจน์เราสามารถแบ่งเวทนานั้นได้ ๓ อย่างแล้ว ทีนี้เมื่อเวทนาเหล่านั้นเกิดขึ้น เราต้องมีวิธีปฏิบัติต่อเวทนาเพื่อไม่ให้เกิดความยินดียินร้ายเข้าไป
เมื่อเราพิจาณาไปยังจุดที่เกิดของเวทนาเหล่านี้จะเห็นตามความเป็นจิรงว่าเมื่อมีการกระทบกันระหว่างอายตนะภายในภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกันโดยที่จิตเข้าไปถูกไปจับได้กับรูป ต้องไปกระทบก่อนจึงเกิดความรู้สึก ทีนี้จะรู้สึกว่า สวย ว่าไม่สวย หรือเฉยๆก็เป็นเวทนาที่เกิดขึ้นเวทนาสมบรูณ์แล้วเมื่อเกิดได้สมบรูณ์แล้วเป็นเหตุให้เกิดตัณหา ความยึดมั่น เพราะความรู้สึกที่มีในอารมณ์นั้นเป็นแรงผลักดันให้เกิดอุปาทาน
เราจึงควรพิจารณาเวทนาให้แจ้งชัดเพราะเวลาที่คนเราทุกข์หรือสุขยิ้มหรือร้องไห้บนโลกใบนี้ก็ตามเป็นเพราะเวทนาพาไปทั้งนั้น เพราะไม่รู้กำหนดรู้พิจารณาจึงไม่สามรถสลัดหรือลดความอยากได้จึงทำให้เกิดอุปาทาน ทุกข์หลายๆอย่างของคนเราจึงยากที่จะเบาบางลงได้
วิธีที่จะกำจัดเวทนา
ลำพังแค่สติตัวเดียวยังไม่เพียงพอที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้ เราต้องประกอบธรรม ๓ อย่างคือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา ให้เท่าเทียมเสมอกัน
เวทนาถ้าเราไม่ขยันสู้อดทนจริงๆนั้นไม่มีทางเอาชนะได้เลย ถ้าเวทนาเกิดหากเราปล่อยไปตามกระแสยิ่งจะเหมือนธารน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ ย่อมจะทำให้เราฟุ้งซ่านได้ง่าย พุทธองค์จึงตรัสว่า ขันติ ปรมํ ตโปตีติกขา ความอดทนเป็นธรรมที่ข่มกิเลสได้ดียิ่งอันยิ่ง
เราอย่าลืมว่าเวทนานั้นไม่ได้เกิดเฉพาะเวลาเรานั่งสมาธิเท่านั้น แม้กระทั่งเรายามที่เราเดินไปพบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าความรู้สึกย่อมเกิดขึ้น พบเจอเข้ากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมจะมีความรู้สึกปรากฏขึ้นนั่นแหละเป็นวิธีการในชั่วโมงยามที่เราต้องปฏิบัติในขณะนั้นทันที ความรู้สึกเหล่านี้ท่านก็ไม่ให้ละเลย
คนฉลาดย่อมรู้จักในการรักษาจิตให้สะอาด เมื่อทราบว่าสุขเวทนาทุกขเวทนาทำให้ใจไม่ใสไม่สะอาดก็ต้องพิจารณาลงในความเปลี่ยนแปลง
หากเราจะย้อนมองไปดูพระจริยาของพระพุทธเจ้าจะเห็นว่าพระองค์ก็ทรงเห็นแล้วว่าการติดในปิติสุขนั้นทำให้ไม่สามารถล่วงทุกข์ได้ เห็นได้เมื่อคราวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไปปฏิบัติสมถะกับกัมมัฏฐานในสำนักอาฬารดาบสและอุทกดาบส การได้ฌานจึงทำได้แค่หยุดใจให้สงบเท่านั้น เมื่อหันมาเจริญวิปัสสนาก็หยั่งเห็นเวทนาความรู้สึกเป็นของไม่น่าอาลัยไม่ยึดมั่นในทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนา
ความร้อนก็มิได้ตั้งอยู่กับเราตลอดไป ความร้อนเกิดขึ้นได้เพราะความเย็นดับลง ความสุขก็คือทุกข์ลดลงไป แต่เมื่อถึงความทุกข์เกิดขึ้นความสุขก็ลดลง สรรพสิ่งก็เปลี่ยนแปลงสลับกันดังนี้
เวทนาทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางจิตสุดแล้วแต่จะปรากฏชัดในที่ใด ขณะที่เดินอาจจะเหมื่อยขา ขณะนั่งอาจจะปวดหลังเมื่อเราโดนลมพัดเกิดความเย็นสบาย นั่นเราสบายที่ใจเรามีตัวรู้ที่รับรู้ที่ใจว่ามันสบาย ทีนี้เราจะเห็นว่าความปวดเหมื่อยที่เกิดนั้นหลังก็ไม่ได้ปวดลมพัดกระทบกายเกิดความเย็นสบายก็แยกได้ว่าลมก็ส่วนหนึ่ง กายก็ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกว่าสบายก็อีกส่วนหนึ่ง
อย่าพึ่งเปลี่ยนให้พิจารณาดูก่อน
แล้ววิธีที่เวลาเรานั่งกัมมัฏฐานเมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้นเราจะทำอย่างไร แน่นอนว่าเมื่อเรานั่งกัมมัฏฐานทุกคนต้องผ่านอาการแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าเกิดเวทนาขึ้นเราอย่าพึ่งเปลี่ยนอิริยาบถทันที ให้เราพิจารณาดูก่อน ตั้งจิตลงไปที่เกิดของเวทนานั้นไว้สักครู่โดยใช้ความอดทนแล้วกำหนดว่า”ปวดหนอๆ”แล้วสังเกตุอาการเหล่านั้นโดยที่เวลาเรากำหนดพิจารณาอาการเหล่านั้นให้เราเลิกคำภาวนาไว้ก่อน น้อมจิตประคองมาไว้ที่เวทนา
กระทั่งเรารับรู้อารมณ์นั้นแจ้งชัดแล้ว จึงค่อยถอนเคลื่อนหรือยักย้ายอิริยาบถออก ให้กระทำช้าๆ ให้สังเกตอาการของอิริยาบถนั้นๆทุกขณะมีสติกำหนดรู้ทุกเมื่อ
จิต
การเจริญวิปัสสนาต้องอาศัยการกำหนดรูป-นามเป็นอารมณ์เสมอ โดยให้เห็นทั้งสองอย่างนั้นเป็นสภาพที่ไม่คงทนแน่นอน มีความผันแปรไปตามกฎและเหตุปัจจัยเมื่อหัวข้อที่แล้วได้อธิบายถึงการพิจารณากาย เวทนา ถึงตอนนี้จะพูดถึงการพิจารณาจิตให้สะอาด ให้เป็นที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติต่อตัวเอง เรื่องจิตนั้นท่านให้กำหนดตามรู้เท่าทันที่มีอารมณ์เกิดขึ้น เพราะความที่ปกติของจิตเป็นสภาพที่ไหลและวิ่งอย่างรวดเร็วคล้ายแสงอาทิตย์ หมายความว่าจิตเป็นที่รับรู้ทุกสิ่งอย่าง เวทนาเกิดที่กายแต่ตัวรับรู้คือจิตและตัวจิตจะเป็นตัวควบคุมการแสดงออกทั้งทางกาย วาจา ใจ ดังมีพุทธพจน์ปรากฏในหลายที่สามารถสรุปได้ดังคำไทยที่ว่า จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว
การกำหนดจิตตามหลักสติปัฏฐานสูตรท่านให้ตามรู้จิตดังนี้ว่า
“จิตมีราคะก็ให้รู้ว่า จิตมีราคะ จิตปราศจากราคะก็ให้รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตหายจากราคะก็ให้รู้ว่าจิตหายจากราคะ จิตมีโทสะก็ให้รู้ว่าจิตมีโทสะ จิตหายจากโทสะก็ให้รู้ว่าจิตหายจากโทสะ...”
ตามธรรมดาของจิตนั้นย่อมเป็นที่รับเอาทั้งราคะ โทสะ โมหะเข้ามาโดยจิตไม่ได้ปฏิเสธเลย ถ้าเราแยกพิจารณาให้ละเอียดด้วยปัญญา เมื่อราคะเกิดก็จักเกิดความรักใคร่ ยินดี ชอบกำหนัดบ้าง อยากได้สิ่งนั้น หากไม่ได้สิ่งอันเป็นที่รักทีใคร่ก็เกิดความเสียใจ ทุรนทุราย ฟุ้งซ่าน อาการดังนี้หากไม่มีสติกำหนดรู้ก็จะหลงเกิดโมหะธรรมขึ้นมา
เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นที่จิตธรรมะที่สำคัญที่ต้องอาศัยเพื่อยับยั้งกิเสลไม่ให้กำเริบนอกจากสติแล้วคือขันติธรรมที่จะเป็นตัวข่มใจไว้เพื่อไม่ให้กิเลสปะทุขึ้นธรรมะอีกตัวที่จะเป็นตัวช่วยให้การปฏิบัติบรรลุได้ช่วยขันติธรรมอีกทีคือวิริยะต้องประสานกัน
ในยามที่เราปฏิบัติธรรมสิ่งที่เป็นอุปสรรคของการปฏิบัติธรรมของใครหลายคนคือความคิดฟุ้งซ่าน คือจิตชอบคิดแล่นไปมา สิ่งนั้นให้เราเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาของสภาพจิตที่รู้อารมณ์ตลอดเพียงแต่จิตจะน้อมเอาอารมณ์ไหนมาเป็นเครื่องระลึกถ้าจิตไปยึดเอาความโกรธ ความหลังความยินดีในคราวครั้งก่อนก็ต้องให้รู้ชัดในอาการนั้น ถ้าเราเข้าใจตามความจริงว่าจิตเป็นสภาพคิดตัวรู้อารมณ์มักจะแล่นไปตามธรรมชาติของมัน ก็ให้เราอย่าได้กังวลเมื่อมันเป็นธรรมชาติของมันเราก็ต้องพิจารณาให้เห็นตามธรรมชาติของมันนั่นเอง อย่าไปสลัดความคิดทิ้ง อย่าไปบังคับความคิดมันอาจจะทำให้เกิดความรำคาญได้ เมื่อความคิดทั้งลายเกิดขึ้นก็อย่าไปคิดว่าทำไมคิดมากเหลือเกิน วุ่นวายเหลือเกินแต่ให้เอาอาการความคิดนั้นมาพิจารณา ความยินดีอยู่ที่ไหน ความโกรธอยู่ที่ไหน ความสุขอยู่ที่ไหนให้ยกเอาสิ่งนั้นมาพิจารณา เพราะทุกสิ่งอย่างทั้งความรักความชังเราเป็นสร้างมันขึ้นมาเอง
เมื่อรู้เท่าทันก็จะเห็นว่า การมีต้นเหตุของความทุกข์หรือการมความทุกข์สั่งสมคั่งค้างอยู่ทำให้ใจไม่สะอาดมัวหมองจึงจำเป็นที่เราต้องหมั่นชำระจิตของเราให้สะอาดทุกๆวันเวลา โดยอาศัยความเพียรความอดทน หมั่นทำให้บ่อยๆก็จะตามรู้อาการที่จิตรู้ได้ เมื่อเห็นเช่นนี้ความยินดียินร้ายในความรับรู้อารมณ์ก็จะเบาบางผ่อนคลายลง
การรู้จิตตามที่สภาวะธรรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นจะปรากฏให้เราเห็นถึงความที่จิตของเรานั้นเป็นความคิดปรุงแต่งโดยที่เข้าไปปรุงแต่งทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลแต่แล้วทั้งสองอย่างก็ดับไป จึงจะเห็นว่าจิตเป็นที่ถูกรู้ ความที่จิตของเราเข้าไปยึดในอารมณ์ใดอย่างหนึ่งทำให้มองไม่เห็นไตรลักษณ์ เราจึงต้องทำจิตให้เป็นตัวรู้โดยความเป็นกลางๆไม่สอดใส่เพิ่มความปรุงแต่งลงไป เฝ้าดูตามเหตุและปัจจัยที่เกิดขึ้น หมายความว่าให้รู้สภาวะธรรมโดยไม่คิดปรุงแต่งนั่นเองดังหลักที่ท่านกล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เมื่อจิตมีความโกรธให้รู้ชัดว่าจิตกำลังมีความโกรธ เมื่อจิตมีความรักก็ให้รู้ชัดว่าจิตมีความรัก เมื่อเกิดความสงสัยก็ให้รู้แค่ว่าจิตนั้นเวลานั้นมีความสงสัยó ถึงตอนนี้สติมีความสำคัญมากการรู้ธรรมที่เกิดขึ้นตัวรู้นั้นนี้เรียกว่าสติ ให้เราน้อมพิจารณาตามธรรมที่เกิดขึ้นพึงหมั่นฝึกหัดอบรมจิตดังนี้ การที่เราเฝ้าดูและรู้ความเป็นไปของจิต โดยที่ไม่ไปบังคับหรือยินดีในสภาวะทั้งหลายกรณีนี้ท่านเปรียบว่าให้ทำจิตของตนให้เป็นดั่งยามเฝ้าประตู คอยดูคนเข้าออกตรวจดูอยู่อย่างนี้
ธรรม
ทุกสิ่งอย่างทั้งรูป-นามต่างก็รวมลงในธรรม ธรรมะนั้นอยู่ในทุกสิ่งอย่าง การพิจารณาธรรมจึงครอบคลุมทั้งหมด การพิจารณาจึงให้พิจารณาตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านแนะทำให้ดูที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยการพิจารณาให้รู้โดยแจ้งชัดใน ตาที่เห็นรูป หูที่ได้ยินเสียง จมูกที่ได้รับกลิ่น ลิ้นเมื่อได้สัมผัสรส กายเมื่อได้สัมผัส ใจเมื่อได้กระทบรู้อารมณ์หมายความว่าเมื่อตากระทบรูปให้กำหนดลงที่ตาว่า “เห็นหนอ” เมื่อขณะได้ยินก็ให้กำหนดว่า “ได้ยินหนอ”
พิจารณาให้เห็นตามที่พระอาจารย์ทั้งหลายท่านแนะนำว่าให้เพ่งพิจารณาโดยอาการว่า “สักแต่ว่า” สักแต่ว่าได้เห็น สักแต่ว่าได้ยิน และในอาการต่างๆที่เกิดขึ้นในทางทวารทั้งหลายเพื่อไม่ให้เกิดความยินดียินร้ายความใส่ใจในสิ่งนั้นๆ
เราจะไม่ใส่ความปรุงแต่งในธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเราจะไม่เห็นสภาวะธรรมโดยความเป็นธรรมชาติคือตัวของสภาวะธรรมนั้นๆที่เกิดขึ้น
รู้จักตัวเองหรือยัง
ถ้าถามหลายคนจริงๆจังๆว่า “คุณรู้จักตัวเองไหม” อาจจะมีคำตอบกลับมาว่าใครบ้างไม่รู้จักตัวเอง แต่ถ้าเราลองนึกดูดีๆ มีจะเห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้รักตัวเองอย่างแท้ จริง เราเห็นคนหลายคนในโลกนี้ออกเดินทางเพื่อตามหาตัวเอง เพื่อออกตามหาสัจจะดังที่มีบุคคลหลายท่านออกมาประกาศว่าเขาได้พบสิ่งเหล่า นั้นบ้างแล้ว
