วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
หวานๆ
ข - เ ข้ า ใ จ เ ร า
ค - ค อ ย เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ใ ห้ เ ร า
ง - ง้ อ เ ร า เ มื่ อ รู้ ตั ว ว่ า เ ข า ผิ ด
จ - จั บ มื อ เ ร า เ มื่ อ ต้ อ ง ก า ร กำ ลั ง ใ จ
...ฉ - เ ฉ ย กั บ ค ว า ม ใ จ ร้ อ น ข อ ง เ ร า
ช - ช่ ว ย เ ห ลื อ เ ร า
ซ - ซื่ อ สั ต ย์ กั บ เ ร า ญ า ติ ดี กั บ เ ร า เ ส ม อ
ด - เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง เ ร า
ต - ติ ด ต า ม ข่ า ว ค ร า ว ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง เ ร า
ถ - ไ ถ่ ถ า ม ทุ ก ข์ สุ ข
วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ถอดใจความแห่งอภินิหารในเวลาประสูติ
๑. ครั้งเข้าสู่พระครรภ์ปรากฏแก่พระมารดาในสุบิน (ความฝัน) ดุจพระยาช้างเผือก แสดงถึงการอุบัติขึ้นแห่งบุคคลสำคัญคือพระมหาบุรุษของโลก ให้เกิดความยินดีทั่วหน้า.
๒. เสด็จอยู่ในพระครรภ์ ไม่แปดเปื้อนมลทิน ทรงนั่งขัดสมาธิเสด็จออกขณะพระมารดาประทับยืน แสดงถึงการดำรงฆราวาส ไม่หลงเพลิดเพลินในกามคุณ ได้ทรงทำกิจที่ควรทำ, มีพระเกียรติปรากฏเสด็จออกบรรพชาด้วยปรารถนาอันดี.
๓. พอประสูติแล้วมีเทวบุตรมารับ ท่อน้ำร้อน - เย็น ตกจากอากาศสนานพระกาย ได้แก่อาฬารอาบสอุทกดาบส หรือนักบวชอื่นรับไว้ในสำนัก, ทุกรกิริยาดุจท่อน้ำร้อน, วิริยะทางจิตดุจท่อน้ำเย็น ชำระพระสันดานให้สิ้นสงสัย
๔. พอประสูติแล้วทรงดำเนิน ๗ ก้าว ได้แก่ทรงแผ่พระศาสนาได้ ๗ ชนบท คือ ๑. กาสีกับโกศล ๒. มคธกับอังคะ ๓. สักกะ ๔. วัชชี ๕. มัลละ ๖. วังสะ ๗. กุรุ.
๕. การเปล่งอาสภิวาจา คือคำประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลกนั้น ได้แก่ตรัสพระธรรมเทศนาที่คนฟังอาจหยั่งรู้ว่า พระองค์เป็นยอดปราชญ์ศาสดาเอกในโลก.
ตรัสให้ภิกษุเรียกกันโดยคารวะโวหาร ๒ อย่าง คือ :-
(๑) ผู้แก่เรียกผู้อ่อน ใช้คำว่า อาวุโส หรือ ออกชื่อโคตรก็ได้.
(๒) ผู้อ่อนเรียกผู้แก่ ใช้คำว่า ภนฺเต หรือ อายสฺมา ก็ได้.
วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อสีติมหาสาวก
พระโมคคัลลาน์ท่านมีอิทธิฤทธิ์
รัตตัญญูท่านสถิตท่านโกณฑัญญะ
พระมหากัสสปะธุดงค์คุณ
ทิพพจักษุบุญของอนุรุทธ์
ตระกูลสูงสุดพระภัททิยะ
พระสาคตะฉลาดเตโช
พระปิณโฑโลบันลือก้องกึก
ธรรมกถึกท่านมันตานี
อธิบายความดีพระกัจจายนะ
พระโสภิตะระลึกปุพเพ
ทรงวินเยพระอุบาลี
โอวาทภิกษุณีนั้นนันทกะ
นันทศากยะเกื้อกูลปฏิภาณ
โมฆราชสำราญจีวรเศร้าหมอง
ปฏิภาณช่ำชองคือพระราโธ
พระนาลโกโมไนยปฏิบัติ
โสณะสันทัดปรารภความเพียร
วาจาแนบเนียนกุฏิกัณณะ
สีวลีเถระลาภมากยืนยง
ศรัทธาน้อมลงคือวักกลิ
ราหุลนั้นสิผู้ใคร่ศึกษา
พระกุณฑธานปฐมฉลาก
น่าเลื่อมใสมากพระอุปเสน
ทัพพะมัลเจนแต่งตั้งปูลาด
วังคีส์สามารถปฏิภาณปัญญา
ที่รักเทวดาปิลินทวัจฉ์
ตรัสรู้เร็วจัดพระพาหิยะ
จุลปันถกะหมายการพลิกมโน
มหาปันถโกสิพลิกปัญญา
สุภูตินั้นหนาทักขิไณยบุคคล
เรวตะพิกลท่านชอบอยู่ป่า
กังขาเรวตะท่านเพ่งด้วยฌาน
กุมารกัสสปะคาถาวิจิตร
ปฏิสัมภิทาสถิตในโกฏฐิตะ
พระอานนท์เลิศห้าอย่าครบ
อุรุเวลกัสสปะบริวารยิ่งใหญ่
ให้ตระกูลเลื่อมใสกาฬุทายี
พยาธิไม่มีพระพากุละ
ลกุณฑกะเสียงเพราะอาจิณ
พระมหากัปปินโอวาทภิกษุ
องคุลิมาลสามีบริโภค
*************** แหล่งที่มา.....ไม่รู้ เรียนสืบต่อกันมาเรื่อย ๆ
วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553
My respected Lama,
Flied up to the blue sky.
Tears in my eyes,
...When I miss my Lama.
Ah, the eagle, please lend me your wings.
I want to fly up to the blue sky,
To visit my Lama and listen to his teaching.
My brothers and sisters,
All scattered in different places.
My heart full of sorrow,
When I miss my siblings.
Ah, the steed, please lend me your speed and strength.
I want to gallop to different places,
To search for my brothers and sisters.
My dear parents,
Disappeared in the dark.
I cannot distinguish daytime and nighttime,
When I miss my parents.
Ah, the sun, please give me light.
Please light up the dark world.
I want to look for my parents.
索朗扎西 思念 ลามะที่ข้าเคารพ
น้ำตาของข้าไหลเมื่อข้าพลัดพรากจากท่านลามะ
นกอินทรีเอ๋ย โปรดให้ข้ายืมปีกของเจ้า
ข้าอยากจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อไปเยี่ยมเยือนท่านลามะและฟังคำสอนของท่าน
พี่น้องของข้าทั้งหมดกระจายอยู่ในสถานที่ต่างกันหัวใจของข้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเมื่อข้าคิดถึงพี่น้องของข้าอาชาเอ๋ย
โปรดให้ข้ายืมความเร็วและกำลังของเจ้าข้าอยากจะท่องไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อตามหาพี่น้องของข้า
เมื่อพ่อแม่ที่ข้ารัก ลาหายไปในความมืดข้านั้นไม่สามารถแยกความแตกต่างของกลางวันและกลางคืนได้ เมื่อข้าคิดถึงพ่อแม่ของข้าดวงอาทิตย์เอ๋ย โปรดมอบแสงของท่านแก่ข้าและได้โปรดส่องสว่างไปในโลกมืดข้าอยากจะมองเห็นพ่อ แม่ของข้าอีกครั้ง
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553
ธัมมคารวาทิคาถา
(หันทะ มะยัง ธัมมะคาระวาทิคาถาโย ภะณามะ เส)
เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาแสดงความเคารพพระธรรมเถิด
เย จะ อะตีตา สัมพุทธา เย จะ พุทธา อะนาคะตา, โย เจตะระหิ สัมพุทโธ พะหุนนัง โสกะนาสะโน
พระพุทธเจ้าบรรดาที่ล่วงไปแล้วด้วย, ที่ยังไม่มาตรัสรู้ด้วย, และพระพุทธเจ้าผู้ขจัดโศกของมหาชนในกาลบัดนี้ด้วย
สัพเพ สัทธัมมะคะรุโน วิหะริงสุ วิหาติ จะ, อะถาปิ วิหะริสสันติ เอสา พุทธานะ ธัมมะตา
พระ พุทธเจ้าทั้งปวงนั้นทุกพระองค์เคารพพระธรรม,ได้เป็นมาแล้วด้วย, กำลังเป็นอยู่ด้วย, และจักเป็นด้วย, เพราะธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นนั้นเอง
ตัส๎มา หิ อัตตะกาเมนะ มะหัตตะมะภิกังขะตา, สัทธัมโม คะรุกาตัพโพ สะรัง พุทธานะ สาสะนัง
เพราะ ฉะนั้น, บุคคลผู้รักตน, หวังอยู่เฉพาะคุณเบื้องสูง, เมื่อระลึกได้ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่, จงทำความเคารพพระธรรม
นะ หิ ธัมโม อะธัมโม จะ อุโภ สะมะวิปากิโน
ธรรมและอธรรมจะมีผลเหมือนกันทั้งสองอย่างหามิได้
อะธัมโม นิระยัง เนติ ธัมโม ปาเปติ สุคะติง อธรรมย่อมนำไปนรก, ธรรมย่อมนำให้ถึงสุคติ
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ธรรมแหละย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเป็นนิตย์
ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ตน
เอสานิสังโส ธัมเม สุจิณเณ นี่เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ตนประพฤติดีแล้ว
วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
ชีวิตพระถัมซัมจั่งตอนที่ ๒
เมื่อกลับแค้วนกามรูปได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับสมณะเสวียนจั้งไปกราบทูลพระกุมารให้ทราบพระเจ้ากุมารบังเกิดศรัทธาไดส่งเจ้าหน้าที่ไปเชิญมาถึงสามครั้งเนื่องจากพระศีลภัทรอธิการบดีมหาลัยนาลันทาได้รายงานกับพระเจ้าศีลาทิตย์ว่าจะส่งสมณะเสวียนจั้งไปโต้วาที จึงปฎิเสธไปว่าสมณะจีนกำลังเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับมาตุภูมิไม่อาจเดินทางไปแคว้นกามรูปได้พระเจ้ากุมารทรงโกรธมากรับสั่งให้ข้าหลวงส่งข่าวไปยังพระศีลภัทร แล้วทรงขู่ว่าถ้าไม่ส่งสมณะจีนมา พระองค์จะส่งกองทัพคชสารไปย่ำยีนาลันทาให้เป็นป่นเป็นจุน
เพื่อไม่ให้สถาบันต้องเดือดร้อน ท่านจึงกราบลาพระอาจารย์ไปยังแว่นแคว้นกามรูป และจากมหาลัยนาลันทาโดยไม่มีโอกาสได้กลับเลย
สมณะเสวียนจั้งเดินทางไปกับข้าหลวงถึงแคว้นกามรูปราว พ.ศ. ๑๑๘๓ พระเจ้ากุมารพอใจอย่างยิ่ง เสด็จออกมาตอนรับและนิมนต์พำนักในสำนัก ทุกๆวันจะมีการประโคมดนตรีและถวาย
โต้วาทีต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าศีลาทิตย์
เมื่อพระเจ้าศิลาทิตย์ทราบว่าพระเจ้ากุมารทรงรับสมณะเสวียนจั้งไปยังแว่นแค้วนกามรูป แล้วทรงพระราชบุรุษ ไปอาราธนามา แต่พระเจ้ากุมารไม่ยอม และทรงตรัสว่ายินดีจะส่งพระเศียรไปยิ่งกว่าสมณะเสวียงจั้งไป และทำให้พระเจ้าศีลาทิตย์ทรงโกรธมากแล้วส่งพระราชสาสน์ไปทันที่ พระเจ้ากุมาร จำต้องพาสมณะเสวียงจั้งไปเฝ้าพระเจ้าศีลาทิตย์
พระเจ้าศีลาทิตย์มีน้องสาวผู้ฉลาดนั่งอยู่ข้างๆเมื่อได้ฟังคำบรรยายของสมณะเสวียงจั้งก็ยินดีและสรรเสริญไม่หยุด
และพระเจ้าศีลาทิตย์ก็ทรงมีความประสงฆ์ให้สมณะโต้วาทีปัญหาธรรมกับคนต่างลัทธิ ต่างศาสนา เพื่อให้ทราบ ความดีงามของฝ่ายมหาย่าน จึงได้จัดขึ้นที่แค้วนกันยากุพชะให้บรรดาผู้รู้ธรรมได้มาชุมนุมกัน
ผู้ชุมนุมในงานนี้มีพระราชา ๑๘ แค้วนในอินเดียทั้ง๕และยังมีภิกษุทั้งฝ่ายสาวกยานและมหายาน กว่า ๓๐๐๐ รูป ภิกษุจากมหาลัยนาลันทา กว่า๑๐๐๐รูป
การชุมนุมเริ่มขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ.๑๑๘๔ขณะนั้นสมณะเสวียงจั้งมีอายุ๔๒ปี ในวันแรกสมณะเสวียงจั้ง เป็นผู้นำบรรยาย หลักสำคัญของเนื้อความในปกรณ์กำจัดมิจฉาทิฏฐิที่ท่านรจนาขึ้น
พระวิทยาภัทรเป็นผู้นำหนังสือนี้อ่านประกาศว่า ถ้าผู้ใดเห็นข้อความนี้ไม่สมเหตุสมผลแม้เพียงข้อหนึ่งในคำใดก็ตามและสามารถหักโค่นความเห็นนั้นข้าพเจ้าสมณะเสวียงจั้งจะยอมให้ตัดศีรษะเป็นเครื่องตอบแทน