การรู้จักตัวเองเป็นการเริ่มต้นของชีวิตคน ถ้าเราไม่รู้ตัวเองนั้นเป็นอย่างไร ต้องการอะไร เราก็จะไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตได้ การรู้จักตัวเองนั้นคำตอบคือเราจะได้รู้ตัวเองนั่นเอง อาจจะไม่ใช่ว่าเราต้องการอะไรบ้าง เราต้องแสวงหาอะไรบ้าง แต่ในที่นี้ขอให้ทุกคนรู้จักการสำรวจตัวเองให้ทั่วพร้อมใช้สติปัญญาพิจารณา ตัวเองให้ทั่วทุกด้าน ทั้งกาย วาจา ใจ ในโลกนี้คงยังไม่มีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์สิ่งใดที่จะสามารถตรวจสแกนความต้อง การหรือภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับเราได้ เมื่อเจอสิ่งไม่ดีแล้วก็ตัดออก ผ่าออกเหมือนเนื้องอก ผมทั้งหลายเมื่อยาวไม่สวยไม่ได้สระมาสามสี่วันก็ใช้น้ำยาสระผมชะโลมล้าง ปากไม่สะอาดฟันไม่แข็งแรงก็ใช้ยาสีฟันหายามาอุดเสียเหล่านี้ก็คงพอทำได้ นอกเหนือสิ่งนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจของเราที่เราต้องหมั่นชำระ ให้สะอาดอยู่เสมอ รู้จักรักษากายทำความสะอาดกายแล้วก็อย่าลืมใส่ใจให้กับจิตของตัวเองด้วย สภาพของจิตที่ย่ำแย่ ย่อมส่งผลกระทบต่อทุกส่วนของร่างกายกระทั่งการแสดงออกต่อผู้คน พระท่านจึงสอนสอนให้เพียรระวังสังวรดูจิตของตัวเอง ได้ดูจิตตัวเองก็ได้ดูความคิดของตัวเองได้พูดกับตัวเอง ได้บอกกล่าวตัวเองสอนตัวเองด้วย ยามที่ท้อหมดแรงและกำลังใจก็บอกตัวเองให้ยิ้มสู้เสมอ ทุกวันนี้เรากลายเป็นคนสภาพจิตใจย่ำแย่ไหม หมายความว่าเรามีความโกรธความเกลียดความชังไหม ความโลภของเราอยากได้ของเขามีมากหรือเปล่า เรามีความอยากมากไปหรือเปล่าที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่ไกลไปหรือสิ่งที่เรียก ว่ากระแสนิยม สิ่งเหล่านี้เราต้องพิจารณา ตรวจชำระความคิดของเราขณะสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นให้ได้ให้ทัน ถ้าเราตามไม่ทันนั่นละจะพาเราหลง เมื่อสแกนดูแล้วจับได้แล้วเอาที่สำคัญก่อน ที่เราเห็นมันก่อนนั่นแหละมาพิจารณา ให้เอาสิ่งเหล่านี้เป็นข้อบกพร่อง ข้อที่ควรรีบก็แก้ไขเลย เอาเวลาที่ว่างก็ได้ หรือตอนตื่นเช้าก่อนนอนหลังจากเราตื่นขึ้นทำงานแล้วจะมีสักกี่นาทีที่เราจะ ได้ทำแบบนี้เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราก้าวออกจากบ้านหลายคนก็ดำเนินชีวิตไปตาม ปกติพบปะเจอะเจอผู้คนมากมายไม่ได้คิดเลยหรือใช้เวลาพูดคุยกับตัวเองเลย การสำรวจตัวเองนั้นสมมุติว่าเมื่อเราพบว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวให้กำหนด ว่า”เราเป็นคนเห็นแก่ตัว” หรือเมื่อกระทำสิ่งที่เป็นการแสดงออกเหล่านี้กำหนดเลยเพ่งพิจารณาลงไป น้อมเข้ามาหาตัวเรา ระลึกให้ได้ พร้อมกันนั้นก็พูดกับตัวเองต่อไปอีก พร้อมทั้งหาวิธีการแก้ไข การแก้ไขสิ่งเหล่านี้เราพิจารณาเองไม่มีใครช่วยเราได้ ให้เราแก้ตัวเอง
เมื่อเราเพียรพยามยาทำอย่างนี้เราจะสามารถเข้าใจตัวเองได้ จะรู้จักข้อด้อยเห็นเสียของเรา รู้ปัจจุบันธรรมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่สำคัญในจุดนี้คือความเพียรปรับปรุง ลด ละ เลิก ก่อ สร้าง เสริม บริหารจิตของเราฝึกจิตของเราอย่างนี้ประสบความสำเร็จ ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้นแน่นอน
เมื่อตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่นแล้ว การนั่งเป็นอิริยาบถที่เห็นต้องพิจารณาเป็นลำดับแรกก่อน พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า “ให้ตั้งสติไว้เฉพาะต่อหน้ากรรมมัฏฐาน” หมายความว่าเมื่ออะไรเกิดขึ้นจะเป็นเวทนาหรือ ความฟุ้งซ่าน ให้เอาสติกำหนดจับตรงนั้น แต่ถึงจะให้กำหนดตามสภาพที่เกิดขึ้นก็ต้องมีอารมณ์ที่ต้องยึดไว้เป็นแนว ที่เราคุ้นกันดีก็คือ พุท-โธ บางที่ก็ พองหนอ-ยุบหนอ
พุท-โธนั้นเป็นฝึกสติโดยการการกำหนดลมหายใจเข้าออก เมื่อหายใจเข้า บริกรรมว่า “พุท” เมื่อหายใจออกบริกรรมว่า “โธ” โดยเมื่อหายใจเข้าออกให้กล่าวคำภาวนาดังนี้ มีสติอยู่ที่ลมหายใจโดยภาวนาพุท-โธตามลมหายใจที่เข้า-ออกนั้น
กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆโดยกำหนดพุทโธตามลมหายใจ ให้สติอยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น
เมื่อกระทำได้สักระยะจิตจะเริ่มเป็นสมาธิ เพราะอาศัยความที่เป็นสมาธินั่นเองจึงน้อมปัญญาเข้าไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย
พิจารณากายนั้นให้น้อมจิตไว้ที่ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ พิจารณาในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ลงในไตรลักษณ์ ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความตั้งอยู่ไม่มีแน่นอน ความดับไปเพราะในทุกสิ่งอย่างไม่เที่ยงจำต้องเคลื่อนคล้อยเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่มีอะไรที่น่ายึดมั่นเลย ทั้งเกสาทั้งหลายที่ยาวสั้นต่างก็เป็นของไม่สะอาด ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยของไม่สะอาดไหลเข้าไหลออกอยู่ตลอดเวลา หู ตา จมูก ลิ้น ทั้งหลายก็เช่นกันล้วนมีแต่ของไม่สะอาดจึงไม่ควรที่จะเข้าไปยึดติดว่าน่ารักใคร ชื่นชมยินดีเลยและด้วยเพราะกายนั้นอาศัยการไหลเข้าไหลออกจึงสามารถตั้งอยู่ดำรงอยู่ได้ กายต้องนำอาหารและลมเข้าไปจึงตั้งอยู่ได้และก็ต้องเอาอาหารและลมเหล่านั้นออกด้วย
ความที่กายนั้นเป็นของไม่จีรังยั่งยืนคงทนและถาวรเมื่อนานไปถึงคราวแตกดับก็ดับไปตามเหตุและปัจจัยไม่มีอะไรสามารถฉุดไว้ได้ เมื่อพิจารณากายก็ให้พิจารณาหยั่งลงในลักษณะนี้ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดยินดียินร้ายในรูปนั้นๆ
การที่เรารู้แล้วกำหนดพิจารณาลงไปในกายว่าเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นรูปด้วยธาตุทั้งหลายปรุงเข้าด้วยกัน ก็จะเห็นถึงที่เกิดของกายและที่ดับของกาย ความเสื่อมของกายที่เกิดด้วยอนิจจัง ความเข้าใจตามนี้ย่อมคลายความหลงในรูปลงได้
ความเกิด
ความแก่
ความเจ็บ
ความตาย
เวทนา
การดูเวทนานั้นให้กำหนดแน่ชัดว่าเวทนานั้นเกิดที่กายหรือใจ เวทนานั้นไม่ใช่กายแต่เวทนาต้องอาศัยเกิดขึ้น เช่นปวดขา ปวดหลังเหล่านี้เพราะมีแขนและขาจึงมีอาการปวดเจ็บรู้สึกเกิดขึ้น พูดง่ายๆก็คือมีสิ่งใดเวทนาก็อาศัยสิ่งนั้นเกิดขึ้น
เมื่อจะพิจารณาเวทนา ต้องรู้ว่าเวทนาเกิดเพราะอาศัยกายเป็นที่ตั้งเพราะมีสิ่งเหล่านี้จึงเกิดมีเวทนาขึ้น หากไม่มีขาแขน ตา ก็ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้ปรากฏ เวทนาเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ เมื่อจะดับลงก็เมื่อกายดับไป เวทนาก็ดับไปเช่นกัน เวทนาจึงไม่ใช่ตัวตนเหมือนกัน
พุทธะองค์ตรัสจำแนกเวทนาไว้ ๓ ดังนี้:
“ติสฺโส อิมา ภิกฺขเว เวทนา.กตมา ติสฺโส.สุขา เวทนา,สุขเวทนา,ทุกขา เวทนา,อทุกขมสุขายเวทนา.อิมา โข ภิกฺขเว ติสฺโส เวทนา”.
“ดูก่อนภกษุ ท. เวทนามี ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างคืออะไร คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนาและอุเบกขาเวทนา ดูก่อนภิกษุ ท.เวทนามี๓อย่างนี้”
จากพุทธพจน์เราสามารถแบ่งเวทนานั้นได้ ๓ อย่างแล้ว ทีนี้เมื่อเวทนาเหล่านั้นเกิดขึ้น เราต้องมีวิธีปฏิบัติต่อเวทนาเพื่อไม่ให้เกิดความยินดียินร้ายเข้าไป
เมื่อเราพิจาณาไปยังจุดที่เกิดของเวทนาเหล่านี้จะเห็นตามความเป็นจิรงว่าเมื่อมีการกระทบกันระหว่างอายตนะภายในภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกันโดยที่จิตเข้าไปถูกไปจับได้กับรูป ต้องไปกระทบก่อนจึงเกิดความรู้สึก ทีนี้จะรู้สึกว่า สวย ว่าไม่สวย หรือเฉยๆก็เป็นเวทนาที่เกิดขึ้นเวทนาสมบรูณ์แล้วเมื่อเกิดได้สมบรูณ์แล้วเป็นเหตุให้เกิดตัณหา ความยึดมั่น เพราะความรู้สึกที่มีในอารมณ์นั้นเป็นแรงผลักดันให้เกิดอุปาทาน
เราจึงควรพิจารณาเวทนาให้แจ้งชัดเพราะเวลาที่คนเราทุกข์หรือสุขยิ้มหรือร้องไห้บนโลกใบนี้ก็ตามเป็นเพราะเวทนาพาไปทั้งนั้น เพราะไม่รู้กำหนดรู้พิจารณาจึงไม่สามรถสลัดหรือลดความอยากได้จึงทำให้เกิดอุปาทาน ทุกข์หลายๆอย่างของคนเราจึงยากที่จะเบาบางลงได้
วิธีที่จะกำจัดเวทนา
ลำพังแค่สติตัวเดียวยังไม่เพียงพอที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้ เราต้องประกอบธรรม ๓ อย่างคือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา ให้เท่าเทียมเสมอกัน
เวทนาถ้าเราไม่ขยันสู้อดทนจริงๆนั้นไม่มีทางเอาชนะได้เลย ถ้าเวทนาเกิดหากเราปล่อยไปตามกระแสยิ่งจะเหมือนธารน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ ย่อมจะทำให้เราฟุ้งซ่านได้ง่าย พุทธองค์จึงตรัสว่า ขันติ ปรมํ ตโปตีติกขา ความอดทนเป็นธรรมที่ข่มกิเลสได้ดียิ่งอันยิ่ง
เราอย่าลืมว่าเวทนานั้นไม่ได้เกิดเฉพาะเวลาเรานั่งสมาธิเท่านั้น แม้กระทั่งเรายามที่เราเดินไปพบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าความรู้สึกย่อมเกิดขึ้น พบเจอเข้ากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมจะมีความรู้สึกปรากฏขึ้นนั่นแหละเป็นวิธีการในชั่วโมงยามที่เราต้องปฏิบัติในขณะนั้นทันที ความรู้สึกเหล่านี้ท่านก็ไม่ให้ละเลย
คนฉลาดย่อมรู้จักในการรักษาจิตให้สะอาด เมื่อทราบว่าสุขเวทนาทุกขเวทนาทำให้ใจไม่ใสไม่สะอาดก็ต้องพิจารณาลงในความเปลี่ยนแปลง
หากเราจะย้อนมองไปดูพระจริยาของพระพุทธเจ้าจะเห็นว่าพระองค์ก็ทรงเห็นแล้วว่าการติดในปิติสุขนั้นทำให้ไม่สามารถล่วงทุกข์ได้ เห็นได้เมื่อคราวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไปปฏิบัติสมถะกับกัมมัฏฐานในสำนักอาฬารดาบสและอุทกดาบส การได้ฌานจึงทำได้แค่หยุดใจให้สงบเท่านั้น เมื่อหันมาเจริญวิปัสสนาก็หยั่งเห็นเวทนาความรู้สึกเป็นของไม่น่าอาลัยไม่ยึดมั่นในทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนา
ความร้อนก็มิได้ตั้งอยู่กับเราตลอดไป ความร้อนเกิดขึ้นได้เพราะความเย็นดับลง ความสุขก็คือทุกข์ลดลงไป แต่เมื่อถึงความทุกข์เกิดขึ้นความสุขก็ลดลง สรรพสิ่งก็เปลี่ยนแปลงสลับกันดังนี้
เวทนาทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางจิตสุดแล้วแต่จะปรากฏชัดในที่ใด ขณะที่เดินอาจจะเหมื่อยขา ขณะนั่งอาจจะปวดหลังเมื่อเราโดนลมพัดเกิดความเย็นสบาย นั่นเราสบายที่ใจเรามีตัวรู้ที่รับรู้ที่ใจว่ามันสบาย ทีนี้เราจะเห็นว่าความปวดเหมื่อยที่เกิดนั้นหลังก็ไม่ได้ปวดลมพัดกระทบกายเกิดความเย็นสบายก็แยกได้ว่าลมก็ส่วนหนึ่ง กายก็ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกว่าสบายก็อีกส่วนหนึ่ง
อย่าพึ่งเปลี่ยนให้พิจารณาดูก่อน
แล้ววิธีที่เวลาเรานั่งกัมมัฏฐานเมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้นเราจะทำอย่างไร แน่นอนว่าเมื่อเรานั่งกัมมัฏฐานทุกคนต้องผ่านอาการแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าเกิดเวทนาขึ้นเราอย่าพึ่งเปลี่ยนอิริยาบถทันที ให้เราพิจารณาดูก่อน ตั้งจิตลงไปที่เกิดของเวทนานั้นไว้สักครู่โดยใช้ความอดทนแล้วกำหนดว่า”ปวดหนอๆ”แล้วสังเกตุอาการเหล่านั้นโดยที่เวลาเรากำหนดพิจารณาอาการเหล่านั้นให้เราเลิกคำภาวนาไว้ก่อน น้อมจิตประคองมาไว้ที่เวทนา
กระทั่งเรารับรู้อารมณ์นั้นแจ้งชัดแล้ว จึงค่อยถอนเคลื่อนหรือยักย้ายอิริยาบถออก ให้กระทำช้าๆ ให้สังเกตอาการของอิริยาบถนั้นๆทุกขณะมีสติกำหนดรู้ทุกเมื่อ
จิต
การเจริญวิปัสสนาต้องอาศัยการกำหนดรูป-นามเป็นอารมณ์เสมอ โดยให้เห็นทั้งสองอย่างนั้นเป็นสภาพที่ไม่คงทนแน่นอน มีความผันแปรไปตามกฎและเหตุปัจจัยเมื่อหัวข้อที่แล้วได้อธิบายถึงการพิจารณากาย เวทนา ถึงตอนนี้จะพูดถึงการพิจารณาจิตให้สะอาด ให้เป็นที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติต่อตัวเอง เรื่องจิตนั้นท่านให้กำหนดตามรู้เท่าทันที่มีอารมณ์เกิดขึ้น เพราะความที่ปกติของจิตเป็นสภาพที่ไหลและวิ่งอย่างรวดเร็วคล้ายแสงอาทิตย์ หมายความว่าจิตเป็นที่รับรู้ทุกสิ่งอย่าง เวทนาเกิดที่กายแต่ตัวรับรู้คือจิตและตัวจิตจะเป็นตัวควบคุมการแสดงออกทั้งทางกาย วาจา ใจ ดังมีพุทธพจน์ปรากฏในหลายที่สามารถสรุปได้ดังคำไทยที่ว่า จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว
การกำหนดจิตตามหลักสติปัฏฐานสูตรท่านให้ตามรู้จิตดังนี้ว่า
“จิตมีราคะก็ให้รู้ว่า จิตมีราคะ จิตปราศจากราคะก็ให้รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตหายจากราคะก็ให้รู้ว่าจิตหายจากราคะ จิตมีโทสะก็ให้รู้ว่าจิตมีโทสะ จิตหายจากโทสะก็ให้รู้ว่าจิตหายจากโทสะ...”
ตามธรรมดาของจิตนั้นย่อมเป็นที่รับเอาทั้งราคะ โทสะ โมหะเข้ามาโดยจิตไม่ได้ปฏิเสธเลย ถ้าเราแยกพิจารณาให้ละเอียดด้วยปัญญา เมื่อราคะเกิดก็จักเกิดความรักใคร่ ยินดี ชอบกำหนัดบ้าง อยากได้สิ่งนั้น หากไม่ได้สิ่งอันเป็นที่รักทีใคร่ก็เกิดความเสียใจ ทุรนทุราย ฟุ้งซ่าน อาการดังนี้หากไม่มีสติกำหนดรู้ก็จะหลงเกิดโมหะธรรมขึ้นมา
เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นที่จิตธรรมะที่สำคัญที่ต้องอาศัยเพื่อยับยั้งกิเสลไม่ให้กำเริบนอกจากสติแล้วคือขันติธรรมที่จะเป็นตัวข่มใจไว้เพื่อไม่ให้กิเลสปะทุขึ้นธรรมะอีกตัวที่จะเป็นตัวช่วยให้การปฏิบัติบรรลุได้ช่วยขันติธรรมอีกทีคือวิริยะต้องประสานกัน
ในยามที่เราปฏิบัติธรรมสิ่งที่เป็นอุปสรรคของการปฏิบัติธรรมของใครหลายคนคือความคิดฟุ้งซ่าน คือจิตชอบคิดแล่นไปมา สิ่งนั้นให้เราเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาของสภาพจิตที่รู้อารมณ์ตลอดเพียงแต่จิตจะน้อมเอาอารมณ์ไหนมาเป็นเครื่องระลึกถ้าจิตไปยึดเอาความโกรธ ความหลังความยินดีในคราวครั้งก่อนก็ต้องให้รู้ชัดในอาการนั้น ถ้าเราเข้าใจตามความจริงว่าจิตเป็นสภาพคิดตัวรู้อารมณ์มักจะแล่นไปตามธรรมชาติของมัน ก็ให้เราอย่าได้กังวลเมื่อมันเป็นธรรมชาติของมันเราก็ต้องพิจารณาให้เห็นตามธรรมชาติของมันนั่นเอง อย่าไปสลัดความคิดทิ้ง อย่าไปบังคับความคิดมันอาจจะทำให้เกิดความรำคาญได้ เมื่อความคิดทั้งลายเกิดขึ้นก็อย่าไปคิดว่าทำไมคิดมากเหลือเกิน วุ่นวายเหลือเกินแต่ให้เอาอาการความคิดนั้นมาพิจารณา ความยินดีอยู่ที่ไหน ความโกรธอยู่ที่ไหน ความสุขอยู่ที่ไหนให้ยกเอาสิ่งนั้นมาพิจารณา เพราะทุกสิ่งอย่างทั้งความรักความชังเราเป็นสร้างมันขึ้นมาเอง
เมื่อรู้เท่าทันก็จะเห็นว่า การมีต้นเหตุของความทุกข์หรือการมความทุกข์สั่งสมคั่งค้างอยู่ทำให้ใจไม่สะอาดมัวหมองจึงจำเป็นที่เราต้องหมั่นชำระจิตของเราให้สะอาดทุกๆวันเวลา โดยอาศัยความเพียรความอดทน หมั่นทำให้บ่อยๆก็จะตามรู้อาการที่จิตรู้ได้ เมื่อเห็นเช่นนี้ความยินดียินร้ายในความรับรู้อารมณ์ก็จะเบาบางผ่อนคลายลง
การรู้จิตตามที่สภาวะธรรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นจะปรากฏให้เราเห็นถึงความที่จิตของเรานั้นเป็นความคิดปรุงแต่งโดยที่เข้าไปปรุงแต่งทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลแต่แล้วทั้งสองอย่างก็ดับไป จึงจะเห็นว่าจิตเป็นที่ถูกรู้ ความที่จิตของเราเข้าไปยึดในอารมณ์ใดอย่างหนึ่งทำให้มองไม่เห็นไตรลักษณ์ เราจึงต้องทำจิตให้เป็นตัวรู้โดยความเป็นกลางๆไม่สอดใส่เพิ่มความปรุงแต่งลงไป เฝ้าดูตามเหตุและปัจจัยที่เกิดขึ้น หมายความว่าให้รู้สภาวะธรรมโดยไม่คิดปรุงแต่งนั่นเองดังหลักที่ท่านกล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เมื่อจิตมีความโกรธให้รู้ชัดว่าจิตกำลังมีความโกรธ เมื่อจิตมีความรักก็ให้รู้ชัดว่าจิตมีความรัก เมื่อเกิดความสงสัยก็ให้รู้แค่ว่าจิตนั้นเวลานั้นมีความสงสัยó ถึงตอนนี้สติมีความสำคัญมากการรู้ธรรมที่เกิดขึ้นตัวรู้นั้นนี้เรียกว่าสติ ให้เราน้อมพิจารณาตามธรรมที่เกิดขึ้นพึงหมั่นฝึกหัดอบรมจิตดังนี้ การที่เราเฝ้าดูและรู้ความเป็นไปของจิต โดยที่ไม่ไปบังคับหรือยินดีในสภาวะทั้งหลายกรณีนี้ท่านเปรียบว่าให้ทำจิตของตนให้เป็นดั่งยามเฝ้าประตู คอยดูคนเข้าออกตรวจดูอยู่อย่างนี้
ธรรม
ทุกสิ่งอย่างทั้งรูป-นามต่างก็รวมลงในธรรม ธรรมะนั้นอยู่ในทุกสิ่งอย่าง การพิจารณาธรรมจึงครอบคลุมทั้งหมด การพิจารณาจึงให้พิจารณาตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านแนะทำให้ดูที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยการพิจารณาให้รู้โดยแจ้งชัดใน ตาที่เห็นรูป หูที่ได้ยินเสียง จมูกที่ได้รับกลิ่น ลิ้นเมื่อได้สัมผัสรส กายเมื่อได้สัมผัส ใจเมื่อได้กระทบรู้อารมณ์หมายความว่าเมื่อตากระทบรูปให้กำหนดลงที่ตาว่า “เห็นหนอ” เมื่อขณะได้ยินก็ให้กำหนดว่า “ได้ยินหนอ”
พิจารณาให้เห็นตามที่พระอาจารย์ทั้งหลายท่านแนะนำว่าให้เพ่งพิจารณาโดยอาการว่า “สักแต่ว่า” สักแต่ว่าได้เห็น สักแต่ว่าได้ยิน และในอาการต่างๆที่เกิดขึ้นในทางทวารทั้งหลายเพื่อไม่ให้เกิดความยินดียินร้ายความใส่ใจในสิ่งนั้นๆ
เราจะไม่ใส่ความปรุงแต่งในธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเราจะไม่เห็นสภาวะธรรมโดยความเป็นธรรมชาติคือตัวของสภาวะธรรมนั้นๆที่เกิดขึ้น
รู้จักตัวเองหรือยัง
ถ้าถามหลายคนจริงๆจังๆว่า “คุณรู้จักตัวเองไหม” อาจจะมีคำตอบกลับมาว่าใครบ้างไม่รู้จักตัวเอง แต่ถ้าเราลองนึกดูดีๆ มีจะเห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้รักตัวเองอย่างแท้ จริง เราเห็นคนหลายคนในโลกนี้ออกเดินทางเพื่อตามหาตัวเอง เพื่อออกตามหาสัจจะดังที่มีบุคคลหลายท่านออกมาประกาศว่าเขาได้พบสิ่งเหล่า นั้นบ้างแล้ว
การรู้จักตัวเองเป็นการเริ่มต้นของชีวิตคน ถ้าเราไม่รู้ตัวเองนั้นเป็นอย่างไร ต้องการอะไร เราก็จะไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตได้ การรู้จักตัวเองนั้นคำตอบคือเราจะได้รู้ตัวเองนั่นเอง อาจจะไม่ใช่ว่าเราต้องการอะไรบ้าง เราต้องแสวงหาอะไรบ้าง แต่ในที่นี้ขอให้ทุกคนรู้จักการสำรวจตัวเองให้ทั่วพร้อมใช้สติปัญญาพิจารณา ตัวเองให้ทั่วทุกด้าน ทั้งกาย วาจา ใจ ในโลกนี้คงยังไม่มีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์สิ่งใดที่จะสามารถตรวจสแกนความต้อง การหรือภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับเราได้ เมื่อเจอสิ่งไม่ดีแล้วก็ตัดออก ผ่าออกเหมือนเนื้องอก ผมทั้งหลายเมื่อยาวไม่สวยไม่ได้สระมาสามสี่วันก็ใช้น้ำยาสระผมชะโลมล้าง ปากไม่สะอาดฟันไม่แข็งแรงก็ใช้ยาสีฟันหายามาอุดเสียเหล่านี้ก็คงพอทำได้ นอกเหนือสิ่งนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจของเราที่เราต้องหมั่นชำระ ให้สะอาดอยู่เสมอ รู้จักรักษากายทำความสะอาดกายแล้วก็อย่าลืมใส่ใจให้กับจิตของตัวเองด้วย สภาพของจิตที่ย่ำแย่ ย่อมส่งผลกระทบต่อทุกส่วนของร่างกายกระทั่งการแสดงออกต่อผู้คน พระท่านจึงสอนสอนให้เพียรระวังสังวรดูจิตของตัวเอง ได้ดูจิตตัวเองก็ได้ดูความคิดของตัวเองได้พูดกับตัวเอง ได้บอกกล่าวตัวเองสอนตัวเองด้วย ยามที่ท้อหมดแรงและกำลังใจก็บอกตัวเองให้ยิ้มสู้เสมอ ทุกวันนี้เรากลายเป็นคนสภาพจิตใจย่ำแย่ไหม หมายความว่าเรามีความโกรธความเกลียดความชังไหม ความโลภของเราอยากได้ของเขามีมากหรือเปล่า เรามีความอยากมากไปหรือเปล่าที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่ไกลไปหรือสิ่งที่เรียก ว่ากระแสนิยม สิ่งเหล่านี้เราต้องพิจารณา ตรวจชำระความคิดของเราขณะสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นให้ได้ให้ทัน ถ้าเราตามไม่ทันนั่นละจะพาเราหลง เมื่อสแกนดูแล้วจับได้แล้วเอาที่สำคัญก่อน ที่เราเห็นมันก่อนนั่นแหละมาพิจารณา ให้เอาสิ่งเหล่านี้เป็นข้อบกพร่อง ข้อที่ควรรีบก็แก้ไขเลย เอาเวลาที่ว่างก็ได้ หรือตอนตื่นเช้าก่อนนอนหลังจากเราตื่นขึ้นทำงานแล้วจะมีสักกี่นาทีที่เราจะ ได้ทำแบบนี้เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราก้าวออกจากบ้านหลายคนก็ดำเนินชีวิตไปตาม ปกติพบปะเจอะเจอผู้คนมากมายไม่ได้คิดเลยหรือใช้เวลาพูดคุยกับตัวเองเลย การสำรวจตัวเองนั้นสมมุติว่าเมื่อเราพบว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวให้กำหนด ว่า”เราเป็นคนเห็นแก่ตัว” หรือเมื่อกระทำสิ่งที่เป็นการแสดงออกเหล่านี้กำหนดเลยเพ่งพิจารณาลงไป น้อมเข้ามาหาตัวเรา ระลึกให้ได้ พร้อมกันนั้นก็พูดกับตัวเองต่อไปอีก พร้อมทั้งหาวิธีการแก้ไข การแก้ไขสิ่งเหล่านี้เราพิจารณาเองไม่มีใครช่วยเราได้ ให้เราแก้ตัวเอง
เมื่อเราเพียรพยามยาทำอย่างนี้เราจะสามารถเข้าใจตัวเองได้ จะรู้จักข้อด้อยเห็นเสียของเรา รู้ปัจจุบันธรรมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่สำคัญในจุดนี้คือความเพียรปรับปรุง ลด ละ เลิก ก่อ สร้าง เสริม บริหารจิตของเราฝึกจิตของเราอย่างนี้ประสบความสำเร็จ ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้นแน่นอน
วิธีกำหนดคำบริกรรมประสานลมหายใจ
๏ วิธีกำหนดคำบริกรรมประสานลมหายใจ
วิธีกำหนดสมาธิกับผู้รู้ประกอบคำบริกรรมเข้าประสานกับลมหายใจดังนี้ ขออธิบายสั้นๆเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น อันดับแรกให้ตั้งใจโดยมีสติว่าเราจะตั้งใจกำหนดคำบริกรรมนี้ประสานกับลมหายใจเข้าว่า พุท เราตั้งใจกำหนดคำบริกรรมนี้ประสานกับลมหายออกว่า โธ แต่ลมหายใจของเรามีอยู่ถึงเราไม่ตั้งใจดู มันก็หายใจออกหายใจเข้าอยู่อย่างนั้น
ฉะนั้น เราจึงมากำหนดเพียงให้เป็นอุบายของสติกับผู้รู้ และคำบริกรรมกับลมหายใจให้อยู่ในกรอบเดียวกันเท่านั้นนี้เป็นวิธีฝึกสติ เพื่อให้สติมีความเข้มแข็ง จึงให้ทำด้วยความตั้งใจ คือเราจะต้องตั้งใจอันมีสติลมหายใจเข้าเอง เราจะต้องตั้งใจอันมีสติลมหายออกเอง เวลาใดเราไม่ได้ตั้งลมหายใจเข้าเอง ถือว่าสติเราตามไม่ทัน หายใจออกเองก็ถือว่าเราขาดสติ
ฉะนั้น จึงให้เรามีสติตั้งใจหายใจเข้าเอง มีสติตั้งใจหายใจออกเอง ถ้าชำนาญแล้วไม่ยาก ต่อไปก็รู้เท่าทันกันเอง นี่คือเหตุเข้าใจขั้นต้น เมื่อเราชำนาญในลมกับคำบริกรรมแล้ว ก็ให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจหยาบหรือละเอียด ถ้าลมหายใจยังหยาบอยู่ก็ให้ดูลมไปก่อน ถ้าลมหายใจมีความละเอียดแล้ว สติของเราก็ไม่เผลอรู้เท่าทันลมได้ดี เราก็ปล่อยคำบริกรรมนั้นเสีย ให้มาดูลมหายใจเข้าออกอยู่เฉพาะลมเท่านั้น เมื่อใจกับลมละเอียดแล้ว มันจะแสดงออกมาทางกาย มีลักษณะต่างๆ เช่น ปรากฏว่ามีกายใหญ่บางส่วน หรือใหญ่ทั้งหมดภายในกาย หรือเป็นกายเล็กบางทีสูงขึ้น บางทีเตี้ยลง ถ้าเป็นในลักษณะใดลักษณะหนึ่งอย่าไปกลัว นั่นเป็นอาการของใจ แสดงออกมาทางกายให้รีบตั้งสติกับผู้รู้ให้รู้ลมให้ละเอียดเข้าไปอีก