การชุมนุมดำเนินต่อไปประมาณ ๔-๕ วัน มีข่าวออกมาว่ามีกลุ่มคัคค้าน วางแผนประทุษร้ายสมณะเสวียนจั้ง พระเจ้าศิลาทิตย์จึงมีประกาศว่า “ถ้าผู้ใดประทุษร้ายภิกษุจีน ให้ลงโทษด้วยการตัดศรีษะ แต่ถ้าผู้ใดสนับสนุน ไม่ต้องด้วยบทบังคับนี้”
ดังนั้นด้วยเหตุนี้ การชุมนุมจึงดำเนินไปตลอด ๑๘ วันโดยไม่มีผู้ออกมาคัคค้านพระเจ้าศิลาทิตย์ทรงพอพระทัยมาก จึงได้จึงได้ถวายเครื่องมหหัฆภัณฑ์เป็นอันมากตามประเพณีอินเดียโปราณ
จากเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นอุทาหรณ์เตือนใจสมณะเสวียนจั้งว่า “การีท่พุทธศาสนาจะตั้งมั่นอยู่ได้นั้น จำเป็นต้องมีการปกครองจากผู้มีอำนาจบารมี”
เดินทางกลับมาตุภูมิโดยการคุ้มครองจากกองทัพพระราชาอินเดีย
เมื่อ พ.ศ ๑๑๘๕ ต้นฤดูร้อน พระเจ้าศิลาทิตย์ทรงทำปัญจวรรษทานอันเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาทุกๆ ๕ ปีของพระราชาในอินเดีย ภายหลังการเส็จสิ้นงานนี้สมณะเสวียนจั้งจึงได้กราบทูลเพื่อขอลากลับประเทศจีน
จากกันเพียง ๓ วัน พระเจ้าศิลาทิตย์ ทรงอดกลั้นความคืดถึงสมณะเสวียนจั้งไม่ได้ ทรงเสด็จพร้อมพระเจ้ากุมารและขบวนม้าเร็วไปพบท่านอีกครั้ง ต่างรู้สึกปีติยินดีที่ได้พบหน้ากันอีก
สมณะเสวียงจั้งได้รับการอำนวยความสะดวกและการต้อนรับอย่างสมเกียจจากพระราชาผู้ครองแค้วนและประชาชนตลอดเส้านทางกลับ จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ยากลำบากที่สุดคือ การปีนปายข้ามเทือกเขาหิมาลัย ซึ้งปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข้ง ไม่อาจขี่ม้าข้ามได้ และต้องเดินทางในตอนกลางคืนโดยคนชำนาญเป็นผู้นำ เพราะถ้าพลาดเกิดอันตรายถึงชีวิต
สมณะเสวียงจั้งได้สิ้นสุดการจาริกสู้ดินแดนตะวันตก เพื่อแสวงหาพระสัทธรรมคัมภีร์เป็นเวลาร่วมเป็น๑๙ปี ท่านได้ศึกษาคัมภีร์กับพระอาจารย์ศีลภัทรสมดังเป้าหมาย นอนจากนี้ ได้กราบคารวะเพื่อขอศึกษาคัมภีร์ต่างๆ จากพระอาจารย์ผู้แตกฉาน นอกจากได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆแล้ว ท่านยังจาริกไปนมัสการสังเวชนียสถาน และพระพุทธศาสนาต่างๆ ในอินเดียทั้ง๕
ท่านเดินทางกลับถึงนครฉางอัน ประเทศจีน ในวันที่ ๒๔ เดือน ๑ พ.ศ.๑๑๘๘พร้อมทั้งอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปต่างๆ คัมภีร์พระไตรปิฏกที่อันเชิญกลับประเทศจีน แบ่งเป็นของนิกายฝ่ายต่างๆดังนี้
พระไตรปิฏกมหายาน๒๒๔ปกรณ์ มหายานศาสตร์๑๙๒ปกรณ์พระไตรปิฏกมหาอารยสถวีรวาท๑๕ปกรณ์ พระไตปิฏกมหาสังฆิกะ๑๔ปกรณ์ พระไตรปิฏกสัมมิตียวาท๑๕ปกรณ์ พระไตรปิฏกสรวาสติวาท๖๗ปกรณ์ พระไตรปิฏกมหิศาสกวาท๒๑ปกรณ์พระไตรปิฏกกาศยปิยวาท๑๗ปกรณ์ พระไตรปิฏกธรรมคุปตวา ๔๒ ปกรณ์พระไตรปิฏกเหตุ
วิทยาศาสสตร์๓๖ศัพท์วิทยาศาสตร์๑๓ปกรณ์ รวมคัมภีร์ทั้งสิ้น๖๕๗ปกรณ์
พระจ้าถังไท่จงเอกองค์อุปถัมภ์การแปลคัมภีร์
สมณะเสวียนจั้งย่อมทราบปัญหาดีว่า ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างลัมธิเต๋า ขงจื๊อและพระพุทธศาสนา อีกทั้งในวงการพระพุทธศาสนายังมีความแตกต่างระหว่างนิกายต่างๆ สถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูง งานแปลพระคัมภีร์คงคงไม่สำเร้จผลง่ายๆเป็นแน่
ดัวยเหตุนี้ท่านจึงต้องผูกสัมพันธ์กับพระเจ้าถังไท่จง นับตั้งแต่เดินทางกลับจากชมพูทวีปถึงแคว้นกุสตนะ ซึ่งต้องเสียเวลาในการพักครั้งนี้นานกว่า ๘ เดือน พื่อรอคนที่ส่งไปคัดลอกคัมภีร์ส่วนที่สูญหายในระหว่างข้ามแม่น้ำสินธุ ท่านก็ได้มีลิขิตถึงพระเจ้าถังไท่จงเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษในคราวที่ลักลอบออกพระราชอาณาเขตเมื่อ ๑๙ ปีก่อน พระเจ้าถังไท่จงได้มีพระราชสานส์ตอบกลับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีและไม่ติดใจเอาโทษแต่อย่างใด ครั้งหนึ่งท่านได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าถังไท่จง ในการสนทนาครั้งนั้น พระเจ้าถังไท่จงได้มองเห้นไหวพริและปฏิภาณของสมณเสวียนจั้ง ถึงกับชักชวนให้ออกมารับราชการ สมณเสวียนจั้งก็ได้ตอบปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
พระเจ้าถังไท่จงทรงขอให้ท่านนเขียนหนังสือเกี่ยวกับแคว้นต่างๆในประเทศอินเดียและเอเชียกลางที่ท่านเดินทางไป ท่านจึงได้เร่งเขียนและแล้วเสร้จในปีถัดมาให้ชื่อว่า “บันทึกการเดินทางสู่แคว้นตะวันตก” หลังจากนำขึ้นทูลถวายพระเจ้าถังไท่จงทรงโปรดปรานหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก และเมื่อทรงอ่านงานเขียนคัมภีร์ทางศาสนาของสมณเสวียนจั้งแล้วทรงมีความเห็นให้คัดลอกคัมภีรืนี้ขึ้นใหม่อีก ๙ ชุด จัดส่งไปตามหัวเมืองใหญ่ถึง ๙ เมือง อีกทั้งพระเจ้าถังเกาจง ซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศเป้นมกุฏราชกุมารทรงพระนิพนธ์คำนิยมร่วมด้วย
ในบั้นปลายรัชสมัยพระเจ้าถังไท่จงทรงหันมาศรัทาพระพุทธศานามากขึ้น ทรงโปรดให้สมณเสวียนจั้งเข้าไปสนทนาะรรมอยู่เนื่องๆ
พระเจ้าถังเกาจูผู้ยกย่องสมณเสวียนจั้งประดุจดวงมณีของชาติ
เมื่อพระเจ้าถังเกาจงขึ้นครองราชย์ก้ทรงให้ความเคารพต่อสมณเสวียนจั้งไม่ยิ่งหย่อนกว่าพระบิดา ทรงให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนาเป้นอย่างมากทรงอุปถัมภ์การสร้างวัดต้าฉือเอิน เพื่อถวายสมณเสวียนจั้ง
สมณเสวียนจั้งได้รับความเคารพและการยกย่องอย่างสูงจากพระเจ้าถังไท่จงและพระเจ้าถังเกาจงแต่ทั้งสองพระองค์มีข้อแต่งต่างกันคือพระเจ้าถังไท่จงไม่เข้าไปแทรกแซงการแลคัมภีร์แต่พระเจ้าถังเกาจงมิได้ทรงใส่ใจในพระธรรมนักและมีการแทรกแซงการแปลคัมภีร์ด้วย
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าพระเจ้าถังเกาจงทรงเล็งถึงผลประดยชนืทางการเมืองมากกว่าความศรทธาในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังแต่อย่งไรก้ตามพระเจ้าถังเกาจงก็ให้ความสำคัญต่อสมณเสวียนจั้งเป็นอย่างมาก ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ที่สำคัญยิ่ง ให้การสนับสนุนทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกในกาแปลพระคัมภีร์ ในคราวที่สมณเสีวยนจั้งมรณภาพ ทรงมีพระราชหฤทัยเศร้าสลดเป้นอย่างมาก ถึงขนาดมิได้เสด็จออกว่าราชการหลายวัน ทรงตรัสด้วยความอาลัยว่า “ดวงมณีของชาติได้แตกดับแล้ว” สมณเสวียนจั้งทำหน้าที่ในกการแปลคัมภีร์ด้วยความอุตสาหะต่อเนื่องและยาวนาน ทั้งนี้มิใช่แค่ความสมารถเฉพาะของบุคคลแต่ที่สำคัญ ท่านมีพระมหากษัตริย์ให้ความสนับสนุนด้วย
สร้างพระสถูปจำลองแบบอินเดีย
พ.ศ. ๑๑๙๕ สมณเสวียนจั้งได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติจากพระเจ้าถังเกาจงให้สร้างพระสถูปจำลองแบบอินเดียเพื่อเป็นที่เก็บ พระคัมภีร์ต่างๆที่ได้อัญเชิญมาจกอินเดียพระสถูปนี้จำลองแบบมาจากพุทธคยา
ความกตัญญูต่อบุพพการี
เป็นที่ทราบกันว่าสมณเสวียนจั้งเดินทางจากบ้านตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี กระทั่งเมื่ออายุได้ ๕๘ ปีคราวที่ตามเสด็จพระเจ้าถังเกาจงไปนครลั่วหยางได้รับบรมราชานุญาติให้กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด แต่ก็น่าเสียดดายเมื่อพบว่าญาติพี่น้องต่างล้มหายตายจากไปไหมมดแล้ว เหลือแต่พี่สาวคนโตที่ชราภาพมากแล้ว เมื่อพบกันต่างก็พากันร่ำไห้ด้วยความปีติ และได้ร่วมกันปรับปรุงสุสานของบิดามารดาที่จมอยู่ในดงหญ้า
การได้กลับมาบูรณะสุสานบุพพการีผู้ให้กำเนิดครั้งนี้ ถือได้ว่าท่านได้กระทำหน้าที่ของลูกอย่างดีที่สุด
หนอนไหมชักไยตราบสิ้นลม
หลังจากท่านทุ่มเทกำลังทั้งหมดในการแปลคัมภีร์มหาปรัชญาปารมิตาสูตร เป้นเวลานานถึง ๓ ปีจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สุขภาพท่านก็ทรุดดทรมลงไปเป็นอย่างมาก
พ.ศ. ๑๒๐๗ วันที่ ๑ เดือน ๑ คณะแปลได้ขอให้ท่านแปลคัมภีร์มหารัตนกูฏสูตร ท่านไม่อยากปฏิเสธ แต่ท่าก็พยายามแปลได้เพียง ๔ บรรทัด แล้ววางพู่กันปิดคัมภีร์ลงกล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “เรารู้ตัวดี”
กลางดึกของวันที่ ๔ เดือน ๒ สมณะหมิงจั้งลูกศิษย์ที่คอยอุปัฏฐากได้เห็นบุรูษสองคนร่างสูงใหญ่ ในมือถือดอกบัวขาวขนาดเท่าล้อรถกลีบบัวมรสามชั้น สะอาดใส เดินไปยืนตรงต่อหน้าสมณะเสวียนจั้งแล้วกล่าวคำสรรญเสริญน้อมน้อม
จากนั้นท่านยกมือพนนมสักพัก จากนั้นเอามือขวาประคองแก้มขวา มือซ้ายเหยีดตรงวางบนเข่าซ้าย เท้าเกยซ้อนกันในท่าตะแคงขวา ไม่ลุกขึ้นแนอาหารใดๆอีก
ในวันที่ ๕ สมณต้าเสิ้งกวาง รวบรวมความกล้าถามว่า “ท่านจักได้เกิดในแดนพุทธเกษตรหรือไม่” ท่านสมณเสวียนจั้งลืมตาเล็กน้อยตอบว่า “ได้” จากนั้นลมหายใจของท่านก็แผ่วเบาลงและหยุดนิ่งในที่สุด สิริรวมอายุได้ ๖๕ ปี
เมื่อความทราบถึงพระเจ้าถังเกาจง ทรงสลดพระทัยอย่างมาก ถึงกับอุทานว่า “ดวงมณีของชาติดับลงแล้ว” ทรงรับสั่งให้หยุดราชการ ๓ วัน ค่าใช้จ่ายในพิธีทั้งหมดราชสำนักเป็นผู้รับผิดชอบ
ลูกศิษย์ของท่านได้นำสังขารของท่านบรรจุหีบศพด้วยห่อเสื่อ เคลื่อนศพเข้าสู่นครหลวงเพื่อทำการสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศลตลอดเวลาเกิบเดือนมีพุทธบริษัท ๔ เข้านมัสการไว้อาลัยกันอย่างล้นหลาม
ทางราชสำนักมีกำหนดการพิธี ฝังศพ วันที่ ๑๔ เดือน ๔ ที่สุสานไป๋ลู่หยวน ซึ่งอยู่ใกล้กับหลุมฝังศพของสมณะจั่งเจี๋ย ซึ่งเป็นพี่ชายของท่าน
ในวันเคลื่อนศพไปยังสุสาน พระเจ้าถังเกาจงทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ภิกษุ ภิกษุณีและคฤหัสจัดทำธงทิว ฉัตรมงคล หีบศพเงิน เป็นต้น มีมากมายหลากหลายกว่า ๕๐๐ ประเภทจัดประดับประดาตลอด ๒ ข้างทางที่ศพจะเคลื่อนผ่านไปยังสุสาน บรรยากาศเต็มมไปด้วยความเศร้าโศก ผู้คนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศล้วนติดตามมาส่งศพ
แม้พิธีของสมณะเสวียนจั่งจะจัดอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ แต่การใช้เสื่อห่อศพ ชาวจีนถือว่า คนยากจนอนาถาเท่านั่นจึงห่อด้วยเสื่อ มีพ่อผ้าแพรในนครหลวงได้ร่วมกันใช้ผ้าแพรพรรณกว่าสามพันพับ จัดแต่งรถรอเคลื่อนศพอย่างงดงามสมเกียรติ แต่เหล่าสานุศิษย์ไม่กล้ารับด้วยเกรงจะผิดความประสงค์ของพระอาจารย์ ได้แต่เอาจีวรเครื่องอัฐบริขารของท่านและสิ่งของที่ทางราชสำนักนำมาบูชาวางแทน
ณ ถนนสายนี้เช่นกัน เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ท่านเพิ่งกลับจากอินเดีย มีผู้คนเบียดเสียดกันมาดูพิธีการแห่แหนท่านเข้านครหลวงด้วยความตื่นเต้นชื่นชมยินดี ในวันนี้ผู้คนหลั่งไหลมากันแน่นขนัดเฉกเช่นวันวาน หากแต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความโหยไห้อาดูร ซึ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากสุสารอยู่ใกล้เขตนครหลวง ทุกครั้งที่พระเจ้าถังเกาจงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นหอสูงทอดพระเนตรไปยังทิศที่ตั้งของสุสาน เป็นต้องเศร้าโศกอาลัย เพื่อหลีกเลี่ยงภาพที่ชวนให้ต้องสะเทือนพระราชหฤทัย จึงมีพระบรมราชโองการย้ายสุสานท่านไปฝังยังที่แห่งใหมม่ พร้อมทั้งสร้างพระสถูปเพื่อเป็นถาวรวัตถถุในการเก็บอัฐของท่าน
วันที่ ๘ เดือน ๔ พ.ศ. ๑๒๐๗ ได้ทำการเปิดสุสาน ผู้คนพากันประหลาดใจว่าสรีระของท่านซึ่งถูกฝังมาแล้วกว่า ๒ เดือน ยังคงสภาพเหมือนตอนแรกฝังไม่เปลี่ยนแปลง
ในวันทำพิธีและเคลื่อนย้ายสังขารของท่านไปฝังยังสุสานแห่งใหม่นี้ ยังคงมีศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนพากันมาร่วมพิธีอย่างล้มหลามเหมือนเช่นครั้งก่อน
มรดกธรรม คัมภีร์มหาปารมิตาสูตร
ตลอดระยะเวลานานถึง ๑๙ ปี ภายหลังการเดินทางกลับประเทสจีน สมณเสวียนจั้งได้ร่วมกับพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่างๆทำการแปลคัมภีร์ออกมาเป็นจำนวน ๗๕ ปกรณ์ ๑๓๓๕ ผูก (ไม่รวมบันทึกการเดินทางสู่แคว้นตะวันตก ๑๒ ผูก) ส่วนมากเป้นการแปลปกรณืขนาดใหญ่ และเป็นการแปลออกมาทั้งฉบับ โดยยึดหลักการถูกต้องตามต้นฉบับ แต่ง่ายเข้าถึงชาวบ้าน เป็นบรรทัดฐาน คัมภีร์ที่ท่านทำการแปลล้วนแต่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ทั้งสิ้น เพราะท่านมีความเชี่ยวชาญในด้านภาษษเป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ท่านยังเปิดบรรยายคัมภีร์ที่แปลใหมาให้กับสานุศิษย์และสาธุชนผู้สนใจฟังเป็นประจำ ผลงานที่ท่านแปลล้วนมีอิทธิพลต่อพพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นทั้งในยุคของท่านและยุคต่อๆมา
เป็นผู้นำวิชาโยคาจาร ต้นกำเนิดธรรมลักษณะ
วิชาโยคาจารหรือวิชญาณวาทิน ท่านอสังคะและท่านวสุพันธุสองพี่น้องร่วมกันก่อตั้งขึ้น ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๙ ทั้งสองท่านเป็นผู้มีปรีชาญาณอันสุขุม ทั้งสามารถในด้านการประพันธุ์ ท่านวสุพันธุ์รจนาคัมภีร์ประกาศลัทธฺโยคาจาร ว่ากันว่ามีจำนวนถึง ๕๐๐ ปกรณ์ จัดเป็นคันถรจนที่ยอดเยี่ยมในประเทศอินเดียท่านวสุพันธุเรียกหลักคำสอนของท่านว่า วิชญาณวาทะ
คัมภีรืสำคัญของนิกายโยคาจารคือ โยคาจารภูมิศาสตร์กล่าวกันว่าในยามราตรีกาล ท่านอสังคะขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดุสิต สดับพรธรรมมิกถากับพระศรีอาริยเมตตไตย์ ณ กรุงอโยธยา กลางอินเดีย ฉบับภาษาสันสกฤตนั้นท่านราหุลเป้นผู้คนพบ คัมภีร์นี้แบ่งเป้น ๑๗ ภูมิ และมีการอธิบายโดยพิศดารเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามแบบของนิกายโยคาจาร
วิชาโยคาจารย์นี้เริ่มเข้าสู่จีน ในสมัยราชวงศ์เหนือ ใต้โดยมีพระโพธิรุจิ นำเข้ามาในปี พ.ศ. ๑๐๕๑-๑๐๕๔ ในคราวที่สมณเสวียนจั้งเดินทางไปที่นาลันทาได้เข้าไปฝากตัวกับพระศีลภัทรวึ่งเป้นศิษย์ของพระธรรมปาละผู้เป้นสิษยืของพระวสุพันธุ ในภายหลัง เมื่อเดินทางกลับประเทศจีนท่านได้แปลคัมภีรืสำคัญของนิกายโยคาจาร ซึ่งมีจำนวนมากถึง ๑๐๐ ผูก ทั้งยังรวบรวมอรรกถาแห่งวิชญาณปติมาตรตรีทศศาสาตร์ ทำให้นิกายนี้รุ่งโรจนืในประเทศจีน และพัฒนามาเป้นนิกายะรรมลักษณะนั่นเอง
เนื่องจากคำสอนของนิกายะรรมลักษณณะนี้มีความละเอียดซับซ้อนเต้มไปด้วยตรรกะวิธีและศัพทืเทคนิคซึ่งยากแก่การรเข้าใจ เน้นหนักในด้านอภิธรรม วึ่งอาจไม่ค่อยถูกจริตกับนักปราชญ์ชาวจีนเท่าใดนัก กระแสความนิยมจึงอยู่พียงสั้นๆเมื่อสิ้นราชวงศ์ถัง ก็เริ่มอับแสงลงในที่สุด แม้แต่คัมภีร์ก็หายไปด้วย
ถายหลังเมื่อจีนพ่ยแพ้สงครามฝิ่น เมืองสำคัญของจีนตกอยู่ภายใต้อาณานิคม เหล่าบัณฑิตผู้รักชาติ ได้พยายามคิดหาวิธีทางที่จะช่วยประเทสชาติให้หลุดพ้นจากยุคสภาพกึ่งเมืองกึ่งศักดินา คนรุ่นใหม่เล่านี้ได้หันไปศึกษาวิชาการของตะวันตกขณะเดียวกันก็หันกลับมามองปรัชญาความคิดของตนเอวมากขึ้น ได้มีปัญญาชนกลุ่มหนึ่งให้ความสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา เพื่อค้นหาแนวทางการสร้างความสามมัคคีของคนในชาติ จึงก่อตั้งกลุ่มพุทธศาตร์ศึกษา มีการบรรยายธรรมเดือนละครั้ง เนื่องจากปกรณ์วิเศษของนิกายโยคาจารหายไปจึงมีการคัดลอกต้นฉบับจากญี่ปุ่น และจัดพิมพ์คัมภีร์โยคาวจรภูมิขึ้นใหม่
จากการศึกษาอย่างจริงจังของกลุ่มพุทธสาสตร์ศึกษา ทำให้นักวิชาการจีนรุ่นใหม่พบว่า หลักะรรมทางพระพุทธศาสนาแฝงไว้ด้วยปรัชญาความคิดลึกซึ้งมากมาย โดยเฉพาะหลักธรรมในวิชญาณวาท กิจกรรมของกลุ่มพุทธศาสตร์ศึกษาจึงมีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่ในวงการเมืองและนักคิด
ต่อมามหาวิทยาลัยฟูต้านได้จัดทำสถิติโดยให้นักศึกษาเขียนชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งในประเทศและต่งประเทศที่ปรากฏอยู่ในมโนคติของตัวเองชัดเจนที่สุด ๑๐ อันดับแรกพบว่า อันดับที่ ๑ คือ พระพุทธะเจ้า รองลงมาคือ สมณเสวียนจั้ง สมณฮุ้ยหนิง พระโพธิธรรม พระอวโลกิเตศวร เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าสายตาคนรุ่นใหม่ของประชาชาชนจีน เมื่อกล่าวถึงบุคคลในวงการพระพุทธศาสนาแล้ว ชื่อของสมณเสวียนจั้งเป้นที่รู้จักรองลงมาจากพระพุทธเจ้า
หนังสือบันทึกการเดินทางสู่แคว้นตะวันตก
จดหมาย เหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง เป็นบันทึกการเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดียของพระถังซำจั๋ง พระภิกษุจีนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของชาวพุทธทั่วโลก บันทึกเล่มนี้พระถังซำจั๋งเป็นผู้จดบันทึกและพระภิกษุเปี้ยนจีเป็นผู้เรียบ เรียงในรัชสมัยจักรพรรดิถังไท่จงในยุคราชวงศ์ถังและเสร็จสิ้นลงในปี ค.ศ. ๖๔๖ ปัจจุบันมีอายุได้ ๑๓๕๗ ปีแล้ว
หนังสือเรื่องจดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง แบ่งออกเป็น ๑๒บรรพ บันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่พระถังซำจั๋งออกเดินทางไปและศึกษาอยู่ในอินเดียเป็น เวลานานถึง ๑๗ ปี ท่านจาริกสู่แว่นแคว้นต่างๆ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจีน คิดเป็นระยะทางกว่า ๕ หมื่นลี้ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาครอบคลุมถึงอาณาเขต ภูมิอากาศ ทำเลที่ตั้ง จารีตประเพณี ภาษา ศาสนา วัดวาอาราม ตลอดจนตำนานและประวัติศาสตร์ด้านต่างๆ ของแว่นแคว้นเหล่านั้นอย่างละเอียดพิสดารถึง ๑๓๘ แว่นแคว้น ในจำนวนนี้มี ๑๑๐ แคว้นที่พระถังซำจั๋งได้เดินทางไปรู้เห็นด้วยตนเองส่วนอีก๒๘แคว้นนั้นท่านเขียนขึ้นมาจากคำบอกเล่า
โดยที่หนังสือเล่มนี้ได้บันทึกข้อมูลล้ำค่าไว้มากมาย จึงกลายเป็นเอกสารสำคัญยิ่งในการศึกษาค้นคว้าภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรมของบ้านเมืองต่างๆทางเอเชียกลางและเอเชียใต้ อีกทั้งประวัติศาสตร์การติดต่อระหว่างจีนกับอินเดีย ในขณะเดียวกันก็เป็นเอกสารที่สำคัญยิ่งในการศึกษาค้นคว้าพุทธประวัติใน อินเดีย เช่น เรื่องราวและตำนานของบุคคลสำคัญๆ ในพุทธศาสนาในอินเดีย เป็นต้นว่า พระอัศวโฆษ นาคารชุน พระเทพโพธิสัตว์ พระอสังคเถระ พระวสุพันธุ์ พระเจ้าอโศกมหาราช และพระเจ้ากนิษกะราชา เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้มีค่ามากต่อการศึกษาค้นคว้าพุทธศาสนา
หนังสือเล่มนี้ยังเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญในการค้นหาร่องรอยพุทธสถาน ต่างๆ ในสมัยพุทธกาลของรัฐบาลอินเดียในระยะร้อยปีมานี้ เป็นต้นว่าการค้นหาสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยนาลันทา การขุดค้นกรุงราชคฤห์
ป่าอิสิปตนมฤคทายวันและซากกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นต้น ก็ได้อาศัยหลักฐานจากหนังสือเล่มนี้ประกอบการค้นหาจนประสบความสำเร็จเช่นกันความสำเร็จอันใหญ่หลวงอีกประการหนึ่งคือทางด้านประวัติศาสตร์ ทั้งประวัติศาสตร์อินเดีย ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดียและประวัติศาสตร์การไปมาหาสู่ระหว่างจีนกับดินแดนทางตะวันตกของจีนคืออินเดียด้วย
ชาวภารตะโบราณเป็นชาติที่มีความรู้ช่ำชองในด้านปรัชญาและด้านธรรมชาติวิทยา ก็จริง แต่ไม่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ตกทอดมาสู่ชนรุ่นหลัง จะมีก็แต่ตำนานและเทพนิยาย แม้ว่าจะบอกเหตุการณ์ในด้านประวัติศาสตร์ได้บ้าง แต่ขาดหลักฐานที่เชื่อถือได้ ดังนั้นจดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถังของพระถังซำจั๋ง จึงเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าสำคัญยิ่งในสายตาของนักประวัติศาสตร์