เมื่อลมละเอียดเต็มที่แล้ว มันจะแสดงขึ้นมาอีกวิธีหนึ่งคือ ลมหายใจมันจะน้อยเข้าทุกที เล็กเข้าทุกที และระบบการหายใจจะหายใจสั้นเข้าทุกที ถ้าผู้กลัวตายก็จะถอนตัวทันที ถ้าเป็นเช่นนี้เราต้องไม่กลัว นั่นแหละใจกำลังจะสงบ จะเห็นความอัศจรรย์ของตัวเอง ให้รีบตั้งสติรู้อยู่กับลมหายใจเท่านั้น ลมหายใจน้อยก็รู้ ลมหายใจสั้นก็รู้ ลมจะเล็กเหมือนใยบัวก็รู้ ลมหายใจจะสั้นและอยู่ในลำคอเท่านั้น พอสุดท้ายลมหายใจก็จะหมดทันทีเมื่อลมหมด ความสงบใจนั้นก็หมดภาระกับลมหายใจ มีแต่ความสงบของใจ เต็มไปด้วยความสว่างรอบตัว แต่ไม่ปรากฏเห็นกายตัวเองเลย มีแต่ความสว่างในใจสบายและมีความสุขเท่านั้น
ความสุขที่ใจมีความสงบนั้น ไม่มีความสุขใดในโลกจะเสมอ เหมือนดังพุทธภาษิตว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ความสุขนี้เป็นความสุขไม่นานก็จะถอนตัวออกมาหายใจธรรมดา ผลของความสงบนั้นยังปรากฏอยู่ ถ้าผู้ไม่มีรัศมีของปัญญาแฝงไว้ที่ใจ ก็อยากสงบอยู่อย่างนั้นตลอดไป และติดใจความสงบนั้นๆ ถ้าผู้มีรัศมีของปัญญามีเชื้อติดอยู่ที่ใจก็สามารถเริ่มพิจารณากายต่อไปได้ ไม่ติดอยู่กับความสุขนั้นๆ เลย
๏ สรุปเรื่อง
จึงขอสรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจอีกครั้ง สมาธิความตั้งใจมั่น กับสมาธิความสงบแห่งใจทั้งสองนี้ มีความหมายหยาบละเอียดต่างกัน สมาธิความตั้งใจมั่น คือ เป็นผู้มีสติปัญญาแฝงอยู่ที่ใจ จะยืนจะเดินอยู่ที่ไหน สถานที่ใดก็มีสติรักษาใจ หรือนั่งอยู่ที่ไหน นั่งอยู่อย่างไร สถานที่เช่นไร ก็มีสติรักษาใจ หรือบางครั้งได้พูดกับเพศตรงข้ามก็มีสติ หรือเพศตรงข้ามหนีไปใจก็มีสติ
จึงสมกับคำที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ในประโยคสุดท้ายว่า ดูก่อนอานนท์ เมื่อกิจที่จะได้พูดกับสตรีมีอยู่ ถ้าพูดก็พูดให้มีสติ นี้แล จึงได้ชื่อว่า สมาธิ ความตั้งใจมั่น ขั้นพื้นฐานสมาธิขั้นนี้ก็เริ่มพิจารณาได้แล้ว จะพิจารณาในความทุกข์ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งตัวเองและคนอื่น ให้มีสภาพอย่างเดียวกัน จะพิจารณาธาตุสี่ ขันธ์ห้า จะพิจารณาให้เป็นอสุภะให้ตกอยู่ในไตรลักษณ์ หรือเราจะยินดีพอใจกับวัตถุใด สิ่งใดๆ ก็ตาม ก็ยกเอาวัตถุสิ่งของนั้นมาพิจารณาให้ตกอยู่ในสภาพแห่งไตรลักษณ์
การพิจารณานี้ เราจะอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร จะนั่งจะเดินอยู่ที่ไหนก็พิจารณาได้ ให้เรารู้ตัวเองอยู่เสมอว่า เรายังมีกิเลสตัณหา อย่าประมาทนอนใจสถานการณ์ใจเรายังไม่ปกติ เราก็ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ข้าศึกคือกิเลสตัณหาเข้ามา เราก็จะกำจัดทันที กิเลสตัณหาเกิดขึ้น สติปัญญาก็รู้เท่าทัน นั้นคือผู้ไม่ประมาท คือเป็นผู้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ
สมาธิ คือ ความสงบ สมาธินี้ลึกลงไปอีก อันดับแรกเราก็ต้องอาศัยคำบริกรรมดังที่เราได้อธิบายมาแล้ว เมื่อใจสงบลงลึกถึงอัปปนาสมาธิ เมื่อจิตถอนออกมาแล้ว ก็ต้องดำริหาอุบายปัญญามาพิจารณาทันที เรื่องที่จะพิจารณาก็ได้อธิบายมาแล้ว
ถ้าหากความสงบไม่ถึงอัปปมาสมาธิ จะทำอย่างไรก็สงบอีกไม่ได้ จะเป็นเพียงขณิกะสมาธิ อุปจารสมาธินิดๆ หน่อยๆ เราก็เริ่มพิจารณาด้วยปัญญาได้เลย ในช่วงขณิกะสมาธิ อุปจารสมาธินี้แหละ ปัญญากำลังวิ่งรอบรู้ในสรรพสังขารทั้งหลายได้ดี เรื่องที่จะเอามาพิจารณาก็ได้อธิบายมาแล้ว
ถ้าเรากำหนดบริกรรมภาวนา แต่ในใจเราไม่มีความสงบขั้นไหนๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ ให้กำหนดดูใจ และอารมณ์ภายในใจเราเองในขณะนั้น ว่ามีอะไรที่ทำให้ใจเราไม่สงบ มีความขัดข้องอยู่ที่ไหน ใจเรายังผูกพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางทีก็ติดอยู่กับกามคุณ มีรูปเป็นต้น หรือติดพันอยู่กับวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าเรารู้ว่าใจเราผูกพันอยู่กับสิ่งนั้นแล้ว เราก็จับเอาสิ่งที่เรามีใจผูกพันนั้นแหละมาพิจารณาด้วยปัญญา ยกโทษภัยในของที่เราติดนั้นแหละมาพิจารณาให้ใจได้รู้ การพิจารณาด้วยปัญญาดังได้อธิบายมาแล้ว
วิธีกำหนดสมาธิกับผู้รู้ประกอบคำบริกรรมเข้าประสานกับลมหายใจดังนี้ ขออธิบายสั้นๆเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น อันดับแรกให้ตั้งใจโดยมีสติว่าเราจะตั้งใจกำหนดคำบริกรรมนี้ประสานกับลมหายใจเข้าว่า พุท เราตั้งใจกำหนดคำบริกรรมนี้ประสานกับลมหายออกว่า โธ แต่ลมหายใจของเรามีอยู่ถึงเราไม่ตั้งใจดู มันก็หายใจออกหายใจเข้าอยู่อย่างนั้น
ฉะนั้น เราจึงมากำหนดเพียงให้เป็นอุบายของสติกับผู้รู้ และคำบริกรรมกับลมหายใจให้อยู่ในกรอบเดียวกันเท่านั้นนี้เป็นวิธีฝึกสติ เพื่อให้สติมีความเข้มแข็ง จึงให้ทำด้วยความตั้งใจ คือเราจะต้องตั้งใจอันมีสติลมหายใจเข้าเอง เราจะต้องตั้งใจอันมีสติลมหายออกเอง เวลาใดเราไม่ได้ตั้งลมหายใจเข้าเอง ถือว่าสติเราตามไม่ทัน หายใจออกเองก็ถือว่าเราขาดสติ
ฉะนั้น จึงให้เรามีสติตั้งใจหายใจเข้าเอง มีสติตั้งใจหายใจออกเอง ถ้าชำนาญแล้วไม่ยาก ต่อไปก็รู้เท่าทันกันเอง นี่คือเหตุเข้าใจขั้นต้น เมื่อเราชำนาญในลมกับคำบริกรรมแล้ว ก็ให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจหยาบหรือละเอียด ถ้าลมหายใจยังหยาบอยู่ก็ให้ดูลมไปก่อน ถ้าลมหายใจมีความละเอียดแล้ว สติของเราก็ไม่เผลอรู้เท่าทันลมได้ดี เราก็ปล่อยคำบริกรรมนั้นเสีย ให้มาดูลมหายใจเข้าออกอยู่เฉพาะลมเท่านั้น เมื่อใจกับลมละเอียดแล้ว มันจะแสดงออกมาทางกาย มีลักษณะต่างๆ เช่น ปรากฏว่ามีกายใหญ่บางส่วน หรือใหญ่ทั้งหมดภายในกาย หรือเป็นกายเล็กบางทีสูงขึ้น บางทีเตี้ยลง ถ้าเป็นในลักษณะใดลักษณะหนึ่งอย่าไปกลัว นั่นเป็นอาการของใจ แสดงออกมาทางกายให้รีบตั้งสติกับผู้รู้ให้รู้ลมให้ละเอียดเข้าไปอีก
เมื่อลมละเอียดเต็มที่แล้ว มันจะแสดงขึ้นมาอีกวิธีหนึ่งคือ ลมหายใจมันจะน้อยเข้าทุกที เล็กเข้าทุกที และระบบการหายใจจะหายใจสั้นเข้าทุกที ถ้าผู้กลัวตายก็จะถอนตัวทันที ถ้าเป็นเช่นนี้เราต้องไม่กลัว นั่นแหละใจกำลังจะสงบ จะเห็นความอัศจรรย์ของตัวเอง ให้รีบตั้งสติรู้อยู่กับลมหายใจเท่านั้น ลมหายใจน้อยก็รู้ ลมหายใจสั้นก็รู้ ลมจะเล็กเหมือนใยบัวก็รู้ ลมหายใจจะสั้นและอยู่ในลำคอเท่านั้น พอสุดท้ายลมหายใจก็จะหมดทันทีเมื่อลมหมด ความสงบใจนั้นก็หมดภาระกับลมหายใจ มีแต่ความสงบของใจ เต็มไปด้วยความสว่างรอบตัว แต่ไม่ปรากฏเห็นกายตัวเองเลย มีแต่ความสว่างในใจสบายและมีความสุขเท่านั้น
ความสุขที่ใจมีความสงบนั้น ไม่มีความสุขใดในโลกจะเสมอ เหมือนดังพุทธภาษิตว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ความสุขนี้เป็นความสุขไม่นานก็จะถอนตัวออกมาหายใจธรรมดา ผลของความสงบนั้นยังปรากฏอยู่ ถ้าผู้ไม่มีรัศมีของปัญญาแฝงไว้ที่ใจ ก็อยากสงบอยู่อย่างนั้นตลอดไป และติดใจความสงบนั้นๆ ถ้าผู้มีรัศมีของปัญญามีเชื้อติดอยู่ที่ใจก็สามารถเริ่มพิจารณากายต่อไปได้ ไม่ติดอยู่กับความสุขนั้นๆ เลย
๏ สรุปเรื่อง
จึงขอสรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจอีกครั้ง สมาธิความตั้งใจมั่น กับสมาธิความสงบแห่งใจทั้งสองนี้ มีความหมายหยาบละเอียดต่างกัน สมาธิความตั้งใจมั่น คือ เป็นผู้มีสติปัญญาแฝงอยู่ที่ใจ จะยืนจะเดินอยู่ที่ไหน สถานที่ใดก็มีสติรักษาใจ หรือนั่งอยู่ที่ไหน นั่งอยู่อย่างไร สถานที่เช่นไร ก็มีสติรักษาใจ หรือบางครั้งได้พูดกับเพศตรงข้ามก็มีสติ หรือเพศตรงข้ามหนีไปใจก็มีสติ
จึงสมกับคำที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ในประโยคสุดท้ายว่า ดูก่อนอานนท์ เมื่อกิจที่จะได้พูดกับสตรีมีอยู่ ถ้าพูดก็พูดให้มีสติ นี้แล จึงได้ชื่อว่า สมาธิ ความตั้งใจมั่น ขั้นพื้นฐานสมาธิขั้นนี้ก็เริ่มพิจารณาได้แล้ว จะพิจารณาในความทุกข์ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งตัวเองและคนอื่น ให้มีสภาพอย่างเดียวกัน จะพิจารณาธาตุสี่ ขันธ์ห้า จะพิจารณาให้เป็นอสุภะให้ตกอยู่ในไตรลักษณ์ หรือเราจะยินดีพอใจกับวัตถุใด สิ่งใดๆ ก็ตาม ก็ยกเอาวัตถุสิ่งของนั้นมาพิจารณาให้ตกอยู่ในสภาพแห่งไตรลักษณ์
การพิจารณานี้ เราจะอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร จะนั่งจะเดินอยู่ที่ไหนก็พิจารณาได้ ให้เรารู้ตัวเองอยู่เสมอว่า เรายังมีกิเลสตัณหา อย่าประมาทนอนใจสถานการณ์ใจเรายังไม่ปกติ เราก็ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ข้าศึกคือกิเลสตัณหาเข้ามา เราก็จะกำจัดทันที กิเลสตัณหาเกิดขึ้น สติปัญญาก็รู้เท่าทัน นั้นคือผู้ไม่ประมาท คือเป็นผู้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ
สมาธิ คือ ความสงบ สมาธินี้ลึกลงไปอีก อันดับแรกเราก็ต้องอาศัยคำบริกรรมดังที่เราได้อธิบายมาแล้ว เมื่อใจสงบลงลึกถึงอัปปนาสมาธิ เมื่อจิตถอนออกมาแล้ว ก็ต้องดำริหาอุบายปัญญามาพิจารณาทันที เรื่องที่จะพิจารณาก็ได้อธิบายมาแล้ว
ถ้าหากความสงบไม่ถึงอัปปมาสมาธิ จะทำอย่างไรก็สงบอีกไม่ได้ จะเป็นเพียงขณิกะสมาธิ อุปจารสมาธินิดๆ หน่อยๆ เราก็เริ่มพิจารณาด้วยปัญญาได้เลย ในช่วงขณิกะสมาธิ อุปจารสมาธินี้แหละ ปัญญากำลังวิ่งรอบรู้ในสรรพสังขารทั้งหลายได้ดี เรื่องที่จะเอามาพิจารณาก็ได้อธิบายมาแล้ว
ถ้าเรากำหนดบริกรรมภาวนา แต่ในใจเราไม่มีความสงบขั้นไหนๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ ให้กำหนดดูใจ และอารมณ์ภายในใจเราเองในขณะนั้น ว่ามีอะไรที่ทำให้ใจเราไม่สงบ มีความขัดข้องอยู่ที่ไหน ใจเรายังผูกพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางทีก็ติดอยู่กับกามคุณ มีรูปเป็นต้น หรือติดพันอยู่กับวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าเรารู้ว่าใจเราผูกพันอยู่กับสิ่งนั้นแล้ว เราก็จับเอาสิ่งที่เรามีใจผูกพันนั้นแหละมาพิจารณาด้วยปัญญา ยกโทษภัยในของที่เราติดนั้นแหละมาพิจารณาให้ใจได้รู้ การพิจารณาด้วยปัญญาดังได้อธิบายมาแล้ว
วิธีนั่งสมาธิ วิธีที่ ๔
วิธีนั่งสมาธิ วิธีที่ ๔
วิธีที่ ๔ ให้ตั้งใจโดยมีสติกำหนดรู้อารมณ์ภายในใจให้เห็นชัด วิธีนี้ก็เหมือนกันกับวิธีกำหนดรู้อารมณ์ภายในใจขณะเดินจงกลมนั่นเอง แต่เรามากำหนดรู้อารมณ์ในขณะนั่งสมาธิ ย่อมเห็นอารมณ์ได้ชัดเจนมากเพราะไม่มีความไหวตัวไปมา ความสั่นสะเทือนภายในกายไม่มี จึงสังเกตดูอารมณ์ภายในกายได้ง่ายและรู้ละเอียด อารมณ์แห่งความสุขก็รู้ชัด อารมณ์แห่งความทุกข์ก็รู้ชัด แม้แต่อารมณ์ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ก็มีสติก็รู้ชัด อารมณ์แห่งราคะตัณหาก็รู้ชัดทั้งนั้น