สมณเสวียนจั้งกับนวนิยายไซอิ๋ว
ภายหลังการเดินทางกลับจากอินเดีย เมื่อว่างจากการแปลคัมภีรืท่านก้จะเล่าเรื่องราวเหตุการณืต่างๆที่ท่านได้ประสบในระหว่างการเดินทาง ตลอดรวมไปถึงชีวิตการศึกษาในชมพูทวีป ให้พระเถระผู้ใหญ่และสานุศิษย์ฟัง จากปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่น เมื่อกาลเวลาผ่านไป เรื่องราวความกล้าหญของท่าน จึงถูกต่อเติมเสริมต่อให้พิศดารมากขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงสมัยราชวงศ์หยวน ปรากฏมีวรรณกรรมเกี่ยวกับการผจญภัยในระหว่างการเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกออกมามากมายหลาบสำนวน รวมทั้งที่เป็นบทละครและเชิงนวนิยาย ในปี ค.ศ. ๑๙๘๕ ศูนย์วิจัยวรรณกรรมโบราณมหาวิทยาลัยไต้หวัน ทำการรวบรวมวรรณกรรมที่เปป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการจาริกไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีปของสมณะเสวียนจั้งได้มากถึง ๑๒ สำนวน ปัจจุบันนวนิยายเร่องไซอิ๋วได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในวรรณกรรมเอกของจีน คือ สามก๊ก ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน ไซอิ๋ว และความฝันในหอแดง
ความจริงนั้นนวนิยายเรื่องไซอิ๋วแต่งขึ้นในปลายราชวงศ์หมิง โดย อู๋เฉิงเอิน ซึ่งเรียบเรียงจากสำนวนที่มีอยู่เดิมมาแต่งให้พิศดาร เชิดชู ชูชุนอู้คง (หงอคงหรือเห้งเจีย)ศิษย์เอกผู้ติดตามพระถัมซำจั๋ง เป็นตัวเอกในเรื่อง มีรูปร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์ มีอานุภาพมาก ไม่เกรงกลัวอำนาจผู้มีอิทธิพล กล้าตะลุยถึงดินแดนสวรรค์ต่อกรกับเหล่าเทพ หรือปีศาจร้ายบนโลกมนุษย์ บุกวังพญานาค ในเมืองบาดาล และการปราบเหล่าปีศาจร้ายต่างๆ เป็นต้น
ถ้าถามว่า พระถัมซำจั่งในนวนิยายไซอิ๋วมีตัวตนจริงหรือไม่ อาจตอบได้ว่าพอมีเค้าดครงจริงอยู่บ้างในข้อที่ว่า พระถัมซำจั๋งนั้นหมายถึงสมณเสวียนจั้ง ภิกษุชาวจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ที่ได้จาริกไปยังดินแดนแคว้นตะวันตกชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก ส่วนสานุศิษย์ผู้ติดตาม เช่น หงอคง โป๊ยก่าย นั้นมิได้มีตัวตนจริง แต่ชื่อตัวละครเหล่านี้แฝงด้วยความหมายเชิงคติธรรม เช่นหงอคงอ่านออกสำเนียงจีนกลางว่า อู้คง อู้แปลว่าตระหนักรู้ คงแปลว่า ว่างเปล่า สุญญตา ซึ่งก็หมายถึง ความว่างนั่นเอง ส่วนโป๊ยก่าย ภาษาจีนกลางอ่านว่า ปาเจี้ย แปลว่า ศีลแปด เราจะเห็นว่าตัวโป๊ยก่ายนั้นมีนิสัยมักมาก เจ้าชู้ประตูดินเป้นตัวแทนของการไม่สำรวม มักมากในกามตัณหา ส่วนซัวเจ๋ง ในสำเนียงจีนกลางอ่านว่า จิ้ง แปลว่าความบริสุทธิ์ หมายถึงสมาธินั่นเอง ส่วนการผจญภัยกับสัตว์ร้าย สภาพอากาศ บ้านป่าเมืองเถื่อนโรคภัยไข้เจ็บ จึงต้องอาศัยพลังศรัทธา ความเข้มแข็ง ในพระรรัตนตรัยคือพระพุทธ พระรรม พระสงฆ์ เป็นอย่างมาก การปราบมารปีศาจร้ายเหล่านี้จึงหมายถึงการเอาชนะกิเลสด้วยธรรมะ ด้วยปัญญา ด้วยศีลสมาธินั่นเอง
วรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ในลักษณะเดียวกันกับวนนณกรรมสามก๊ก ที่ให้ความบันเทิงแก่สังคมไทย ในวรรรกรรมเรื่องไซอิ๋วมีเนื้อหาที่แฝงด้วยคติธรรมในเชิงอภินิหาร ดังนั้นจากการดูเพื่อความบันเทิง จึงกลายมาเป้นความเชื่อและศรัทธา จนมีการสร้างเทวรูปเห้งเจียขึ้นมาบูชา
ในประเทสไทยเองรู้จักสมณะเสวียนจั้งผ่านเรื่องราววรรณกรรมเรื่องไซอิ๋วมากกว่าบทบาทด้านการแปลพคัมภีร์ นักประวัติศาสตร์ และนักอักษณศาสตร์
ดังนั้นพระถัมซำจั่งกับสมณเสวียนจั้งจึงเกี่ยวข้องกันแต่เพียงในนาม ส่วนเนื้อหาในนวนิยายเรื่องไซอิ๋ว ล้วถูกแต่งขึ้นจากจินตนานการของผู้เขียน ตามกระแสบ้านเมือง ความเป็นตัวตนอันแท้จริงของสมณะเสวียนจั้งภิกษุชาวจีนผู้มากด้วยความรู้ สุขุม ได้ถุกนวนิยายบิดเบือนจนผิดเพี้ยนไป
ชีวิตพระถัมซัมจั๋ง ตอน ๑
ชีวิตจริงไม่อิงนิยาย
เกริ่นนำ
สมณะเสวียนจั้งเป็นบุคคลในประวัตศาสตร์จีนที่มีชีวิตอยู่ใขช่วง พ.ศ. ๑๑๔๓ – ๑๒๐๗ ปลายราชวงศ์สุยต้นราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นยุคทองของประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในจีน
ในวัยเด็กท่าน ท่าศึกษาคัมภีร์ลัทธิเต่าและขงจื้อจากบิดา และออกบวชเมื่ออายุ ๑๓ ปี ซึ่งเป็นช่วงที่พระพุทธศาสนานกายโยคาจารกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เมื่อท่านเข้าอุปสมบทในพระพุทธศานาได้จาริกไปศึกษากับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงตามเมืองใหญ่ๆทั่วประเทศจีน ท่านพบว่าอาจารย์แต่ละท่านตีความพระคัมภีร์แตกต่างกันออกไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากคัมภีรืมีการแปลกัหลายฝ่ายและแปลไม่ครบทั้งฉบับ ท่านจึงมีแนวคิดที่จะเดินทางไปชมพูทวีปพื่อศึกษาพระคัมภีร์อัญเชิญพระคัมภีร์กลับประเทศ
สมณะเสวียนจั้งท่านเป้นพระภิกษุที่มีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ในการเดินทางไปยังชมพูทวีปนั้นต้องใช้ความอดทนและมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ถึงแม้เพื่อนสหธรรมมิกของท่านได้ขอถอนตัวเนื่องจากเดินทางออกพระราชอาณาจักรไม่ได้ ท่านต้องใช้วิธีการลักลอบเดินทางในเวลากลางคืน ข้ามทะเลทรายโกบี ข้ามเทืออกเขาฮินดูกูฏที่ชูงชันเพียงลำพัง
ตลอดการเดินทาง ท่านได้จาริกผ่านแคว้นเล็กกแคว้นน้อย นับร้อยๆแคว้น เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ฝากตัวเป็นศิษย์ของพระศีลภัทรศึกษาวิชาโยคาจาร เหตุวิทยา เป็นต้น ศึกษษภาษาสันสกฟตจนแตกฉาน ผลงานของท่านไม่ว่าจะเป้น ชุมนุมวิถีธรรม กำจัดมิจทิฏฐิ ตรีกายศาสตร์ ล้วนแต่งด้วย สำนวนสันสกฤตที่ไพเราะ
การศึกกษาของท่านนั้นไม่ได้อยู่จำกัดเพียงแค่มหาวิทยาลัยนาลันทา ท่านยังจาริกไปยังแคว้นต่างๆทั่งอินเดียทั้ง๕ แคว้นเพื่อศึกษาวิชาที่ตนร่ำเรียนมาและศึกษาประวัติพุทธสถานต่างๆ
ท่านจึงเป็นพระภิกษุชาวจีนที่มีช่อเสียงในอินเดียโบราณเป็นตรีปิฏกกาจารย์ที่แตกฉานทั้งวิชาของมหายานและสาวกยาน ครั้งหนึ่งท่านได้รับเลือกให้ขึ้นดต้วาทีธรรมซึ่งก็ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ท่านเป็นอย่างมากได้รับฉายาจากฝ่ายมหายานว่า “มหายานเทวะ”จากฝ่ายสาวกยานว่า “โมกฺษเทวะ”
ภายหลังการเดินทางกลับสู่มาตุภูมิท่านได้อัญเชิญพระไตรปิฎกฉบับภาษาสันกฤตเป็นจำนวนมากถึง ๖๕๗ ปกรณ์กลับสู่ประเทศจีน ท่านได้จัดตั้งสนามการแปลภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าถังไท่จง ด้วยปฏิปทาและความฉลาดรอบรู้อันน่าเลื่อมใส ทำให้พระมหากษัตริย์หันมาให้ความสนใจพระพุทธศานายกขึ้นให้มีสิทธิเทียบเต๋ากับขงจื้อ
ตลอดระยะเวลานานถึง ๑๙ พรรษานับตั้งแต่เดินทางกลับสู่มาตุภูมิ ท่านได้อุทิศเวลาทั้งหมดในการแปลคัมภีร์ จำนวนคัมภีร์ทั้งหมดที่ท่านแปลออกมามีมากถึง ๗๕ ปกรณ์ ๑๓๓๕ ผูก
ผลงานอันโดดเด่นของท่านคือการแปลพระคัมภีร์เพราะท่านมีความพร้อมทั้งในด้านภาษาและหลักธรรม ท่านศึกษาปรับปรุงและพัฒนาการแปลของคนรุ่นก่อนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผสมผสานการแปลที่มีทั้งพยัญชนะและแปลโดยอรรถ
งานแปลของท่านั้นเป็นที่นิยมของผู้สนใจการศึกษาธรรมในปัจจุบันอย่างมากไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ มหาปารมิตตาสูตร ปรัชญาปารมิตหฤทัยสุตร อภิธรรมหายาน เป็นต้น สมณะเสีวยนจั้งนั้นยังมีผลงานอีกฉบับที่ท่านได้เขียนขึ้นและสร้างชื่อเสียงให้กับท่านจนทุกวันนี้คือ “บันทึกการเดินทางสู่แคว้นตะวันตก” บันทึกฉบับนี้ทำใหชาวโลกได้รับรู้ความเป็นสังคมอินเดียโบราณ ทั้งดินแดนแถบเอเชียกลาง บันทึกเล่มนี้ยังทำให้เราเห้นภาพความยิ่งใหญ่ของมหาวิทยาลัยนาลันทา และนับว่าเป็นหลักฐานสำคัญนการยืนยันถึงความเจริญร่งเรืองของพระพุทธศาสนาในช่วงพระพุทธศาสนาในยุคสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๒
สมณะเสวียนจั้ง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งประวัติพระพุทธศาสนาจีนนอกจากการเป็นนักแปล นักปฏิบัติ ผู้รอบรู้พระพุทธศาสนา อุทิศชีวิตให้กับงานสมควรให้ชนรุ่นหลังยึดถือและปฏิบัติตามนำคุณค่าสู่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง
ต้นกำเนิด
ธรรทายาทแห่งพระพุทธศาสนา
ชาติภูมิ
สมณะเสวียนจั้งเกิดในตระกูลเฉิน มีนามเดิมว่าฮุย ในรัชสมัยของพระเจ้าสุยเหวินตี้ ณ นครลั่วหยาง อำเภอโกวสื่อ บิดาชื่อ เฉินหุ้ย เคยรับราชการเป็นนายอำเภอ ช่วงปลายอายุลาออกมาอยู่ที่บ้านเกิด นายเฉินหุ้ยมีบุตร ๓ คน คือ ธิดา ๑ คน ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพี่ชายคนโต ส่วนบุตรชายคนรองชื่อ ซู่ ออกบวชถือพศบรรพชิตที่วัดจิ้งถู่ นครลั่วหยาง มีสมณนามว่า เจี่ยเจี่ย ธิดาสมรสกับสกุลจาง ที่เมืองอิ๋งโจว คนสุดท้องคือ สมณเสวียนจั้ง
มารดานั้นเสียชีวิตลงเมื่อท่านอายุได้ ๕ -๖ ขวบ วัยเด็กท่านได้รับการอบรมจากบิดา เป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบและปฏิภาณดีเยี่ยม ไม่ชอบการละเล่นเหมือนเด็กๆในวัยเดียวกัน ท่านเป็นผู้มีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อ่นหนังสือที่ไร้สาระ เลื่อมใสในคำสอนของปราชญ์โบราณ จากวัยเด็กของท่านที่ได้รับการศึกษาเน้นในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ประกอบท่านเป็นเด็กช่างคิด ตรึกตรองมีเหตุมีผล กล้าหาญกตัญญูกตเวทีทำให้ท่านได้รับความเคารพจากบุคคลต่างๆโดยทั่วกัน
ชะตาพลิกผัน