อารมณ์ทั้งหมดนี้เป็นได้ทั้งเหตุ เป็นได้ทั้งผล หมุนไปได้รอบด้าน และหมุนไปได้ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน ผลัดกันเป็นเหตุผลัดกันเป็นผลเสมอ เรียกว่า สันตติ คือ อารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว ที่สืบทอดให้กันอยู่เสมอ จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุ อะไรเป็นปลาย คือ หมุนไปเวียนมาไม่รู้ว่าอะไรอารมณ์ใหม่อารมณ์เก่า จึงเข้าใจเองว่า เป็นอารมณ์ใหม่ตลอดไป และตลอดเวลา จึงเรียกว่า อวิชชา คือ ความไม่รู้ทางไปทางมาของวัฏจักรนั่นเอง จึงเรียกว่าผู้หลงโลกหลงสงสาร ก็คือมาหลงอารมณ์ภายในใจนี่แหละเป็นเหตุ
อารมณ์ภายในใจนั้นยังไม่เป็นกิเลส ตัวกิเลส ตัณหา อวิชชาคือตัวก่อให้อารมณ์รัก อารมณ์ชังเกิดขึ้นที่ใจ มีในใจและตั้งอยู่ที่ใจเหตุนั้นการกำหนดรู้เห็นอารมณ์ภายในใจ ก็เพื่อเราจะใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุของอารมณ์ เพื่อให้รู้สายทางของอารมณ์ได้ชัด และเพื่อให้ได้วิธีตัดสายลำเลียงและตัดสะพานของกิเลสตัณหาต่อไป ถ้าหากว่าเราไม่รู้เท่าอารมณ์ภายในใจแล้ว ก็จะไม่รู้ว่าเราจะตัดต้นทางด้วยวิธีใด หรือเหมือนกับเราต้องการคมมีดเราก็ต้องลับมีด ถ้าเราไม่ต้องการความร้อนเราก็ต้องดับไฟ ใจมีความทุกข์ เราก็ต้องหาวิธีดับทุกข์เพื่อไม่ให้ทุกข์เกิด ถ้าใจมีความทุกข์อารมณ์ของความทุกข์ก็แสดงออกมาที่ใจ ใจอยู่ที่ไหน อารมณ์ของใจก็จะอยู่ที่นั่น อารมณ์ของใจอยู่ที่ไหน ใจก็อยู่ในที่เดียวกัน
ถ้าเราอยากรู้ใจ เราก็ต้องจับอารมณ์ของใจไว้ให้ดี เหมือนกันกับไฟกับความร้อนของไฟ ใจกับอารมณ์ก์ต้องอยู่ด้วยกันฉันนั้น การกำหนดรู้อารมณ์ภายในใจนี้ไม่ใช่จะกำหนดอยู่นาน เพียงกำหนดรู้อารมณ์ของใจว่า เกิดจากเหตุอันนี้ๆ แล้วก็หยุดมาพิจารณาด้วยปัญญาต่อไป เหมือนเราตรวจออกมาเห็นข้าศึกแล้วก็ตั้งศูนย์ยิงเข้าใส่ให้ถูกข้าศึกศัตรูทันที เหมือนยิงเนื้อก็ไม่ต้องเล็งปืนไว้นาน เมื่อเรารู้ว่าไฟกำลังก่อตัวเราก็ต้องหาทางดับ ฉะนั้น การกำหนดรู้อารมณ์เพื่อจะใช้ปัญญาพิจารณา เพื่อจะตัดสายทางมาของกิเลสตัณหาคือความไม่อิ่มพอในกามทั้งหลายให้หมดไป แล้วใช้ปัญญาพิจารณาตัดสะพานและทำลายกงกรรมของวัฏจักรให้ย่อยยับ และขาดจากการสืบต่อกันอย่างสิ้นเชิง
นี้ก็เพราะมาเห็นจุดเป้าหมายค่ายทัพของกิเลสตัณหาว่าเกิดจากเหตุอันนี้แล้ว จึงใช้สติปัญญาศรัทธาความเพียรเข้าไประเบิดค่ายให้มันดับไปทั้งเชื้อชาติโครตตระกูลสูญพันธุ์โดยไม่มีชิ้นเหลือ เหมือนกันกับการทำสงครามเขาก็ต้องมองหาจุดสำคัญ เขาชกมวยก็ต้องมองหาเป้าที่จะน็อค และหวังชนะด้วยความมั่นใจถึงจะแพ้ไปในบางครั้ง ก็ตามแก้มือจนกว่าจะชนะเต็มที่ นี่แหละนักปฏิบัติถ้าปฏิบัติไม่จริง จะถูกกิเลสตัณหาน็อคจนไม่มีประตูจะสู้ ไม่ยอมฟิตซ้อมสติปัญญา ปล่อยให้กิเลสตัณหาเหยียบย่ำจนตัวแบน
ฉะนั้น เราเป็นนักปฏิบัติผู้มีศักดิ์ศรี มีความตั้งใจมั่นหมายที่จะทำลายข้าศึกคือกิเลส เราก็ตั้งเข็มทิศหมุนไปให้ตรงในจุดภายในคืออารมณ์ของใจ เพื่อจะได้วางแผนกำจัดชะล้างมลทินของใจให้หมดไป
วิธีที่ ๔ ให้ตั้งใจโดยมีสติกำหนดรู้อารมณ์ภายในใจให้เห็นชัด วิธีนี้ก็เหมือนกันกับวิธีกำหนดรู้อารมณ์ภายในใจขณะเดินจงกลมนั่นเอง แต่เรามากำหนดรู้อารมณ์ในขณะนั่งสมาธิ ย่อมเห็นอารมณ์ได้ชัดเจนมากเพราะไม่มีความไหวตัวไปมา ความสั่นสะเทือนภายในกายไม่มี จึงสังเกตดูอารมณ์ภายในกายได้ง่ายและรู้ละเอียด อารมณ์แห่งความสุขก็รู้ชัด อารมณ์แห่งความทุกข์ก็รู้ชัด แม้แต่อารมณ์ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ก็มีสติก็รู้ชัด อารมณ์แห่งราคะตัณหาก็รู้ชัดทั้งนั้น
อารมณ์ทั้งหมดนี้เป็นได้ทั้งเหตุ เป็นได้ทั้งผล หมุนไปได้รอบด้าน และหมุนไปได้ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน ผลัดกันเป็นเหตุผลัดกันเป็นผลเสมอ เรียกว่า สันตติ คือ อารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว ที่สืบทอดให้กันอยู่เสมอ จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุ อะไรเป็นปลาย คือ หมุนไปเวียนมาไม่รู้ว่าอะไรอารมณ์ใหม่อารมณ์เก่า จึงเข้าใจเองว่า เป็นอารมณ์ใหม่ตลอดไป และตลอดเวลา จึงเรียกว่า อวิชชา คือ ความไม่รู้ทางไปทางมาของวัฏจักรนั่นเอง จึงเรียกว่าผู้หลงโลกหลงสงสาร ก็คือมาหลงอารมณ์ภายในใจนี่แหละเป็นเหตุ
อารมณ์ภายในใจนั้นยังไม่เป็นกิเลส ตัวกิเลส ตัณหา อวิชชาคือตัวก่อให้อารมณ์รัก อารมณ์ชังเกิดขึ้นที่ใจ มีในใจและตั้งอยู่ที่ใจเหตุนั้นการกำหนดรู้เห็นอารมณ์ภายในใจ ก็เพื่อเราจะใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุของอารมณ์ เพื่อให้รู้สายทางของอารมณ์ได้ชัด และเพื่อให้ได้วิธีตัดสายลำเลียงและตัดสะพานของกิเลสตัณหาต่อไป ถ้าหากว่าเราไม่รู้เท่าอารมณ์ภายในใจแล้ว ก็จะไม่รู้ว่าเราจะตัดต้นทางด้วยวิธีใด หรือเหมือนกับเราต้องการคมมีดเราก็ต้องลับมีด ถ้าเราไม่ต้องการความร้อนเราก็ต้องดับไฟ ใจมีความทุกข์ เราก็ต้องหาวิธีดับทุกข์เพื่อไม่ให้ทุกข์เกิด ถ้าใจมีความทุกข์อารมณ์ของความทุกข์ก็แสดงออกมาที่ใจ ใจอยู่ที่ไหน อารมณ์ของใจก็จะอยู่ที่นั่น อารมณ์ของใจอยู่ที่ไหน ใจก็อยู่ในที่เดียวกัน
ถ้าเราอยากรู้ใจ เราก็ต้องจับอารมณ์ของใจไว้ให้ดี เหมือนกันกับไฟกับความร้อนของไฟ ใจกับอารมณ์ก์ต้องอยู่ด้วยกันฉันนั้น การกำหนดรู้อารมณ์ภายในใจนี้ไม่ใช่จะกำหนดอยู่นาน เพียงกำหนดรู้อารมณ์ของใจว่า เกิดจากเหตุอันนี้ๆ แล้วก็หยุดมาพิจารณาด้วยปัญญาต่อไป เหมือนเราตรวจออกมาเห็นข้าศึกแล้วก็ตั้งศูนย์ยิงเข้าใส่ให้ถูกข้าศึกศัตรูทันที เหมือนยิงเนื้อก็ไม่ต้องเล็งปืนไว้นาน เมื่อเรารู้ว่าไฟกำลังก่อตัวเราก็ต้องหาทางดับ ฉะนั้น การกำหนดรู้อารมณ์เพื่อจะใช้ปัญญาพิจารณา เพื่อจะตัดสายทางมาของกิเลสตัณหาคือความไม่อิ่มพอในกามทั้งหลายให้หมดไป แล้วใช้ปัญญาพิจารณาตัดสะพานและทำลายกงกรรมของวัฏจักรให้ย่อยยับ และขาดจากการสืบต่อกันอย่างสิ้นเชิง
นี้ก็เพราะมาเห็นจุดเป้าหมายค่ายทัพของกิเลสตัณหาว่าเกิดจากเหตุอันนี้แล้ว จึงใช้สติปัญญาศรัทธาความเพียรเข้าไประเบิดค่ายให้มันดับไปทั้งเชื้อชาติโครตตระกูลสูญพันธุ์โดยไม่มีชิ้นเหลือ เหมือนกันกับการทำสงครามเขาก็ต้องมองหาจุดสำคัญ เขาชกมวยก็ต้องมองหาเป้าที่จะน็อค และหวังชนะด้วยความมั่นใจถึงจะแพ้ไปในบางครั้ง ก็ตามแก้มือจนกว่าจะชนะเต็มที่ นี่แหละนักปฏิบัติถ้าปฏิบัติไม่จริง จะถูกกิเลสตัณหาน็อคจนไม่มีประตูจะสู้ ไม่ยอมฟิตซ้อมสติปัญญา ปล่อยให้กิเลสตัณหาเหยียบย่ำจนตัวแบน
ฉะนั้น เราเป็นนักปฏิบัติผู้มีศักดิ์ศรี มีความตั้งใจมั่นหมายที่จะทำลายข้าศึกคือกิเลส เราก็ตั้งเข็มทิศหมุนไปให้ตรงในจุดภายในคืออารมณ์ของใจ เพื่อจะได้วางแผนกำจัดชะล้างมลทินของใจให้หมดไป
วิธีนั่งสมาธิ วิธีที่ ๓
วิธีนั่งสมาธิ วิธีที่ ๓
วิธีที่ ๓ ให้ตั้งใจโดยมีสติกำหนดรู้ภายในส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นนิมิตเครื่องหมาย จะเป็นกายส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ กายส่วนไหนที่เรามีความถนัดใจเพ่งดูได้ง่าย ให้เอากายส่วนนั้นเป็นจุดยืนของสติ ให้สติกับผู้รู้ติดอยู่กับสตินั้นๆ อย่าให้เผลอ ถึงลมหายใจหรือคำบริกรรมมีอยู่ก็ให้ก็ให้เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น ถ้าเราไปจดจ่อที่ลมหายใจและคำบริกรรมแล้ว กายส่วนที่เราเพ่งดูอยู่นั้นก็จะเลือนลางไป ใจก็จะเขวจากกายที่เพ่งอยู่นั้นไป ใจก็จะไม่อยู่ในกายส่วนนั้นเลย
ฉะนั้นจึงให้สติกับผู้รู้ เพ่งดูกายส่วนนั้นอย่างใกล้ชิด จะเป็นตำหนิแผลเก่าๆ ก็ได้ จะเป็นส่วนด้านหน้าหรือส่วนด้านหลังก็ให้เราเลือกหาเอง เพื่อไม่ให้มีความขัดข้องหรือความรู้สึกภายในใจ ครั้งแรกก็ให้เราสมมติรู้ ตามสีสันและลักษณะกายส่วนนั้นๆ ตามความเป็นจริงว่ามีลักษณะนั้นๆ ส่วนหนังที่เป็นที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก ถ้าเรากำหนดดูให้รู้เห็นทั้งหมดนั้นไม่ได้ ก็เพราะว่าความตั้งใจและสติเรายังอ่อน
ฉะนั้น จึงให้กำหนดดูบางส่วน จะเป็นส่วนเล็กๆ ก็ได้ เพื่อให้ใจจดจ่อรู้เห็นในที่แห่งเดียว ให้เหมือนกันกับที่เราเอาเส้นด้ายสอดเข้ารูเข็ม ถ้าเราไม่ใช้สายตาเพ่งดู ก็จะไม่เห็นรูเข็มปลายเส้นด้ายนั้นเลย และไม่มีทางที่จะสอดด้ายเข้ารูเข็มได้ ถ้าหากเราใช้สายตาจดจ่อกับรูเข็ม และปลายเส้นด้ายแล้ว เราก็จะสอดด้ายเข้ารูเข็มได้ทันทีนี้ฉันใด
การเพ่งดูกาย ก็อาศัยสมมติส่วนที่เราเพ่ง และสถานที่ที่เราจะเพ่งนั้นให้มีส่วนจำกัด ให้มีความตั้งใจด้วยสติจดจ่อจี้ลงในจุดนั้นๆ โดยสำนึกว่า มีความสว่างอยู่ในความสำนึกก่อน ถ้าชำนาญแล้วก็จะรู้เห็นในกายส่วนนั้นๆ เป็นธรรมชาติกำหนดที่รู้เอง ถ้าความเคยชินกำหนดรู้เห็นกายส่วนนั้นๆ อยู่ต่อไป เราก็จะกำหนดกายส่วนนั้นๆ เป็นธรรมชาติที่รู้เอง ถ้าความเคยชินรู้เห็นกายส่วนนั้นอยู่ ต่อไปเราจะกำหนดให้เห็นกายส่วนนั้นๆ เน่าเปื่อยไปทั้งตัวก็ได้ หรือกำหนดให้หลุดออกไปให้เห็นโครงกระดูกก็ได้ ต่อไปก็จะเป็นพื้นฐานได้ดี
การกำหนดดูกายเพ่งกาย ก็เพื่อให้กายได้ตั้งอยู่ในกายส่วนนั้นๆ เพื่อให้ใจได้มีหลัก เหมือนนกที่บินอยู่ในอากาศก็จำเป็นต้องหาต้นไม้เป็นที่จับ เพื่อได้พักผ่อนเอากำลังใจก็เหมือนกัน ก็ต้องหากายส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่ของใจ และมีสติกำหนดรู้ในกายส่วนนั้นๆ ใจก็จะไม่ได้คิดนี้เหมือนกับที่เคยเป็นมา
วิธีที่ ๓ ให้ตั้งใจโดยมีสติกำหนดรู้ภายในส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นนิมิตเครื่องหมาย จะเป็นกายส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ กายส่วนไหนที่เรามีความถนัดใจเพ่งดูได้ง่าย ให้เอากายส่วนนั้นเป็นจุดยืนของสติ ให้สติกับผู้รู้ติดอยู่กับสตินั้นๆ อย่าให้เผลอ ถึงลมหายใจหรือคำบริกรรมมีอยู่ก็ให้ก็ให้เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น ถ้าเราไปจดจ่อที่ลมหายใจและคำบริกรรมแล้ว กายส่วนที่เราเพ่งดูอยู่นั้นก็จะเลือนลางไป ใจก็จะเขวจากกายที่เพ่งอยู่นั้นไป ใจก็จะไม่อยู่ในกายส่วนนั้นเลย
ฉะนั้นจึงให้สติกับผู้รู้ เพ่งดูกายส่วนนั้นอย่างใกล้ชิด จะเป็นตำหนิแผลเก่าๆ ก็ได้ จะเป็นส่วนด้านหน้าหรือส่วนด้านหลังก็ให้เราเลือกหาเอง เพื่อไม่ให้มีความขัดข้องหรือความรู้สึกภายในใจ ครั้งแรกก็ให้เราสมมติรู้ ตามสีสันและลักษณะกายส่วนนั้นๆ ตามความเป็นจริงว่ามีลักษณะนั้นๆ ส่วนหนังที่เป็นที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก ถ้าเรากำหนดดูให้รู้เห็นทั้งหมดนั้นไม่ได้ ก็เพราะว่าความตั้งใจและสติเรายังอ่อน
ฉะนั้น จึงให้กำหนดดูบางส่วน จะเป็นส่วนเล็กๆ ก็ได้ เพื่อให้ใจจดจ่อรู้เห็นในที่แห่งเดียว ให้เหมือนกันกับที่เราเอาเส้นด้ายสอดเข้ารูเข็ม ถ้าเราไม่ใช้สายตาเพ่งดู ก็จะไม่เห็นรูเข็มปลายเส้นด้ายนั้นเลย และไม่มีทางที่จะสอดด้ายเข้ารูเข็มได้ ถ้าหากเราใช้สายตาจดจ่อกับรูเข็ม และปลายเส้นด้ายแล้ว เราก็จะสอดด้ายเข้ารูเข็มได้ทันทีนี้ฉันใด
การเพ่งดูกาย ก็อาศัยสมมติส่วนที่เราเพ่ง และสถานที่ที่เราจะเพ่งนั้นให้มีส่วนจำกัด ให้มีความตั้งใจด้วยสติจดจ่อจี้ลงในจุดนั้นๆ โดยสำนึกว่า มีความสว่างอยู่ในความสำนึกก่อน ถ้าชำนาญแล้วก็จะรู้เห็นในกายส่วนนั้นๆ เป็นธรรมชาติกำหนดที่รู้เอง ถ้าความเคยชินกำหนดรู้เห็นกายส่วนนั้นๆ อยู่ต่อไป เราก็จะกำหนดกายส่วนนั้นๆ เป็นธรรมชาติที่รู้เอง ถ้าความเคยชินรู้เห็นกายส่วนนั้นอยู่ ต่อไปเราจะกำหนดให้เห็นกายส่วนนั้นๆ เน่าเปื่อยไปทั้งตัวก็ได้ หรือกำหนดให้หลุดออกไปให้เห็นโครงกระดูกก็ได้ ต่อไปก็จะเป็นพื้นฐานได้ดี
การกำหนดดูกายเพ่งกาย ก็เพื่อให้กายได้ตั้งอยู่ในกายส่วนนั้นๆ เพื่อให้ใจได้มีหลัก เหมือนนกที่บินอยู่ในอากาศก็จำเป็นต้องหาต้นไม้เป็นที่จับ เพื่อได้พักผ่อนเอากำลังใจก็เหมือนกัน ก็ต้องหากายส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่ของใจ และมีสติกำหนดรู้ในกายส่วนนั้นๆ ใจก็จะไม่ได้คิดนี้เหมือนกับที่เคยเป็นมา
วิธีนั่งสมาธิ ตอนที่๒
วิธีนั่งสมาธิ วิธีที่ ๒
วิธีที่ ๒ เราตัดคำบริกรรม คือพุทโธออก ให้เหลือเพียงความตั้งใจอันมีสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ลมหายใจหยาบก็รู้ว่าลมหายใจหยาบและกำหนดรู้ลมหายใจหยาบๆ นั้นต่อไป จนกว่าลมหายใจจะมีความละเอียด เมื่อลมหายใจมีความละเอียดก็รู้ว่าลมหายใจมีความละเอียด และตั้งใจต่อไปจนกว่าลมหายใจจะมีความละเอียดเต็มที่ นี้แลเรียกว่า เอกัคตารมณ์ คืออารมณ์เป็นหนึ่ง
เมื่อเรากำหนดลมหายใจละเอียดอยู่อย่างนี้ ก็แสดงว่าใจเรามีความละเอียดไปตามๆ กันด้วย ลมมีความละเอียดก็เพราะใจเรามีความละเอียด ลมก็มีความละเอียดไปตามๆ กัน ความละเอียดของใจ ความละเอียดของลมหายใจมาบรรจบกันเมื่อไร เมื่อนั้นรัศมีทางกายก็จะแสดงตัวทางกายในลักษณะต่างๆ กัน เช่น ปรากฏร่างกายเราใหญ่ขึ้น พองขึ้นผิดปกติธรรมดา เช่น ขาแขนลำตัวศีรษะก็ใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ เหมือนกับจะนั่งอยู่ที่ไหนตัวก็จะใหญ่อยู่ที่นั้น
ถ้าหากปรากฏว่ากายใหญ่ๆ ขึ้นดังกล่าว ก็ให้เราตั้งสติความกำหนดรู้ลมหายใจละเอียดนั้น อย่าให้เผลอ ไม่นานประมาณ ๕ นาที อาการความใหญ่ขึ้นทุกส่วนก็จะหายไปเอง บางทีนั่งภาวนาอยู่ปรากฏว่าสูงขึ้นๆ บางทีก็ปรากฏว่าเตี้ยลงๆ บางทีก็ปรากฏว่ากายหมุนตัว บางทีก็ปรากฏว่าเอนไปข้างนั้น และเอนไปข้างนี้ ทั้งๆ ที่เรายังมีสตินั่นเอง จะปรากฏว่ากายเรามีลักษณะใดก็ตาม นั่นคืออาการของใจ ที่แสดงออกมาทางกายเท่านั้น มันเกิดขึ้นเองและดับไปเอง บางครั้งก็จะปรากฏว่า ลมหายใจเล็กเข้าทุกทีๆ การหายใจก็จะปรากฏว่าหายใจสั้นเข้าทุกทีๆ ถ้าผู้กลัวตายก็จะถอนจากสมาธิทันที
ถ้าเป็นเช่นนี้ เราไม่ต้องกลัวนั่นแหละ คือใจเรากำลังลงสู่ความสงบเต็มที่ ขอให้เรามีสติกำหนดรู้ลมหายใจเล็กๆ นั้นไว้อย่าให้เผลอ ลมหายใจจะเล็กก็รู้ว่าลมหายใจเล็ก ลมหายใจสั้นก็รู้ว่าลมหายใจสั้นและมีสติกำหนดรู้ จนกว่าลมหายใจจะหมดไปในวาระสุดท้าย เมื่อลมหายใจหมดไปแล้ว ก็จะไม่รู้ตนเองว่าเราอยู่อย่างไรเพราะกายไม่มี แต่ก็รู้อยู่เฉยๆ เท่านั้น
บางครั้งก็อาจจะเกิดแสงสว่างรอบตัวอย่างกว้างขวาง คำว่าตัวนั้นหมายถึงผู้รู้ในตัวนั่นเอง แต่ไม่ปรากฏว่ามีกายเลยในขณะนั้น แต่เป็นธรรมชาติรู้และสว่างรอบด้าน ความเบาใจ ความสว่างภายในใจ ก็จะเจิดจ้าแพรวพราว ก็น่าอัศจรรย์ใจมาก เราจะหาสิ่งใดในโลกนี้ไม่ได้เลย และมีความสุขสงบอย่างนี้ประมาณ ๑๐ นาที ก็จะถอนตัวออกมาหายใจธรรมดา ความสุขก็จะเกิดขึ้นที่ใจ ไม่มีความสุขใดในโลกนี้เสมอเหมือนความเบากายความเบาใจ และความสุขกายสุขใจแทบตัวจะลอย
ถ้าเป็นในลักษณะความสงบเช่นนี้ ถ้าผู้ไม่เคยคิดพิจารณาด้วยปัญญามาก่อนแล้ว ก็อยากจะอยู่ในความสุขนี้ต่อไป ถ้าใครเคยคิดพิจารณามาก่อนแล้ว ความสงบนี้ก็จะเป็นพื้นฐานของปัญญาได้เป็นอย่างดี และไม่ติดอยู่ในความสงบนี้เลย สมาธิคือความสงบนี้เอง ก็จะเป็นกำลังอุดหนุนปัญญาให้พิจารณาอย่างรวดเร็ว
และขอย้ำเพื่อทำความเข้าใจกับผู้อ่านสักนิด ขณะนี้ท่านเป็นผู้ปฏิบัติและมีความมุ่งหวังและตั้งใจว่า เมื่อจิตมีความสงบเต็มที่แล้ว จะมีปัญญาเกิดขึ้นเพื่อจะพิจารณาธรรมต่อไป ใครๆ ก็มุ่งหวังปัญญา จึงได้ตั้งหน้าตั้งใจทำสมาธิหวังความสงบเพื่อคอยให้ปัญญาเกิดขึ้น ผู้ที่ไม่เคยพิจารณาในแง่ธรรมต่างๆ มาก่อน ถึงจะทำความสงบนั้นก็ทำได้ แต่สายทางความสงบของผู้ที่มีปัญญามาก่อนถึงจะสงบลึกจนถึงสมาบัติ ๘ ก็ตาม ผลที่ได้รับก็คือความสุขกายสุขใจ
บางทีอาจมีเครื่องเล่นคือ อภิญญาญาณ คือมีญาณหยั่งรู้ในแง่อดีต อนาคต และรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และมีจักขุญาณต่างๆ บ้าง โสตญาณบ้าง คือมองเห็นด้วยตาภายใน หูภายใน หรือแสดงฤทธิ์ในวิธีต่างๆ ได้ หรือหยั่งรู้วาระจิตของคนหรือสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้นั้นก็จะติดความรู้ในญาณของตนนั้นอย่างไม่รู้ตัว ญาณดังกล่าวนี้ก็จะทำให้คิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ง่ายที่สุด เพราะเชื่อในญาณของตัวเอง
เช่นในครั้งพุทธกาลมีพระ ๓๐ รูปไปเจริญสมถะเพื่อความสงบ เมื่อจิตมีความสงบเต็มที่แล้ว ก็มีความสุขกาย และสุขใจ และรักษาความสงบนั้นติดต่อกันได้หลายวัน ก็มาคิดว่าพวกเราหมด กิเลส ตัณหา อวิชชาแล้ว พวกเราได้ถึงขั้นพระอรหันต์แล้ว เพราะราคะตัณหาพวกเราไม่มี ไปเถอะ ไปกราบนมัสการพระพุทธเจ้าเพื่อจะรับคำพยากรณ์แล้วพากันเดินเข้ามาจวนจะเข้าวัด
พระพุทธเจ้าได้กล่าวกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงไปบอกกับภิกษุ ๓๐ รูปนั้นให้เข้าไปพักกับป่าช้าก่อน ภิกษุทั้ง ๓๐ รูปนั้นก็พากันเข้าไปในป่าช้านั้นๆ เมื่อเขาเข้าไปก็บังเอิญพบกับหญิงตายหงายท้องแบบสดๆ ร้อนๆ เหมือนกับอาการนอนหลับ ผ้าชิ้นหนึ่งจะปกปิดร่างกายก็ไม่มี พระทั้ง ๓๐ รูป นั้นก็กรูเข้าไปรุมล้อมด้วยความอยากเห็น ต่างองค์ก็ต่างดูต่างองค์ก็ต่างคิดไปในอารมณ์แห่งความใคร่ ความกำหนัด ไฟของราคะจึงเกิดขึ้นภายในใจจนถึงขีดแดง ผลที่สุดอรหันต์ที่พากันคิดเอาเองก็แสดงตัวร้องโวยวายขึ้นทันทีว่า พวกเรายังมี ราคะ ตัณหา อวิชชาอยู่ จากนั้นก็พากันเจริญด้วยปัญญา พิจารณาด้วยกฎแห่งไตรลักษณ์ พิจารณาไปพิจารณามาด้วยปัญญาธรรมดา เมื่อใจเห็นจริงตามปัญญานี้แล้ว วิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้น ผลที่สุดก็บรรลุอยู่ในป่าช้านั้นเอง
เห็นไหมละท่าน สมาธิคือความสงบนั้นก็ทำให้เราเข้าใจผิดได้ นี้ในครั้งสมัยที่มีพระพุทธเจ้า ก็ยังมีนักปฏิบัติที่มีความเข้าใจผิด ในผลการปฏิบัติในสมถะมาแล้วเป็นจำนวนมากทีเดียว เพราะความสงบนี้ ถ้าไม่มีครูอาจารย์องค์ที่ท่านผ่านไปแล้วเข้าแก้ไขก็ผิดได้ง่ายเหมือนกัน และติดในสมถะโดยไม่มีทางออก ถ้าในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้ามีผู้ภาวนาเป็นเหมือนภิกษุ ๓๐ รูปแล้ว ก็จะไม่มีใครๆ เข้าแก้ไขได้เลย และก็จะเป็นอรหันต์ดิบอย่างนั้นต่อไปจนถึงวันตาย
เพราะในสมัยนี้ไม่มีซากศพแบบสดๆ ร้อนๆ นอนอยู่ตามป่าช้าเลย จำเป็นต้องทำความสงบต่อไปเรื่อยๆ พากันนั่งคอย นอนคอยตัวปัญญาให้เกิดขึ้นในใจ นับตั้งแต่วันปฏิบัติมาถึงเดี๋ยวนี้ ทำไมปัญญาจึงไม่เกิดขึ้นกับเราหนอ พากันบ่นแล้วบ่นอีก คอยปัญญาแล้วปัญญาอีก ทำความสงบแล้วความสงบอีก สงบลึกเท่าไรก็ไม่ปัญญา จนนักภาวนาเกิดความอ่อนใจ ฉะนั้น ขอให้คิดสักนิดเพื่อได้พิจารณาว่า ในครั้งพุทธกาลที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่ก็ตาม ในสมัยนั้นมีใครบ้าง องค์ไหนบ้าง ที่ทำสมาธิมีความสงบไปหน้าเดียว และได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ นอกจากจะเป็นดังพระ ๓๐ รูปที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งนั้น
ถ้าหากพิจารณาหวนกลับความเป็นพระอริยะเจ้าของพระอรหันต์ที่เป็นมา ทุกองค์ก็ล้วนแล้วมีปัญญามาก่อนแล้วทั้งนั้น ในสมัยนี้ก็มีครูอาจารย์ที่มีความบริสุทธิ์ใจ อันดับแรกท่านก็พิจารณาด้วยปัญญามาก่อน แล้วจึงทำความสงบ เมื่อจิตถอนออกจากความสงบแล้ว ก็ตั้งใจคิดพิจารณาไปตามสรรพธรรม สรรพสังขารทุกชนิดให้เป็นไปตาม ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่ใช่ว่าจะมัวมานั่งคอยนอนคอยให้มีปัญญาเกิดขึ้นเหมือนกับเราเลย มันจึงไกลกันเหมือนฟ้ากับดิน หรือเหมือนกับเราขุดดินเตรียมหลุมมะพร้าวเสร็จแล้ว จะมัวมานั่งคอยนอนคอยให้ต้นมะพร้าวเกิดขึ้นจากหลุมนั้น มันจะเป็นไปได้หรือ ผลไม้ทุกอย่าง ต้นไม้ทุกชนิดที่เราต้องการจะให้มันเกิดขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ต้องหาเชื้อมาปลูกเอง มันจะเกิดขึ้นได้ไหม นี้เพียงให้ข้อคิดนิดเดียวเท่านั้น
วิธีที่ ๒ เราตัดคำบริกรรม คือพุทโธออก ให้เหลือเพียงความตั้งใจอันมีสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ลมหายใจหยาบก็รู้ว่าลมหายใจหยาบและกำหนดรู้ลมหายใจหยาบๆ นั้นต่อไป จนกว่าลมหายใจจะมีความละเอียด เมื่อลมหายใจมีความละเอียดก็รู้ว่าลมหายใจมีความละเอียด และตั้งใจต่อไปจนกว่าลมหายใจจะมีความละเอียดเต็มที่ นี้แลเรียกว่า เอกัคตารมณ์ คืออารมณ์เป็นหนึ่ง