ชีวิตในวัยเด็กของท่านนั้นสั้นนัก เมื่อท่านอายุได้ ๑๐ ขวบ บิดได้เสียชีวิตลง ท่าจึงต้องไปอยู่กับพระพี่ชายที่วัดจิ้งถู่
ณ วัดจิ้งถู่ สมณะจั่งเจี่ยได้เริ่มสอนความรู้ต่างๆในพระพุทธศาสนาแก่ท่าน นับได้ว่าเป็นการแรกเริ่มให้ท่านได้สู่พระพุทธศาสนา ท่านเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้ได้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ ด้วยวัยเพียง ๑๑ ขวบ ท่านสามาถท่องจำคัมภีร์ วิมลเกียรตินิเทศสูตร และอวตังกสุตรได้อย่างแม่นยำ เมื่ออายุได้ ๑๓ ปีตรงกับ พ.ศ. ๑๑๕๔ มหาอำมาตย์ฝ่ายยุติธรรม รับราชโองการมาเป็นประธานในการจัดพิธีบวชพระภิกษุที่นครลั่วหยาง ได้เห็นบุคคลิกพิเศษและความชาญฉลาดของท่านได้อนุญาติให้ท่านบวชเป็นกรณีพพิเศษ ได้เป็นสามเณร ได้สมณะนามว่า “เสวียนจั้ง”
หนีภัยสงครามสู่เฉสวนเมืองฟ้าประธาน
ในกาลต่อมา นครลั่วหลางตกอยู่ภายใต้สงคราม มีกลุ่มก่อกบฏเกิดขึ้นเพราะไม่พอใจการปกครองของพระเจ้าสุยหยั่งตี้ บ้านเมืองเกิดระส่ำระสาย ทั้งพระและชาวบ้านต่างอพยพหลบหนีภัยสงครามท่นและพี่ชายจึงพากันเดินทางไปยังนคร ฉางอาน แต่ก็หาได้สงบดั่งใจไม่เพราะเมืองนี้ได้ถูกพระเจ้าถังเกาจู (ปฐมกษัติรย์แห่งราชวงศ์ถัง)ตีแตกและยึดครองไว้ ผู้คนจึงพากันเดินทางลงใต้ไปยังนครเฉฉวน เพราะเป้นดินแดนเดียวที่ปลอดภภัยจากสงคราม ทั้งด้านการเจริญทั้งเศรษฐกิจอุดมสมบรูณ์ถึงแม้ที่อื่นจะได้รับผลกระทบจากสงครามแต่เมืองนี้กลับไม่ได้รับผลกระทบเลย
สมณะเสวียนจั้งแลพพระพี่ชายได้เดินทางมายังนครนี้ ที่เมืองเฉิงตูท่านใช้เวลาส่วนมากุ่มเทให้กับการศึกษา มีความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งท่านใช้เวลาทั้งหมด ๓-๔ ปีที่พักอยู่เมืองนี้ศึกษาทฤษฎีของทั้งสองนิกายคือมหายานและสาวกยาน
สมณะเสวียนจั้งและสมณะจั่งเจี๋ยพี่ชายของท่าน เป้นผู้มีความรู้ที่แตกฉานในพระคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งแตกฉานในลัทธิเต๋า สามารถนำเอาปรัชญาของทั้งสองหลักมาอธิบายกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาได้ ตรึงใจผู้ฟังได้เป็นอย่างมาก ได้รับการชื่นชมจากประชาชนว่า “สองอาชาแห่งสกุลเฉิน” พี่ชายท่านพอใจกับนครเฉิงตูเป็นอย่างมาก จึไม่ค่อยเห็นด้วยกับน้องชายที่จะเดินทางไปยังเมืองอื่น
ท่องเที่ยวแสวงหาสัทธรรมทั่วแผ่นดิน
แต่ชื่อเสียงลาภสักการะไม่อาจครอบงำหรือหยุดยั้งจิตใจที่ต้องการแสวงหาความรู้เพิ่งขื้นของสมณะเสวียนจั้งได้ เพราะเมื่อใดที่รู้สึกว่าตนเองได้มาถึงจุดอิ่มตัว ท่านก็คิดที่จะเดินทางไปแสวงหาความรู้จากแหล่งใหม่ เพื่อเสริมสร้างภูมิธรรมให้กับตนเอง ท่านจึงคิดออกเดินทางขึ้นไปทางเหนือโดยไม่สนใจคำทัดทานของพี่ชาย ราว พ.ศ. ๑๑๖๖ ท่านได้แอบนัดแนะกับพ่อค้าลงเรือกลางดึก ล่องไปเมืองต่างๆเลียบลำน้ำแยงซีเกียง ซึ่งปัจจุบันคือ มณฑลหูเป่ย เจียงซูเจ้อเจียง จากนั้นกลับขึ้นเหนือไปเหอเป่ย สุดท้ายย้อนกลับมานครฉางอันอีกครั้ง ซึ่งบัดนี้ราชวงศ์ถังได้สถาปนาขึ้นแล้วอย่างมั่นคง บ้านเมืองได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่จนรุ่งเรืองเช่นในอดีต กลับมาเป็นศูนย์กลางเศรษกิจการเมืองและวัฒนธรรมอีกครั้ง กิจกรรมทางพระพุทธศาสนามีความคึกคักขึ้น
๘ ปี ของการจาริกศึกษา ตลอดเส้นทางที่ไปนั้นมีทั้งการศึกษาและการบรรยายธรรมคือ ให้คำอรรถาธิบายแก่ผู้ที่ไม่รู้ และขอความรู้จากผู้รู้เมื่อมีโอกาสก็จะไต่ถามข้อธรรมในคัมภีร์ที่มีการแปลแตกต่างกันไป ด้วยปฏิภาณไหวพริบที่ชาญฉลาด กิริยาที่อ่อนน้อมถ่อมตนใฝ่ศึกษา เป็นที่ประทับใจของบรรดาอาจารย์ ถึงกับกล่าวสรรเสริญว่า “ท่านนี้ควรได้ชื่อว่า อาชาไนยของพระพุทธศาสนาที่วิ่งเร็วได้วันละพันลี้ การที่จะให้แสงสว่างแห่งดวงปัญญารุ่งโรจน์อีกนั้น ควรต้องได้แก่ตัวท่านโดยแท้”
อาชาไนยพันลี้แห่งพระพุทธศาสนา ท่านนี้ เริ่มฝึกปรือมาตั้งแต่นครลั่วหยาง ไปนครฉางอัน วิ่งลงใต้ไปเมืองเสฉวน แล้วกลับขึ้นเหนือไปอีกครั้งท่านจาริกไปตลอดเกือบครึ่งปีค่อนแผ่นดินจีน ราวกับว่าท่านกำลังสั่งสมประสบการณ์เพื่อปูพื้นฐานให้กับการเดินทางไกลสู่ชมพูทวีป การจาริกเพื่อแสวงหาพระสัทธรรมในประเทศครั้งนี้ หากดูผิวเผินแล้วเหมือนกับว่าท่านได้รับผลเก็บเกี่ยวอย่างเอกอุ ซึ่งนับตั้งแต่ออกบวชที่นครลั่วหยาง ปี พ.ศ. ๑๑๕๕ ถึง พ.ศ. ๑๑๖๘ พระอาจารย์ที่ท่านฝากตัวเป็นศิษย์รวม ๑๓ ท่าน ล้วนเป็นพระเถระ ผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในประเทศจีนยุคนั้น ส่วนคัมภีร์ที่ท่านศึกษา อาทิ อภิธรรมศาสตร์ อภิธรรมโกศศาสตร์ มหายานสัมปริครหศาสตร์ สัตยสิทธิวยกรณศาสตร์ และมหาปรินิพพานสูตร เป็นต้น จึงเป็นที่คาดเดาว่าความรู้ที่ท่านศึกษามานั้น ลึกซึ้งเจนจบเพียงใด อาจกล่าวได้ว่าก่อนที่จะจาริกไปดินแดนตะวันตก ท่านได้ศึกษาพระพุทธศานาทั้งฝ่ายมหายาน และสาวกยานเกือบหมดแล้ว
ใยช่วงปี ค.ศ. ๑๑๙๖ ราชวงศ์ได้ส่งสมณฑูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศแถบทางเอเชียกลาง ในตอนกลับมีพระสงฆ์จากอินเดียเดินทางมาด้วย ชื่อ พระปภากรมิตร ท่านเป้นศิษย์ของพระศีลภัทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยนาลันทา ด้วยเหตุนี้ท่านอาจได้รับแรงบันดาลใจจากการได้ยินได้ฟังเรื่องราวของมหาวิทยาลัยนาลันทาจากตรงนี้ก็ได้
ลักลอบออกพระราชอาณาจักร
นับแต่ปลายยุคราชวงศ์ฮั่น การเดินทางออกนอกประเทศเป็นเรื่องลำบากมากเพราะหากผู้ใดประสงค์เดินทางไกลข้ามเมืองต้องมีบัรผ่านทางก่อน จึงจะได้รับการอนุญาติให้เดินทางออกไปหากใครลักลอบก็จะถูกจับกุม
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้สมณะเสวียนจั้งจึงได้เดินทางออกจากมืองโดยลับๆ ด้วยการออกดินทางในเวลากลางคืน แล้วพักตอนกลางวัน จากนครฉางอันสู่ชมพูทวีปในเดือน สิงหาคม พ.ศ. ๑๑๗๐ เจินกวานปีที่๑ (ปีที่ขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าถังไท่จง)
อีอู้ แคว้นแรกหลังรอดชีวิตจากทะเลทรายหฤโหด
นับตั้งแต่ผ่านด่านเหล็กทั้ง ๕ ของชายแดนประเทศจีน แม้จะไม่ต้องวิตกกับเรื่องการถูกตามจับกุมตัวอีกต่อไป แต่ก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งกลางทะเลทราย เพราะทำน้ำดื่มหาย เดินทางโซซํดโซเซโดยไม่มีน้ำดื่มสักหยดเป็นเวลา ๕ วัน ๔คืน จนหมดสติไปทั้งคนและม้าเมื่อฟื้นคือสติโชดดีที่ได้ม้าแก่ชำนาญทางพาไปพบแหล่งน้ำจึงรอดตายเมื่อทั้งคนและม้าได้ดื่มน้ำผักผ่อนจนมีแรงอีกครั้งจึงเดินทางต่อไป ได้พักค้างแรมที่วัดพระหยกคิดว่าหายเหนื่อยแล้วจะไปแต่ข่าวจาริกไปชมพูทวีปของท่านคงแพร่มาถึงแค้วนต่างๆ ในดินแดนแห่งนี้ล่วงหน้าก่อนแล้วเมื่อท่านมาถึงจึงมีชาวเมื่องทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์จำนวนไม่น้อยพากันมากราบนมัสสการความทราบไปถึงพระราชาแห่งแค้วน ทรงเร่งเสด็จมากราบนมัสการพร้อมนิมนต์พร้อมท่านย้ายไปพำนักยังพระราชวัง ให้การอุปัฏฐากด้วยความเคางรพอย่างสูง และปรารถนาให้ท่านพำนักอยู่นานๆ
พระราชาแห่งแค้วนอีอู้เป็นพระราชาองค์แรกที่ให้การตอนรับสมณะเสวียนจั้งอย่างสูงยิ่งนับแต่ออกจากชายแดนประเทศจีน ท่านพำนักอยู่ที่แค้วนนี้กว่า๑๐วัน เนื่องจากราชทูตของแค้วนเกาชางมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีที่แค้วนอีอู้จึงทราบข่าวการจาริกของพระนักแสวงบุญอันลื่อชื่อผู้นี้ เมื่อกลับมาเกาชางได้นำความกราบทูลพระราชาจัดส่งข้าหลวงถือรับสั่งมาอาราธนา ท่านจึงจำต้องเดินทางย้อนกลับไปยังเมื่องเกาชาง
แค้วนอีอู้ในปัจจุบันคือเมื่องฮามิ เขตปกครองตนเองเกวยอู๋เออร์ มณฑลซินเจียง ประเทศจีน ประชาชนพลเมื่องที่นี้ส่วนใหญ่กลายเป็นอิสลามิกไปหมดแล้ว
พระราชาแห่งแค้วนเกาชางผู้ให้ทุนการศึกษา ๒๐ ปี
แค้วนเกาชาง ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางของสมณะเสวียนจั้งเลย แต่เมื่อพระราชาแห่งแค้วนส่งข้าหลวงมานิมนต์จึงไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อพระราชาจวีเหวินไท่ ได้พบปะวิสัชนาธรรมด้วยแล้วทรงให้ความเคารพเลื่อมใสท่านอย่างยิ่ง ปรารถนาให้ท่าอยู่เผยแผ่ธรรมในแค้วนเกาชางตลอดไป จึงทักท้วงเหนี่ยวรั้งการไปชมพูทวีปของท่านโดยไม่ตรัสถึงการเดินทางของท่าน อีกทั้งพระเถระอาวุโสในแค้วนหลายรูปผลัดเปลี่ยนกันมาพูดจาหว่านล้อม แต่การกระทำทั้งหมดนี้ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของท่านได้ ครั้นท่านยืนยันความตั้งใจแน่วแน่ที่จะจาริกต่อไป พระองค์ถึงกับใช้อำนาจข่มขู่ว่าจะนำตัวท่านส่งกลับประเทศจีน ให้ทางการจีนลงโทษในฐานะผู้ลักลอบออกจากราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อกาลกลับเป็นเช่นนี้ ท่านจึงประท้วงด้วยการอดอาหารไม่ยอมแตะต้องแม้น้ำสักหยด ไม่ว่าพระราชาจะทรงอ้อนว้อนอย่างไร ท่านไม่หวั่นไหวเปลี่ยนใจ
ลุถึงวันที่ ๔ ของพระการอดอาหาร พระราชาเห็นท่านมีท่าทางอิดโรยจวนเจียนแก่ชีวิตเต็มที ในพระทัยรู้สึกผิดเกรงกลัวต่อปาป จึงนมัสการขอขมาและยินยอมให้ท่านเดินทางต่อไปตามประสงค์ ขอแต่ให้ท่านยอมฉันอาหาร ท่านเกรงว่าพระราชาจะบิดพลิ้วอีก จึงขอร้องให้เปล่งคำสาบานต่อฟ้าดิน พระราชาจึงตรัสขอนับถือเป็นพี่น้องร่วมสาบาน โดยทำพิธีในวัด มีพระชนนีทรงประทับ ณ ที่นั้นเป็นประจักษ์พยาน พระราชาทรงอธิฐานขอให้ได้เป็นผู้อุปัฏฐากท่านเช่นเดียวกับพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระเจ้าพิมพิสารที่ได้เป็นผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า และเมื่อท่านสำเร็จการศึกษาแล้วขอให้ท่านกลับมาเผยแผ่พุทธธรรมที่แคว้นเกาชางเป็นเวลา ๓ ปีแต่ระหว่างนี้ ขอให้ท่านอยู่ต่ออีกเดือนหนึ่งเพื่อแสดงธรรมเรื่องราชไมตรีโลกบาล และปรัชญาปารมิตาสูตร แก่ชาวเมืองเกาชางขณะเดียวกันพระองค์จะได้มีเวลาตระเตรียมสิ่งของจำเป็นต่อการเดินทางและอยุ่มศึกษาในอินเดียให้ท่าน
ทุกวันเมื่อถึงเวลาแสดงธรรมพระราชาทรงยกกระถางธูปเสด็จมาพร้อมด้วยเหล่าข้าราช บริพาร มรงนำสมณะเสวียนจั้งเข้าสู้ประรำธรรมศาลาที่จัดสร้างขึ้นเฉพาะกิจ พอถึงก็ลดพระวรกายลง ให้ท่านเหยียบหลังก้วขึ้สู้ธรรมมาสน์พระองค์ทรงปฏิบัติเช่นนี้ตลอดระยะเวลา ๑ เดือนจนกระทั่งการแสดงธรรมสิ้นสุดลง พระชนนีทรงปลบปลื้มเป็นที่ยิ่ง ทรงอธิฐานขอให้ได้กลับมาเป็นญาติโยมของท่านตลอดทุกภพทุกชาติไป
พระราชาทรงมีรับสั่งให้บวชเณร ๔ รูป เพื่อติตามรับใช้ท่านในระหว่าง เดินทางทำสบงจีวร ๓๐ ชุดสำหรับใช้ตลอด ๔ ฤดูกาล ยังได้จัดเตรียมเครื่องกันหนาว อาทิ ผ้าคลุมหน้า ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้าหนังหุ้มแข้ง รวมกว่า๕๐สิ่งทองคำร้อยตำลึง เงินตราสามหมื่น ผ้าแพรพรรณห้าร้อยพับ ซึ่งเป็นทุนเพียงพอที่ท่านจะอยู่ศึกษาในอินเดียถึง๒๐ปีพร้อมด้วยพาหนะม้า๓๐ตัวคนรับใช้๒๕คนอีกทั้งมีราชสาสน์และผ้าแพรพรรณเป็นเครื่องบรรณาการถึงแคว้นต่างๆ ที่ท่านจะต้องจาริกผ่านไปรวม ๒๔ แคว้นเพื่อขอให้แคว้นต่างๆคอยอำนวยความสะดวก ทรงเสด็จพร้อมด้วยข้าราชบริพารตามส่งหลายสิบลี้ด้วยความโศกเศร้าอาลัย
สมณะเสวียนจั้งซาบซึ้งในพระอุปการอันใหญ่หลวงของพระราชาแห่งแค้วนเกาชางยิ่งนัก ได้ถวายปฏิการะลิขิตแสดงเจตจำนงในการจาริกไปอินเดียและต่อมาเมื่อท่านเรียนจบได้ตั้งใจปฏิบัติตามข้อสัญญาอย่างสื่อสัตย์ โดยท่านไม่ทราบว่าพระราชาได้สิ้นพระชนม์ พ.ศ.๑๑๘๓หลังท่านจากมาเพียงปีเศษ
พบสหธรรมมิกขณะพักศึกษาที่แคว้นพัลข์ (Balkh)
แคว้นพัลข์ ปัจจุบันคือเมือง balkh ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง mazar l sharif ภาคเหนือของประเทศอัฟกานิสถาน
สมณะเสวียนจั้งได้พบพระปรัญญากร ชาวแคว้นฏักกะซึ่งเดินทางมานมัสการพระพุทธสถานที่แคว้นพัลข์ และพำนักที่วัดนวสังฆาราม พระภิกษุรูปนี้เป็นผู้มีสติปัญญาและความรู้กว้าง
ขวาง เชี่ยวชาญในเรื่องพระไตปิฏกฝ่ายสาวกยาน เช่น อภิธรรมกัจจายนปกรณ เป็นต้น ทั้งหมดต่างสนทนาเป็นที่ถูกอัธยาศัยกันมากจึงพร้อมใจกันจาริกไปนมัสการพุทธสถานต่างๆ ด้วยกัน
จาริกสู่แค้วนกัศมีระ
พ.ศ.๑๑๗๑ปลายฤดูหนาว เดินทางถึงแค้วนกัศมีระ(ปัจจุบันคือมลรัฐแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย)ที่แค้วนนี้สมณะเสวียนจั้งเข้าพำนักที่อารามชเยนทร เป็นเวลาประมาณ ๒ปื กับพระอาจารย์ยศสังฆปาโมกข์ อายุ๗๐ ปี ผู้แตกฉานพระไตรปิฎกและคัมภีร์อภิธรรมโกหศศาสตร์อภิธรรมนยายานุสารศาสตร์ ตอนกลางวัน จะร่วมศึกษาข้อธรรมในคัมภีร์อภิธรรมโกศศาสตร์ และอภิธรรมนยายานุศาสตร์ ร่วมกับพระอาจารย์ ตอยกลางคืน ฟังบรรยายเรื่อง เหตุวิทยาศาสตร์ ศัพท์วิทยาศาสตร์ วิภาษาศาสตร์นอกจากนี้ยังศึกษาภาษาสันสกฤตด้วย
ขณะเดียวกัน ได้มีธรรมสากัจฉากับหมู่สงฆ์ที่มาชุมนุมกันที่นี้ ซึ่งล้วนเป็นผู้มีความรู้กว้างขวางและเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา อาทิ พระวิสุทธสิงห และพระชินพันธุ ผู้ศึกษาในฝ่ายมหายานพระสุคตมิตร และพระวสุมิตร ฝ่ายสรวาสติวาท พระสุรยเทวะ และพระชินตราต ฝ่าย
มหาสังฆิกเป็นต้น
จาริกสู่แคว้นฏักกะ
พ.ศ.๑๑๗๒ฤดูใปไม้ร่วง จากแค้วนกัศมีระไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่อินเดียกลาง จาริกถึงแคค้วนฏักกะ(ปัจจุบันอยู่บริเวณเมื่อง ประเทศปากีสถาน)ณ ป่ามะม่วง ท่านได้พบพราหมณ์ท่านหนึ่ง(อาจารย์เสถียร โพธินันทะ วิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นพระนาคโพธิ)ตามบันทึกว่าท่านมีอายุ๗๐๐ปี แต่กลับดูเหมือนคนที่น่าจะอายุเพียง๓๐ปีวิเศษ อ้างว่าเป็นศิษย์ของพระนาคารชุนมีความรู้เชี่ยวชาญในคัวภีมร์มาธยมิกศาสตร์ และศคสตร์ ทั้งรอบรู้ในคัมภีร์พระเวทของนิกายมนตรยาน(คุยหยาน)สมณะเสวียงจั้งอยู่ศึกษาศตสตร์ศตศาสตร์ไพบูลย์ กับพราหมณ์ท่านี้เป็นเวลาเดือนเศษ
จาริกสู่แค้วนจีนภุกติ
พ.ศ.๑๑๗๓จาริกสู่แค้วนจีนภุกติ ที่อารามดตษาสน มีพระวินีตประภา ซี่งเดิมเป็นโอรสในพระราชาในอินเดียเหนือแตกฉานในพระไตรปิฏก เป็นผู่แต่งฏีกาปัญจสกันธศาสตร์ วิทยามาตราสิทธิตรีทศศาสตร์ ทั้งเชี่ยวชาญในหลักธรรมของฝ่ายสรวาสติวาทโยคจาร และเหตุวิทยาศาสตร์ สมณะเสวียนจั้งพำนักอยู่ที่นี้ ศึกษาอภิธรรมสมุจจยวยขยาศาสตร์อภิธรรมปรกรณศาสนศาสตร์ นยายทวารตรรกศาสตร์ เป็นเวลา๔เดือน
จาริกสู่แค้วนชาลันธร
พ.ศ.๑๑๗๓ฤดูใบไม้ผลิ สมณะเสวียงจั้งออกจากแค้วนจีนภุกติมุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว๑๕๐ ลี้ จาริกถึงแค้วนชาลันธร ที่แค้วนนี้พระพุทธศาสนารุ่งเรื่องมาก ท่านพำนักที่อารามนครธน ศึกษาคำภีร์ปรกกรณปาทวิภาษาศาสตร์ กับอาจารย์จันทรวรมัน เป็นเวลา๔เดือน
จาริกสู่แค้วนศรุฆนะ
พ.ศ.๑๑๗๓ ต้นฤดูหนาว จาริกถึงแค้วนศรุฆนะในอินเดียกลาง ศึกษา กับพระอาจารย์ชัยคุปต์ เป็นเวลาเดือนเศษ
จาริกสู่แค้วนมติปุระ
พ.ศ.๑๑๗๔ ต้นฤดูไม้ผลิ จาริกถึงแค้วนมติปุระ พำนักอยู่กับพระมิตรเสน อายุ๙๐ปีเป็นศิษย์ของพระคุณปรพภา ผู้แต่งคัมภีร์ตัตตวสันเทศศาสตร์ อยู่ศึกษาตัตตวสันเทศศาสตร์ เป็น
เวลา ๔ เดือน
จาริกสู่แค้วนกันยากุพชะ
พ.ศ.๑๑๗๔ ปลายฤดูร้อนจาริกสู่แค้วนกันยากุพชะ พำนักอยู่ที่อารามภัทรวิหาร ๓ เดือนศึกษาคัมภีร์วิภาษาศาสตร์ของพระพุทธทาส
ต่อมาภายหลัง ท่านได้กลับมาที่แค้วนกันยากุพชะอีกครั้ง เพื่อมาโต้ว่าที่ธรรมครั้งประวัติศาสตร์ สร้างชื่อเสียงให้กับท่าน จากการชนะการวาที และได้รับความเลื่อมใสอย่างมากในชมพูทวีป
มหาวิทยาลัยนาลันทา
มหาวิทยาลัยนาลันทาหรือนาลันทามหาวิหาร เป็นสถาบันการศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนาในอินเดียโบราณซึ่งมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ตั้งอยู่ในเมืองราชคฤห์แคว้นมคธ ตามประวัติสืบกันมาว่าในสมัยเมื่อครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชได้มีการรวมวัดประมาณ ๖ วัดเข้าด้วยกัน โดยมีกำแพงรอบวัดให้อยู่ในอาณาเขตเดียวกัน จึงมีชื่อว่า “มหาวิหาร” หรือ “วัดใหญ่” และคงมีการขยายตัวตามลำดับยุคสมัย การพัฒนามาเป็นสถาบันการศึกษาในสมัยใดนั้น ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่หลังฐานตามที่ตารนาถ นักประวัติศาสตร์ชาวธิเบตได้เขียนไว้ว่า พระนาครชุน ปราชญ์คนสำคัญของมหายาน ผู้ก่อตั้งปรัชญามาธยมิกได้อยู่ที่นาลันทา ก็แสดงว่าในสมัยของพระนาครชุน ราว พ.ศ. ๖๑๓-๗๑๓ มหาวิทยาลัยนาลันทาได้มีอยู่แล้ว
ยุคที่อาจถือว่าเป็นยุคทองของมหาวิทยาลัยนาลันทาคือ สมัยราชวงศ์คุปตะ สถาบันการศึกษาแห่งนี้เปิดสอนหลักสูตรพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายมหายานและสาวกยาน ทั้ง ๑๘ นิกายพร้อมทั้งสาขาอื่นๆอีกมากมาย
ตามบันทึกของพระเสวียนจั้ง สถาบันแห่งนี้นอกจากมีพระซึ่งเป็นคนท้องถิ่นแล้วยังมีพระนักศึกษาจากต่างประเทศเช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น
ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มหาวิทยาลัยนาลันทาได้ถูกกองทัพเตอร์กรุกรานและเผาทำลายจนหมดสิ้น ความรุ่งเรืองและความเสื่อมของมหาวิทยาลัยนาลันทา จึงเป็นเครื่องเตือนใจของเราได้เป็นอย่างดีว่า “จงอย่าประมาทในชีวิต สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นอนิจจัง”
ก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัย
ในราวต้นเดือ ๑๐ พ.ศ. ๑๑๗๔ สมณเสวียนจั้ง จาริกถึงมหาวิทยาลัยนาลันทา ตามบันทึกของพระถัมซำจ๋งกล่าวว่า ท่านพำนักอยู่ที่นี่ นานถึง ๕ ปีตั้งแต่ พ.ศ. ๑๑๗๔-๑๑๗๙ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ท่านได้พระอาจารย์ศีลภัทรอธิการบดีมหาวิทยาลัยนาลันทาบรรยายคัมภีร์คาวจรภูมินอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆทั้งสันสกฤตแลด้านภาษาอื่นๆอีกมากมาย
จาริกสู่แคว้นอีรณบรรพต
ประมาณ พ.ศ. ๑๑๗๙-๑๑๘๐ เดินทางไปศึกษาวิภาษาศาตร์และนยายานุศาตร์ กับพระตถาคตคุปต์และพระกษานติสิงห์
จาริกสู่แคว้นโกศล
ราวพ.ศ.๑๑๘๐ ท่านเดินทางไปยังแคว้นโกศลใช้เวลาพำนักถึง ๑๐ เดือนเพื่อศึกษาคัมภีร์ประมาณสมุจจยศาตร์กับพราหมณ์ผูแตกฉานในคัมภีร์เหตุวิทยาศาสตร์
จาริกสู่แคว้นธานยกฏก
จาริกลงสู่อินเดียใต้ ถึงแคว้นายกฏก ได้พบกับพระสุภูติ และพระสูรย ผู้ทรงความรู้ในพระไตรปิฎกฝ่ายมหาสังฆิกะทั้งสามรู้สึกถูกอัธยาศัยกันมากจึงร่วมกันเดินทางไปสักการะพุทธสถารร่วมกัน
จาริกสู่แคว้นบรรพต
ราวพ.ศ. ๑๑๘๑ จาริกถึงอินเดียตอนเหนือถึงแคว้นบรรพตที่นี่มีพระเถระที่ทรงความรู้ในคัมภีร์ของฝ่ายสัมมัตติยะ ท่านพำนักอยู่ที่นานปี เพื่อศึกษาคัมภีร์มูลลาภิธรรมศาตร์
พ.ศ.เดินทางกลับมหาวิทยาลัยนาลันทา เมื่อกราบนมัสการพระอาจารย์ศีลาภัทร เพื่อรายงานการทัศนศึกษาและผลการศึกษา พักอยู่ได้ไม่กี่วันได้เดินทางไปยังอารามติโลศก เพื่อไปหาพระ ปรัชญาภัทร ซึ่งเป้นผู้แตกฉานในพระไตรปิฎกของสรสวาสติวาท ใช้เวลาสองเดือนเพื่อสอบถามความสงสัยในข้อะรรมกับพระเถระรูปนี้
จากนั้นเดินทางไปยังสำนักของท่านชยเสน ได้ขอศึกษษวิชา ดาราศาตร์ ปฏิจจสมุปบาท เหตุวิทยา จนกระทั่งเมื่อพ.ศ.๑๑๘๓ ได้กราบลาพระชยเสน เดดินทางกลับมายังมหาวิทยาลัยนาลันทา
แคว้นบรรพตนั้นอยู่ที่เทือง Jummu ในภาคใต้ของแคว้นแคชเมียร์ แต่ก้มีนักวิชาการกล่าวว่าอยู่ที่เมืองหารัปปา หรือในบริเวณปากีสถานในปัจจุบัน
อาจารย์และวิชาที่ศึกษาในอินเดีย