เมื่อเรากำหนดลมหายใจละเอียดอยู่อย่างนี้ ก็แสดงว่าใจเรามีความละเอียดไปตามๆ กันด้วย ลมมีความละเอียดก็เพราะใจเรามีความละเอียด ลมก็มีความละเอียดไปตามๆ กัน ความละเอียดของใจ ความละเอียดของลมหายใจมาบรรจบกันเมื่อไร เมื่อนั้นรัศมีทางกายก็จะแสดงตัวทางกายในลักษณะต่างๆ กัน เช่น ปรากฏร่างกายเราใหญ่ขึ้น พองขึ้นผิดปกติธรรมดา เช่น ขาแขนลำตัวศีรษะก็ใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ เหมือนกับจะนั่งอยู่ที่ไหนตัวก็จะใหญ่อยู่ที่นั้น
ถ้าหากปรากฏว่ากายใหญ่ๆ ขึ้นดังกล่าว ก็ให้เราตั้งสติความกำหนดรู้ลมหายใจละเอียดนั้น อย่าให้เผลอ ไม่นานประมาณ ๕ นาที อาการความใหญ่ขึ้นทุกส่วนก็จะหายไปเอง บางทีนั่งภาวนาอยู่ปรากฏว่าสูงขึ้นๆ บางทีก็ปรากฏว่าเตี้ยลงๆ บางทีก็ปรากฏว่ากายหมุนตัว บางทีก็ปรากฏว่าเอนไปข้างนั้น และเอนไปข้างนี้ ทั้งๆ ที่เรายังมีสตินั่นเอง จะปรากฏว่ากายเรามีลักษณะใดก็ตาม นั่นคืออาการของใจ ที่แสดงออกมาทางกายเท่านั้น มันเกิดขึ้นเองและดับไปเอง บางครั้งก็จะปรากฏว่า ลมหายใจเล็กเข้าทุกทีๆ การหายใจก็จะปรากฏว่าหายใจสั้นเข้าทุกทีๆ ถ้าผู้กลัวตายก็จะถอนจากสมาธิทันที
ถ้าเป็นเช่นนี้ เราไม่ต้องกลัวนั่นแหละ คือใจเรากำลังลงสู่ความสงบเต็มที่ ขอให้เรามีสติกำหนดรู้ลมหายใจเล็กๆ นั้นไว้อย่าให้เผลอ ลมหายใจจะเล็กก็รู้ว่าลมหายใจเล็ก ลมหายใจสั้นก็รู้ว่าลมหายใจสั้นและมีสติกำหนดรู้ จนกว่าลมหายใจจะหมดไปในวาระสุดท้าย เมื่อลมหายใจหมดไปแล้ว ก็จะไม่รู้ตนเองว่าเราอยู่อย่างไรเพราะกายไม่มี แต่ก็รู้อยู่เฉยๆ เท่านั้น
บางครั้งก็อาจจะเกิดแสงสว่างรอบตัวอย่างกว้างขวาง คำว่าตัวนั้นหมายถึงผู้รู้ในตัวนั่นเอง แต่ไม่ปรากฏว่ามีกายเลยในขณะนั้น แต่เป็นธรรมชาติรู้และสว่างรอบด้าน ความเบาใจ ความสว่างภายในใจ ก็จะเจิดจ้าแพรวพราว ก็น่าอัศจรรย์ใจมาก เราจะหาสิ่งใดในโลกนี้ไม่ได้เลย และมีความสุขสงบอย่างนี้ประมาณ ๑๐ นาที ก็จะถอนตัวออกมาหายใจธรรมดา ความสุขก็จะเกิดขึ้นที่ใจ ไม่มีความสุขใดในโลกนี้เสมอเหมือนความเบากายความเบาใจ และความสุขกายสุขใจแทบตัวจะลอย
ถ้าเป็นในลักษณะความสงบเช่นนี้ ถ้าผู้ไม่เคยคิดพิจารณาด้วยปัญญามาก่อนแล้ว ก็อยากจะอยู่ในความสุขนี้ต่อไป ถ้าใครเคยคิดพิจารณามาก่อนแล้ว ความสงบนี้ก็จะเป็นพื้นฐานของปัญญาได้เป็นอย่างดี และไม่ติดอยู่ในความสงบนี้เลย สมาธิคือความสงบนี้เอง ก็จะเป็นกำลังอุดหนุนปัญญาให้พิจารณาอย่างรวดเร็ว
และขอย้ำเพื่อทำความเข้าใจกับผู้อ่านสักนิด ขณะนี้ท่านเป็นผู้ปฏิบัติและมีความมุ่งหวังและตั้งใจว่า เมื่อจิตมีความสงบเต็มที่แล้ว จะมีปัญญาเกิดขึ้นเพื่อจะพิจารณาธรรมต่อไป ใครๆ ก็มุ่งหวังปัญญา จึงได้ตั้งหน้าตั้งใจทำสมาธิหวังความสงบเพื่อคอยให้ปัญญาเกิดขึ้น ผู้ที่ไม่เคยพิจารณาในแง่ธรรมต่างๆ มาก่อน ถึงจะทำความสงบนั้นก็ทำได้ แต่สายทางความสงบของผู้ที่มีปัญญามาก่อนถึงจะสงบลึกจนถึงสมาบัติ ๘ ก็ตาม ผลที่ได้รับก็คือความสุขกายสุขใจ
บางทีอาจมีเครื่องเล่นคือ อภิญญาญาณ คือมีญาณหยั่งรู้ในแง่อดีต อนาคต และรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และมีจักขุญาณต่างๆ บ้าง โสตญาณบ้าง คือมองเห็นด้วยตาภายใน หูภายใน หรือแสดงฤทธิ์ในวิธีต่างๆ ได้ หรือหยั่งรู้วาระจิตของคนหรือสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้นั้นก็จะติดความรู้ในญาณของตนนั้นอย่างไม่รู้ตัว ญาณดังกล่าวนี้ก็จะทำให้คิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ง่ายที่สุด เพราะเชื่อในญาณของตัวเอง
เช่นในครั้งพุทธกาลมีพระ ๓๐ รูปไปเจริญสมถะเพื่อความสงบ เมื่อจิตมีความสงบเต็มที่แล้ว ก็มีความสุขกาย และสุขใจ และรักษาความสงบนั้นติดต่อกันได้หลายวัน ก็มาคิดว่าพวกเราหมด กิเลส ตัณหา อวิชชาแล้ว พวกเราได้ถึงขั้นพระอรหันต์แล้ว เพราะราคะตัณหาพวกเราไม่มี ไปเถอะ ไปกราบนมัสการพระพุทธเจ้าเพื่อจะรับคำพยากรณ์แล้วพากันเดินเข้ามาจวนจะเข้าวัด
พระพุทธเจ้าได้กล่าวกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงไปบอกกับภิกษุ ๓๐ รูปนั้นให้เข้าไปพักกับป่าช้าก่อน ภิกษุทั้ง ๓๐ รูปนั้นก็พากันเข้าไปในป่าช้านั้นๆ เมื่อเขาเข้าไปก็บังเอิญพบกับหญิงตายหงายท้องแบบสดๆ ร้อนๆ เหมือนกับอาการนอนหลับ ผ้าชิ้นหนึ่งจะปกปิดร่างกายก็ไม่มี พระทั้ง ๓๐ รูป นั้นก็กรูเข้าไปรุมล้อมด้วยความอยากเห็น ต่างองค์ก็ต่างดูต่างองค์ก็ต่างคิดไปในอารมณ์แห่งความใคร่ ความกำหนัด ไฟของราคะจึงเกิดขึ้นภายในใจจนถึงขีดแดง ผลที่สุดอรหันต์ที่พากันคิดเอาเองก็แสดงตัวร้องโวยวายขึ้นทันทีว่า พวกเรายังมี ราคะ ตัณหา อวิชชาอยู่ จากนั้นก็พากันเจริญด้วยปัญญา พิจารณาด้วยกฎแห่งไตรลักษณ์ พิจารณาไปพิจารณามาด้วยปัญญาธรรมดา เมื่อใจเห็นจริงตามปัญญานี้แล้ว วิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้น ผลที่สุดก็บรรลุอยู่ในป่าช้านั้นเอง
เห็นไหมละท่าน สมาธิคือความสงบนั้นก็ทำให้เราเข้าใจผิดได้ นี้ในครั้งสมัยที่มีพระพุทธเจ้า ก็ยังมีนักปฏิบัติที่มีความเข้าใจผิด ในผลการปฏิบัติในสมถะมาแล้วเป็นจำนวนมากทีเดียว เพราะความสงบนี้ ถ้าไม่มีครูอาจารย์องค์ที่ท่านผ่านไปแล้วเข้าแก้ไขก็ผิดได้ง่ายเหมือนกัน และติดในสมถะโดยไม่มีทางออก ถ้าในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้ามีผู้ภาวนาเป็นเหมือนภิกษุ ๓๐ รูปแล้ว ก็จะไม่มีใครๆ เข้าแก้ไขได้เลย และก็จะเป็นอรหันต์ดิบอย่างนั้นต่อไปจนถึงวันตาย
เพราะในสมัยนี้ไม่มีซากศพแบบสดๆ ร้อนๆ นอนอยู่ตามป่าช้าเลย จำเป็นต้องทำความสงบต่อไปเรื่อยๆ พากันนั่งคอย นอนคอยตัวปัญญาให้เกิดขึ้นในใจ นับตั้งแต่วันปฏิบัติมาถึงเดี๋ยวนี้ ทำไมปัญญาจึงไม่เกิดขึ้นกับเราหนอ พากันบ่นแล้วบ่นอีก คอยปัญญาแล้วปัญญาอีก ทำความสงบแล้วความสงบอีก สงบลึกเท่าไรก็ไม่ปัญญา จนนักภาวนาเกิดความอ่อนใจ ฉะนั้น ขอให้คิดสักนิดเพื่อได้พิจารณาว่า ในครั้งพุทธกาลที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่ก็ตาม ในสมัยนั้นมีใครบ้าง องค์ไหนบ้าง ที่ทำสมาธิมีความสงบไปหน้าเดียว และได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ นอกจากจะเป็นดังพระ ๓๐ รูปที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งนั้น
ถ้าหากพิจารณาหวนกลับความเป็นพระอริยะเจ้าของพระอรหันต์ที่เป็นมา ทุกองค์ก็ล้วนแล้วมีปัญญามาก่อนแล้วทั้งนั้น ในสมัยนี้ก็มีครูอาจารย์ที่มีความบริสุทธิ์ใจ อันดับแรกท่านก็พิจารณาด้วยปัญญามาก่อน แล้วจึงทำความสงบ เมื่อจิตถอนออกจากความสงบแล้ว ก็ตั้งใจคิดพิจารณาไปตามสรรพธรรม สรรพสังขารทุกชนิดให้เป็นไปตาม ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่ใช่ว่าจะมัวมานั่งคอยนอนคอยให้มีปัญญาเกิดขึ้นเหมือนกับเราเลย มันจึงไกลกันเหมือนฟ้ากับดิน หรือเหมือนกับเราขุดดินเตรียมหลุมมะพร้าวเสร็จแล้ว จะมัวมานั่งคอยนอนคอยให้ต้นมะพร้าวเกิดขึ้นจากหลุมนั้น มันจะเป็นไปได้หรือ ผลไม้ทุกอย่าง ต้นไม้ทุกชนิดที่เราต้องการจะให้มันเกิดขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ต้องหาเชื้อมาปลูกเอง มันจะเกิดขึ้นได้ไหม นี้เพียงให้ข้อคิดนิดเดียวเท่านั้น
วิธีนั่งสมาธิ ตอนที่๑
๏ วิธีนั่งสมาธิ
วิธีนั่งสมาธิ วิธีที่ ๑
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าเองยาวๆ นึกว่า พุท
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดปล่อยลมหายใจยาวๆ เอง นึกว่า โธ
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าเองยาวๆ นึกว่า ธัม
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดปล่อยลมหายใจยาวๆ เอง นึกว่า โม
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าเองยาวๆ นึกว่า สัง
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดปล่อยลมหายใจยาวๆ เอง นึกว่า โฆ
ให้กำหนดทำสัก ๓-๗ ครั้ง หรือมากกว่านี้ก็ได้ เพื่อเป็นอุบายให้พุทโธ ธัมโม สังโฆ มารวมกันที่ใจ ต่อไปให้กำหนดเพียงพุทโธคำเดียว ให้หายใจเป็นปกติตามที่เราหายใจอยู่ในท่าปัจจุบัน ให้มีสติกำกับคำบริกรรมและรู้เท่าทันกับลมหายใจ และให้ตั้งอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอยู่สม่ำเสมอ อย่าเผลอตัว
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าเองยาวๆ นึกว่า พุท
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดปล่อยลมหายใจยาวๆ เอง นึกว่า โธ
ในขณะใดที่เราไม่ได้ตั้งใจสูดลมหายใจเข้าเอง นึกว่า พุท แต่ลมหายใจได้ล่วงเข้าไปเสียก่อน ขณะนั้นให้รู้ตัวเองทันทีว่า ความตั้งใจเราขาด มีสติรู้ไม่ทัน หรือในขณะใดเราไม่ได้ตั้งใจปล่อยลมหายใจออกเอง พร้อมกับคำบริกรรมในขณะนั้น เราก็รู้ว่าเราเผลอสติและขาดความตั้งใจเช่นกัน ฉะนั้น จึงให้เราสูดลมหายใจเข้าเอง ให้ตั้งใจปล่อยลมหายใจออกเอง
เมี่อเราขาดความตั้งใจเมื่อไร การกำหนดดูลมหายใจก็เผลอตัวทันที และให้เราตั้งใจตั้งสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับบริกรรมเอง และตั้งสติปล่อยลมหายใจออกเอง พร้อมทั้งคำบริกรรมจนกว่าความตั้งใจการตั้งสติมีความชำนาญ ถ้าชำนาญแล้ว สติกับผู้รู้และลมหายใจ กับคำบริกรรมก็จะรู้เท่าทันกันเอง นี้เป็นวิธีที่ฝึกสติแบบรัดกุม
ถ้าเราเผลอตัวเมื่อไรก็จะรู้ตัวทันที ทีแรกก็รู้สึกอยู่ว่าทำยากอยู่บ้าง แต่ก็ต้องฝึกกันบ่อยๆ เมื่อชำนาญแล้วก็จะเป็นธรรมดา การนั่งสมาธิภาวนาทุกครั้งก็จะคล่องตัวเพราะความเคยชิน นี้เป็นวิธีฝึกสติกับผู้รู้ให้เด่นโดยถือเอาลมหายใจเป็นนิมิตเครื่องหมาย เมื่อชำนาญแล้ว ต่อไปเราจะตัดคำบริกรรมออกให้เหลือเพียงความตั้งใจอันมีสติกับผู้รู้ กำหนดสูดลมหายใจปล่อยลมหายใจเข้าออกเท่านั้นเพื่อจะได้สงบลงสู่ความละเอียดต่อไป และความตั้งใจก็จะเข้มแข็งไปตามๆ กัน
วิธีนั่งสมาธิ วิธีที่ ๑
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าเองยาวๆ นึกว่า พุท
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดปล่อยลมหายใจยาวๆ เอง นึกว่า โธ
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าเองยาวๆ นึกว่า ธัม
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดปล่อยลมหายใจยาวๆ เอง นึกว่า โม
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าเองยาวๆ นึกว่า สัง
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดปล่อยลมหายใจยาวๆ เอง นึกว่า โฆ