การจาริกไปสู่ชมพูทวีปของสมณะเสวียนจั้ง ท่านก็ได้ศึกษาไปตลอดหนทางรู้ว่าอาจารย์ไหนดีท่านก็ได้ไปศึกษาถึงแม้จะเป็นนิกายอื่นก็ตาม
พระอาจารย์สมณะเสวียนจั้งได้พบและศึกษาวิปัสสนาธรรมที่มีชื่อชัดเจน ๑๕ ท่านมีพระพระปรัชญาเป็นต้น
วิชาที่ท่านศึกษาคืออภิธรรมโกศาจารย์ อภิธรรมนยายานุศาสตร์ อภิธรรมสมุจจจยวยขยาศาสตร์ อภิธรรมกรณศาสนาศาตร์ อภิธรรมชญาณปรัสถานศาสตร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังได้ศึกษาคำภีร์ไวยากรณ์ และภาษาสันสกฤต แม้ว่าท่านจะศึกษาคำภีร์อย่างอื่นๆแต่โดยหลักจะเน้นฝ่ายโยคาจาร
วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553
subhadravadhi: สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก
บทเรียนเรื่องความรักนั้นพระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจน สมารถนำไปใช้ได้ มีผลานิสงสิ์ต่อเราทุกคน >>>ท่านาครชุนกล่าวไว้ว่า
>>>> "การฝึกจิตให้เต็มไปด้วยความรักความเมตตา จะช่วยกำจัดความโกรธเกรี้ยวในจิตของสรรพสัตว์ การฝึกจิตให้เต็มเปี่ยมไปด้วความกรุณาจะช่วยขจัดความทุกข์ และความว้าวุ่น ในใจของสรรพสัตว์ การฝึกจิตให้เต็มไปด้วยมุทิตาจะช่วยให้เขาปัดเป่าความเศร้าหมองและเย้นชาใน ใจสรรพสสัตว์ การฝึกจิตให้เต้มไปด้วยอุเบกขาจะช่วยขจัดความเกียดชัง โทสะ และความยึดมั่นถือมั่นใจของสรรพสัตว์" (ปรัชญามหาปารมิตาสูตร)<<<<<
ฉะนั้น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พรหมวิหาร ๔ นี้แล เป็นสภาวธรรมที่แท้ที่อยู่ในตัวเราทุกคน เอามันออกมาใช้ดึงพลังนี้ออกมา จากเราสู่ทุกผู้ทุกคน (อัปปมัญญา)
วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553
เพราะเธอได้เจริญอะไร
รอย นิ้วมือ หรือรอยนิ้วหัวแม่มือปรากฏอยู่ที่ด้ามมีดของช่างไม้หรือลูกมือของช่างไม้ แต่ช่างไม้หรือลูกมือของช่างไม้นั้น หารู้ไม่ว่า ‘วันนี้ ด้ามมีดของเราสึกไปประมาณเท่านี้ เมื่อวานนี้ สึกไปประมาณเท่านี้ วันก่อนๆ สึกไปประมาณเท่านี้’ ที่แท้ด้ามมีดสึกไปแล้ว ช่างไม้หรือลูกมือของช่างไม้นั้น ก็รู้ว่า ‘สึกไปแล้ว’ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันเมื่อประกอบภาวนาอยู่เนืองๆ หารู้ไม่ว่า ‘วันนี้อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปประมาณเท่านี้ เมื่อวานนี้ สิ้นไปประมาณเท่านี้ วันก่อนๆ สิ้นไปประมาณเท่านี้’ ก็จริง ถึงอย่างนั้น เมื่ออาสวะสิ้นไปแล้ว เธอก็รู้ว่า ‘สิ้นไปแล้ว’
ภิกษุทั้ง หลาย เมื่อเรือเดินสมุทรที่ผูกด้วยเครื่องผูกคือหวายจอดอยู่ในน้ำตลอดฤดูฝน พอถึงฤดูหนาวเขาก็เข็นขึ้นบก เครื่องผูกเหล่านั้นต้องลมและแดด ถูกฝนตกรด ย่อมผุเปื่อยไปโดยง่าย แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อประกอบภาวนาอยู่เนืองๆ สังโยชน์ทั้งหลาย ก็เสื่อมสิ้นไปโดยง่ายเช่นกัน”
อย่าละเลย
วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553
นิทานอีสป กลอนผญาโดย มังกรเดียวดาย
กลอนผญาโดย มังกรเดียวดาย
กล่าวถึงหมาหนุ่มแน่น ผอมโซ โตจ่อย
หากินจนเมื่อยม้อย บ่พานพ้อเศษอาหาร
มื้อนึงย่างผ่านบ้าน เขาฆ่าไก่ใส่งานบุญ
กลิ่นหอมหวนโชยซูน จมูกหมาฟุดฟิดฟี่
หมาก็รี่ตรงเข้า หาเขียงสับไก่
พ่อครัวใหญ่ ลืมถิ่มไว้ ขาไก่โต้ง หนึ่งขา
หมาก็คาบเอาแล้ว โลดแล่นทะยานหนี
หาหม่องหลบลี้นอน หมอบกินสบายพ่าง
ขณะย่างบาทเยื้อง บนสะพานข้ามคลองใหญ่
น้ำคลองใสติ่งหลิ่ง เงาสะท้อน ปานแว่นแยง
หมาโง่บ่ฮู้แจ้ง ในเหตุธรรมดา
คึดว่าหมาอีกโต คาบขาไก่ คาค้าง
ขาไก่อยู่เบื้องล่าง สังใหญ่ดีน่ากินอิ่ม
คือสิซิมแซบซ้อย เต็มท้องกว่าไก่เฮา
ลืมของเก่าที่โตคาบ อยากมาบใหม่เข้าใจผิด
คิดโลภโมโทสัน แย่งชิงเอามาครอบ
หมาก็หมอบยองย่อ กระโจนลง พลางคายไก่
หวังชิ้นใหญ่อยู่เบื้องล่าง ต่อสู้แย่งชิง
น้ำที่เคยใสนิ่ง สะท้อนเงา วาวผุดผ่อง
กระเซ็นฟอง แตกฟ้ง วงน้ำ แตกกระจาย
เงาก็หาย ไก่ก็จมลงน้ำ บ่เห็นนำ น้อฮอดไง่
อยากได้ใหม่เพราะความโลภ จึงสูญถิ่มของโตมี
นี่ล่ะน้อ พี่น้อง คองผญาเพิ่นพาว่า
"อย่าได้เก็บดอกหว่านบ้านเพิ่นมาชม ให้เจ้าอดสาดมดอกกระเจียวแคมฮั้ว
สิบตำลึงอยู่ฟากน้ำ อย่าฟ้าวอ่าวคนิงหา สองสลึงมามือ ให้ฮีบกำมาเมี้ยน"
พากันเฮียนฮ่ำฮู้ ผญาครูแห่งนักปราชญ์ ผู้ฉลาดรอบรู้ เฮาฟังแล้ว ฮิ่นตรอง เอาเด้อ.
วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553
กลอนลำ ยอคุณ
โอ่ โอย....เพิ่นว่าลมพัดไม้ บ่แฮงปานลมส่า ลมหนาวพัดมา ออกพรรษามาฮอดแล้ว เหลียวปุนเบิ่งเมืองบ้าน บ่คือเค้า แต่เก่าหลัง ศรัทธาเอ้ย...
อันนี้หล่ะศรัทธาเอย เพิ่นว่า กัมมุนา กรรมไผสร้างไผมันผู้ปั้นแต่ง ไผผู้เฮ็ดกรรมดี ไผผู้เฮ็ดกรรมชั่ว มันกะเป็นเวรต้องหันติ้วลิ่วตาม
มาบัดนี้ คุณพ่อแม่เฮาเอ๋ย หลานสิได้กล่าต้านประวัติท่านผู้ทรงศีล ผู้เพิ่นครองฮีตเค้า องค์ล้ำหน่อพุทโธ สมนามกล่าวไว้หลวงพ่อ พระครูปทุมสมณวัตร อริยสงฆ์เอกล้ำ เมืองน้ำดำดินซุ่ม ผู้เพิ่นพาเฮ็ดสร้าง ทางเข้าสู่สวรรค์
เป็นพระสงฆ์เอกล้ำเหง้าหน่อพุทธองค์ ทรงคุณหลายประการดังฉันสิขอเว้า
พระ ประเสรฐิแท้สมควรครองวัตร
ครู หนักกะเอาเบากะสร้างจนได้เป็นวัดวา
ปทุม งามปานฟ้าพระคุณท่านเหลือหลาย
สมณ กิจใหญ่น้อยคอยสร้างศาสนา
วัตร สุปฏิปันโน เพิ่นกะปฏิบัติเตื้องเข้าสู่นีฤพาน เข้าสู่โพธิญาณผ่านพระไตรภูมิแก้ว ด้วยจิตใจที่ผุดแผ้วบ่มีแนวสิพล้อยด่าง จงมาแปลงหนทางให้แก่ท่าน ศรัทธาไท้ให้อยู่เย็น
สาธุเด้อ .....ข้าจั่งขอวอนไหว้ พระไตรญาณยอดยิ่ง มาเป็นมิ่งขวัญเกล้า หลวงพ่อใหญ่เฮาเด้อ ๗๒ ปีนี้ให้สุขีมั่นแก่น อย่ามีแนวเดือดฮ้อนหมองไหม้เหมื่อยมโน
อภิวันทนาก้มลาลงไว้สาก่อน คุณพ่อแม่พี่น้องคงสิได้จือจำ หลวงพ่อใหญ่เฮานี้เพิ่นทำดีไว้ให้เบิ่ง ยึดเป็นแบบ ยึดเป็นแผน เด้อพี่น้องเมืองบ้านสิอยู่เย็น สามัคคีกันไว้คือฝนแสนห่า ตกลงมาจากฟ้าไหลโฮมโฮ่งอยู่หนอง
รัตตะนัตตะเย ด้วยอำนาจพระไตรรัตน์ จงมาปกห่อหุ่ม ศรัทธาไว้ ให้อยู่เย็น ใสเลิงๆๆเอ่อ โอย ละน่า
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ตย .ภาษาภูไท
ภาษาภูไท คำแปล
กะโตก ถาด
โหเหจอ หัวใจ
มะเขอเคอ มะเขือเทศ
ไป่ซิเลอ ไปไหน
โห หัว
เอ็ดผะเหลอ ทำอะไร
มัก ชอบ รัก
หยะ ยาก
เม เมีย ภรรยา
โผ ผัว สามี
เห้า เข้า
เอ๊าะ ออก
คะลน คน(กริยา)
เซอ ใส่
มะขิด พริก
สาระธรรม นำปัญญา
๑. เป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ
๒. เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ (คือทำให้ลำบาก)
๓. เป็นไปเพื่อสะสมกองกิเลส
๔. เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ (คือไม่เป็นการมักน้อย)
๕. เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ
๖. เป็นไปเพื่อความคลุกคลี
๗. เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก
พึงทราบเถิดว่า นั่นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา
พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าพุทธะเพราะอรรถว่ากระไร
##########
สัพพปาปัสสอกรณัง กุสสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553
What is meditation?
However, meditation is universal. It means that not only Buddhist can do, the other religious followers can do too. Meditation is focusing on the own practice because the practitioners will get and understand about the result of meditation by themselves. And if they have any question, they can ask the expert with the accurate questions corresponding to their experience. Although the meditation theories have been described thoroughly, the practitioners may overlook it while they are meditating.
The Meanings of Meditation
Meditation can explain its meaning in many aspects including to the meditation effects and its processing, for example, meditation is calm, comfortable and happy feeling that human can make. In Buddhism, meditation has been appointed to be a regulation for the doers will have a better life, be conscious and intelligent. There is no limit of age or gender for meditation. Everyone can meditate simply.
The meanings in the aspect of meditation effects
Meditation is the indication of mind being in only one emotion continuously or the indication of mind being still, not wandering. The concentrated mind is united to be one, clean and clear enough to see how pure the mind is. The pure mind will cause that person to have a strong willpower, be smart and happy in the same time.1
The meaning in the aspect of processing
In the other hand, meditation in the aspect of processing is the stableness of mind, the stable state of mind in/on to something or the mind standstills to something without wandering.
The Biography of the Lord Buddha
To fully understand and appreciate the spiritual life of the Lord Buddha is a difficult task.
In His grace, the Lord Buddha left us with the knowledge of how to conquer the cycle of suffering in life, including old age, sickness and death. For western readers or non-Buddhists, it is necessary to add some explanation in case certain aspects of Buddhist culture and knowledge may be confusing or vague.