ให้กำหนดทำสัก ๓-๗ ครั้ง หรือมากกว่านี้ก็ได้ เพื่อเป็นอุบายให้พุทโธ ธัมโม สังโฆ มารวมกันที่ใจ ต่อไปให้กำหนดเพียงพุทโธคำเดียว ให้หายใจเป็นปกติตามที่เราหายใจอยู่ในท่าปัจจุบัน ให้มีสติกำกับคำบริกรรมและรู้เท่าทันกับลมหายใจ และให้ตั้งอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอยู่สม่ำเสมอ อย่าเผลอตัว
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าเองยาวๆ นึกว่า พุท
ให้ตั้งใจอย่างมีสติ กำหนดปล่อยลมหายใจยาวๆ เอง นึกว่า โธ
ในขณะใดที่เราไม่ได้ตั้งใจสูดลมหายใจเข้าเอง นึกว่า พุท แต่ลมหายใจได้ล่วงเข้าไปเสียก่อน ขณะนั้นให้รู้ตัวเองทันทีว่า ความตั้งใจเราขาด มีสติรู้ไม่ทัน หรือในขณะใดเราไม่ได้ตั้งใจปล่อยลมหายใจออกเอง พร้อมกับคำบริกรรมในขณะนั้น เราก็รู้ว่าเราเผลอสติและขาดความตั้งใจเช่นกัน ฉะนั้น จึงให้เราสูดลมหายใจเข้าเอง ให้ตั้งใจปล่อยลมหายใจออกเอง
เมี่อเราขาดความตั้งใจเมื่อไร การกำหนดดูลมหายใจก็เผลอตัวทันที และให้เราตั้งใจตั้งสติ กำหนดสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับบริกรรมเอง และตั้งสติปล่อยลมหายใจออกเอง พร้อมทั้งคำบริกรรมจนกว่าความตั้งใจการตั้งสติมีความชำนาญ ถ้าชำนาญแล้ว สติกับผู้รู้และลมหายใจ กับคำบริกรรมก็จะรู้เท่าทันกันเอง นี้เป็นวิธีที่ฝึกสติแบบรัดกุม
ถ้าเราเผลอตัวเมื่อไรก็จะรู้ตัวทันที ทีแรกก็รู้สึกอยู่ว่าทำยากอยู่บ้าง แต่ก็ต้องฝึกกันบ่อยๆ เมื่อชำนาญแล้วก็จะเป็นธรรมดา การนั่งสมาธิภาวนาทุกครั้งก็จะคล่องตัวเพราะความเคยชิน นี้เป็นวิธีฝึกสติกับผู้รู้ให้เด่นโดยถือเอาลมหายใจเป็นนิมิตเครื่องหมาย เมื่อชำนาญแล้ว ต่อไปเราจะตัดคำบริกรรมออกให้เหลือเพียงความตั้งใจอันมีสติกับผู้รู้ กำหนดสูดลมหายใจปล่อยลมหายใจเข้าออกเท่านั้นเพื่อจะได้สงบลงสู่ความละเอียดต่อไป และความตั้งใจก็จะเข้มแข็งไปตามๆ กัน
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
น้ำมันกับน้ำ พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
น้ำมันกับน้ำ
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
น้ำมันกับน้ำท่ามันต่างกัน
เหมือนกับคนฉลาดก็ต่างกับคนโง่
พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่กับ เสียง รูป กลิ่น รส โผฏะฐัพพะ ธรรมารมณ์
แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์
พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่ง "สักว่า" เท่านั้น
พระองค์ทรงปล่อยวางมันไปเรื่อย
ตั้งแต่ทรงเข้าพระทัยแล้วว่า
ใจก็สักว่าใจ
ความคิดก็สักว่าความคิด
พระองค์ไม่ทรงเอามันมาปนกัน
ถ้าคิดได้รู้สึกได้อย่างนี้
เราก็จะแยกมันได้
ความคิด ความรู้สึก อยู่ทางหนึ่ง
ใจก็อยู่อีกทางหนึ่ง
เหมือนกับน้ำมันกับน้ำท่าที่อยู่ในขวดเดียวกัน
แต่มันแยกกันอยู่
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
น้ำมันกับน้ำท่ามันต่างกัน
เหมือนกับคนฉลาดก็ต่างกับคนโง่
พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่กับ เสียง รูป กลิ่น รส โผฏะฐัพพะ ธรรมารมณ์
แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์
พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่ง "สักว่า" เท่านั้น
พระองค์ทรงปล่อยวางมันไปเรื่อย
ตั้งแต่ทรงเข้าพระทัยแล้วว่า
ใจก็สักว่าใจ
ความคิดก็สักว่าความคิด
พระองค์ไม่ทรงเอามันมาปนกัน
ถ้าคิดได้รู้สึกได้อย่างนี้
เราก็จะแยกมันได้
ความคิด ความรู้สึก อยู่ทางหนึ่ง
ใจก็อยู่อีกทางหนึ่ง
เหมือนกับน้ำมันกับน้ำท่าที่อยู่ในขวดเดียวกัน
แต่มันแยกกันอยู่
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
นิทานก่อนนอน:พระจันทร์กับดวงดาว
นานมาแล้ว..สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง
มีดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิง ..
กับอีกดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย
และดวงจันทร์ทั้งสองดวงนี้ ต่างก็รักกันมาก
ดวงจันทร์ทั้งสองไม่เคยแยกห่างจากกัน..
ทุกๆคืนเมื่อมองไปบนฟ้า จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่
อยู่เคียงข้างกันเสมอ..
แต่แล้ววันหนึ่ง ดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์..
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์
จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไปทีละน้อย ทีละน้อย
และก็แยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด
เมื่อค่ำคืนมาถึง.. จึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่
เพียงดวงเดียว ดวงจันทร์ผู้ชายก็ได้แต่ตามหา
ดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง ..
คืนแล้วคืนเล่าผ่านไป
แต่ดวงจันทร์ผู้ชายก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงได้พบ..
.....
ด้วยความคิดถึง และอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงให้เร็วที่สุด
ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า
"หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้ คงไม่ได้เจอแน่ๆ"
จึงตัดสินใจ.. ระเบิดตัวเอง เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ไปทั่วทั้งจักรวาล เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น
ออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งนั้น....
.....
เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิง
ได้เห็นถึงความจริงว่า..แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้า
สวยงามสักปานใด แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้า
แต่เพียงเธอเท่านั้น ยังส่องแสงไปยังดาวดวงอื่นๆอีกมากมาย
ดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง...
....
แต่หาเท่าไรก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ
ต่อมาจึงได้รู้ว่า ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเอง
เพียงเพื่อตามหาตน จนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอ
กับดวงจันทร์ผู้ชายอีกต่อไปแล้ว
จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจ
....
แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชาย
มีต่อดวงจันทร์ผู้หญิง ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสง
ที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตน
ส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง
เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้า เคียงข้างดวงจันทร์
จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาว
ให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้
....
หากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
วันไหนที่เห็นจันทร์สวยสด
วันนั้น คุณก็จะไม่เห็นดาวดวงเล็กดวงน้อยส่องแสง
หรือ วันใดคุณเห็นดาวเปล่งประกายเต็มฟ้ามืด
วันนั้น คุณก็จะไม่พบดวงจันทร์....
มีดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิง ..
กับอีกดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย
และดวงจันทร์ทั้งสองดวงนี้ ต่างก็รักกันมาก
ดวงจันทร์ทั้งสองไม่เคยแยกห่างจากกัน..
ทุกๆคืนเมื่อมองไปบนฟ้า จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่
อยู่เคียงข้างกันเสมอ..
แต่แล้ววันหนึ่ง ดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์..
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์
จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไปทีละน้อย ทีละน้อย
และก็แยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด
เมื่อค่ำคืนมาถึง.. จึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่
เพียงดวงเดียว ดวงจันทร์ผู้ชายก็ได้แต่ตามหา
ดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง ..
คืนแล้วคืนเล่าผ่านไป
แต่ดวงจันทร์ผู้ชายก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงได้พบ..
.....
ด้วยความคิดถึง และอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงให้เร็วที่สุด
ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า
"หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้ คงไม่ได้เจอแน่ๆ"
จึงตัดสินใจ.. ระเบิดตัวเอง เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ไปทั่วทั้งจักรวาล เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น
ออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งนั้น....
.....
เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิง
ได้เห็นถึงความจริงว่า..แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้า
สวยงามสักปานใด แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้า
แต่เพียงเธอเท่านั้น ยังส่องแสงไปยังดาวดวงอื่นๆอีกมากมาย
ดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง...
....
แต่หาเท่าไรก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ
ต่อมาจึงได้รู้ว่า ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเอง
เพียงเพื่อตามหาตน จนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอ
กับดวงจันทร์ผู้ชายอีกต่อไปแล้ว
จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจ
....
แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชาย
มีต่อดวงจันทร์ผู้หญิง ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสง
ที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตน
ส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง
เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้า เคียงข้างดวงจันทร์
จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาว
ให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้
....
หากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
วันไหนที่เห็นจันทร์สวยสด
วันนั้น คุณก็จะไม่เห็นดาวดวงเล็กดวงน้อยส่องแสง
หรือ วันใดคุณเห็นดาวเปล่งประกายเต็มฟ้ามืด
วันนั้น คุณก็จะไม่พบดวงจันทร์....
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)