Lord Buddha
Although the whole of the Lord Buddha’s life has been fully explained in the Buddhist scriptures, Thais and/or other Buddhists seldom study it. Some of the following background information, then, will include answers to questions such as: How is it that Prince Siddhattha was able to walk for seven steps immediately after being born, or, How is it that at the age of seven he could complete the highest knowledge of liberal arts within seven days? It can be simply answered if you study his countless former lives where he pursued perfection as a Bothisattava (a Pali word meaning a man who seeks Buddhahood and fully cultivates the 30 branches of perfection) for more than 20 X 10140 kappas (one kappa is equated to the time from the origination to the extinction of the earth). Additionally, Prince Siddhattha was familiar with all knowledge ARTS (Arts and Liberal Arts) from his countless lives. The length of time taken in cultivating the perfection and self development in his former lives made him become the greatest of his time.
The reader should remember that the Lord Buddha himself had the most luxurious life before his renunciation: He was the Crown Prince ready to be the King of his country, Sakka. How is it possible, then, for such a man, who seemingly had everything that he could desire, to leave it all behind? Even the thought of this seems alien to the normal person who feels that only those things that are luxurious are worthy of pursuit. Therefore, because of this dissatisfaction that he felt with his life, it makes an interesting, valuable, and beneficial study.
Prince Siddhattha Gotama’s Conception
To begin, it is important to understand that the majority of people live in a world of impermanence. We all have to face instability in our lives and this instability makes our existence difficult because we seek perfection with our senses: In essence, we seek and question the source of our (perfect) eternal existence. From his birth, Prince Siddhattha Gotama questioned this himself.
He was born more than 500 years before the Anno Domini Era. One full moon night, sleeping in the palace, the Queen Maha Maya, his mother, had a vivid dream. She felt herself being carried away by four devas (spirits) to the Anatatta Lake in the Himalaya Forest. After bathing her in the lake, the devas dressed her in celestial clothes, anointed with perfumes and bedecked with divine flowers. Soon after, a white elephant holding a white lotus flower in its trunk, appeared, circled around her three times, and entered her womb through the right side. Once the elephant disappeared, the Queen awoke, knowing that she had been delivered an important message because the elephant is a symbol of greatness in ancient times. Early the next day, the Queen told her husband, Kind Suddhodana, about the dream. The kind was puzzled and sent for some wise men to discover the meaning of the dream. The wise men said, “Your Majesty, you have great fortune. The devas have chosen our Queen as the mother of the Purest One and the child will become a very great being.” The King and Queen were so pleased that they invited many of the noblemen in the country to a feast in the palace and told them the good news. In order to celebrate, King Suddhodana and his wife donated food, clothing, and other supplies to the poor, and this became a yearly royal tradition. The whole kingdom eagerly awaited the birth of the new prince. Queen Maya was joyful because of the health and happiness brought on by her pregnancy and she lived a life of purity for herself and her unborn child.
It was the ancient tradition of the royal lineage for the wife to return to her father’s kingdom when she was experiencing childbirth. On the way from Kapilavastua, the city where she lived with King Suddhodana, Queen Maya gave birth in Lumpini Forest Garden beneath the Sala Tree. On the day of his birth, many miracles were reported to occur – the deaf could hear, and the blind could see. On the seventh day of his birth, his mother died: The Buddhist scholars state in the scriptures that she died because she had accumulated all perfections in becoming the mother of a person who was to be the enlightened Buddha and, therefore, her body was no longer suitable to birth any other children. Her life, however, did not simply end because she was then reappeared as a male angel in the Tusitta Heaven Realm and waited there for Siddhattha’s enlightenment and his sermons. King Suddhodana then married Maha Pajapati, who was Maha Maya’s younger sister, and she raised his son. Queen Maha Pajapati also had two children with the King, Prince Nanada and Princess Rupananda, but her love for Siddhattha was equal to that of her own natural children.
Siddhattha was given his name during the birthing celebrations and it means “he who achieves his aim”. At the beginning of these celebrations, the hermit seer Asita journeyed from his mountain home in order to attend. When Asita saw the child he laughed and he cried. King Suddhodana questioned these two opposing reactions that Asita had and the seer said that he laughed because the child would certainly become a great holy man, but he cried because his own life would be too short to see that day. This made Siddhattha rise up in the air, and the child placed his feet in Asita’s hair while Asita examined the birthmarks. After seeing this extraordinary event, King Suddhodana praised his son by placing his two hands into the middle of his chest. This was the highest form of worship that the King could give. Soon after the naming ceremony which was held on the fifth day, the King invited eight Brahmin scholars to read his son’s future. All of them except one gave a dual prediction by showing two fingers, which meant that the baby would either become a great king or a great holy man. The one exception, the holy man Kondanna who was the youngest and who later became the first arahant, showed only his index finger and unequivocally predicted that Siddhattha would become the Lord Buddha.
Written by Thanapol Bumrungsri
subhadravadhi: เพลง ผู้ได้โอกาส
subhadravadhi: ๔. อัจจยสูตร ว่าด้วยคนพาลและบัณฑิต (พระสุตตันตปิฎ...
๔. อัจจยสูตร ว่าด้วยคนพาลและบัณฑิต (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๕๒๓)
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุสองรูปโต้เถียงกัน ในการโต้เถียงกันนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง
ได้พูดล่วงเกิน.
ครั้งนั้นแล ภิกษุผู้พูดล่วงเกินนั้นแสดงโทษโดยความเป็นโทษ (รับผิดและ
ขอโทษ) ในสำนักของภิกษุนั้น ภิกษุนั้นไม่รับ.
[๙๕๓] ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมาก พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่งอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง เมื่อนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
ประทานพระวโรกาส ภิกษุสองรูปได้เถียงกัน ในการโต้เถียงกันนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้
พูดล่วงเกิน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลำดับนั้น ภิกษุผู้พูดล่วงเกินแสดงโทษโดยความ
เป็นโทษในสำนักของภิกษุนั้น ภิกษุนั้นไม่รับ พระพุทธเจ้าข้า.
[๙๕๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลมี ๒ จำพวก
นี้ คือ ผู้ไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ . ผู้ไม่รับตามสมควรแก่ธรรมเมื่อผู้อื่นแสดง
โทษ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลมี ๒ จำพวกนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตมี ๒ จำพวกนี้ คือผู้เห็นโทษโดยความเป็นโทษ ๑
ผู้รับตามสมควรแก่ธรรมเมื่อผู้อื่นแสดงโทษ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตมี ๒
จำพวกนี้แล.
[๙๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อจะ
ทรงยังเทวดาชั้นดาวดึงส์ให้พลอยยินดี ณ สุธรรมาสภา จึงได้ตรัสพระคาถานี้ในเวลา
นั้นว่า
ขอความโกรธ จงอยู่ในอำนาจ
ของท่านทั้งหลาย ขอความเสื่อมคลายใน
มิตรธรรม อย่าได้เกิดมีแก่ท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลาย อย่าได้ติเตียนผู้ที่ไม่ควร
ติเตียน และอย่าได้พูดคำส่อเสียดเลย
ก็ความโกรธ เปรียบปานดังภูเขา ย่อมย่ำยี
คนลามก.
อรรถกถาอัจจยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอัจจยสูตรที่ ๔ ต่อไปนี้ :-
บทว่า สมฺปโยเชสุ แปลว่า ทะเลาะกัน. บทว่า อจฺจสรา ได้แก่ ล่วงเกิน.
อธิบายว่า ภิกษุรูปหนึ่ง ได้กล่าวคำล่วงเกินภิกษุรูปหนึ่ง. บทว่า ยถาธมฺมํ น ปฏิคฺ
คณฺหาติ ได้แก่ ไม่ยกโทษ. บทว่า โกโธ โววสมายาตุ ท่านแสดงว่า ความโกรธ
จงมาสู่อำนาจของพวกท่าน พวกท่าน อย่าไปสู่อำนาจของความโกรธ. คำว่า หิ
ในบทนี้ว่า มา จ มิตฺเต หิ โว ชรา เป็นเพียงนิบาต. ความเสื่อมในมิตรธรรม อย่า
เกิดแก่พวกท่าน. อีกอย่างหนึ่ง ตติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. อธิบาย
ว่า ความเสื่อมในมิตรธรรมอย่าเกิดแล้ว คือว่าความเป็นโดยประการอื่นจากความ
เป็นมิตรจงอย่ามี. บทว่า อครหิยํ มา ครหิตฺถ ความว่า อย่าติเตียนผู้ไม่ควรติเตียน
คือบุคคลผู้เป็นขีณาสพ.
จบอรรถกถาอัจจยสูตรที่ ๔
วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ชาวอีสานโบราณย้ายไปอยู่แคว้นสุโขททัย
เพลง ผู้ได้โอกาส
ใครจะโชคดีเช่นดั่งตัวเรา
ตั้งแต่ยังเยาว์ได้มาบวชสร้างบารมี
เป็นเทือกเถาเหล่ากอพระชินสีห์
ปลื้มปีติยินดีทุกวินาทีที่ผ่านไป
เราคือผู้มีบุญผู้ได้โอกาส
เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ตั้งแต่เยาว์วัย
บวชเป็นสามเณรพ้นเวรพ้นภัย
ยึดมั่นพระรัตนตรัยไปสู่ทางนิพพาน
เราคือความหวังของโลกใบนี้
ที่จะช่วยชี้หนทางแห่งความชื่นบาน
ดั่งดาราพรายฉายแสงยามรัตติกาล
ความมืดมนอนธกาลก็พลันมลายหายไป
เกิดมาจากไหนก็ไม่สำคัญ
ให้มาเร็วพลันได้บวชทันใด
เป็นสามเณรหน่อเนื้อเชื้อไข
ขององค์พระจอมไตรก็ภาคภูมิใจไปนิรันดร!
เป็นสามเณรหน่อเนื้อเชื้อไขขององค์พระจอมไตรก็ภาคภูมิใจไปนิรันดรๆๆๆ
ผู้ได้โอกาส ให้กำลังใจสามเณร ทุกรูป สู้ๆ
ใครจะโชคดีเช่นดั่งตัวเรา
ตั้งแต่ยังเยาว์ได้มาบวชสร้างบารมี
เป็นเทือกเถาเหล่ากอพระชินสีห์
ปลื้มปีติยินดีทุกวินาทีที่ผ่านไป
เราคือผู้มีบุญผู้ได้โอกาส
เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ตั้งแต่เยาว์วัย
บวชเป็นสามเณรพ้นเวรพ้นภัย
ยึดมั่นพระรัตนตรัยไปสู่ทางนิพพาน
เราคือความหวังของโลกใบนี้
ที่จะช่วยชี้หนทางแห่งความชื่นบาน
ดั่งดาราพรายฉายแสงยามรัตติกาล
ความมืดมนอนธกาลก็พลันมลายหายไป
เกิดมาจากไหนก็ไม่สำคัญ
ให้มาเร็วพลันได้บวชทันใด
เป็นสามเณรหน่อเนื้อเชื้อไข
ขององค์พระจอมไตรก็ภาคภูมิใจไปนิรันดร!
เป็นสามเณรหน่อเนื้อเชื้อไข
ขององค์พระจอมไตรก็ภาคภูมิใจไปนิรันดรๆๆๆ
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป
เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”
ใน โลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่ (มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)
ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”
เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ
เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้
ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด
อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์
แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย
โลกบัดนี้ มีอารยธรรมจริงหรือไม่? ∗ สัมโมทนียกถา ของ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
มองกว้างออกไป ทั่วโลกสถานการณ์ก็ไม่น่าไว้วางใจ ไม่รู้ว่าจะเกิดสงครามใหญ่กลายเป็นความขัดแย้งที่ทำให้เกิดความสูญเสียมาก มายขึ้นเมื่อใดเรื่องนี้เป็นปัญหาร่วมกัน ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกคน ทั้งเป็นเรื่องที่มีผลระยะยาว กระทบต่ออารยธรรมของมนุษย์
ในแง่หนึ่งก็เหมือนกับเป็นเครื่องตรวจสอบไปด้วยว่า อารยธรรมของเราที่
∗ สัมโมทนียกถา ของ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ในโอกาสที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมถวายปริญญา ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการบริหารองค์การเมื่อวันที่๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๕ ณ อุโบสถวัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐมพระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)๓
สร้างกัน ขึ้นมานี้ นำมาซึ่งสันติสุขแท้จริงหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งว่า เป็นอารยธรรมจริงหรือไม่อาจจะต้องถึงกับไปตรวจสอบความหมายของคำว่า“อารยธรรม ” กันอีกว่า
อารยธรรมที่แท้นั้นคืออะไร เพราะว่าแม้แต่คำไทยกับคำภาษาอังกฤษ ก็มีความหมายไม่ตรงกันแล้ว“อารยธรรม” แปลว่า ธรรมของอารยชน คือ คุณสมบัติของผู้เจริญ
ถ้าพูดให้ตรงตามศัพท์ทางพระพุทธศาสนาแท้ๆอารยะ ก็คืออริยะ ซึ่งแปลว่าผู้ไกลจากกิเลส
เพราะ ฉะนั้น อารยธรรม ก็คือ ธรรมของผู้ไกลจากกิเลสแต่เมื่อมองดูอารยธรรมปัจจุบันนี้ ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าอารยธรรมนั้นเป็นคุณสมบัติ เป็นกิจกรรม และเป็นผลงานด้านต่างๆ ของผู้ที่ไกลจากกิเลสหรือไม่
หรือจะเอาตามความ หมายของฝรั่ง ก็อาจจะมองอารยธรรมแค่เป็นเรื่องของคนเมือง ถ้ามุ่งหมายเพียงแค่นั้น ก็แล้วไปแต่ว่าโดยรวม เราคงไม่ดูเพียงความหมายตามตัวอักษรเมื่อว่าตามความหมายโดยสาระหรือโดยอรรถ
แน่ นอนว่า การที่มนุษย์สร้างสรรค์ความเจริญที่เรียกว่าอารยธรรมขึ้นมาก็เพื่อความอยู่ ดีมีสุขของมนุษย์ทั้งหลาย แต่สภาพที่มนุษย์อยู่กันอย่างที่เป็นอยู่นี้ เป็นความอยู่ดีมีสุขหรือยัง เราพูดถึงคำต่างๆ เช่น สันติภาพ และสันติสุข เป็นต้น
แต่แล้วเราก็บอกว่าจนถึงเวลานี้มนุษย์ก็ไปไม่ถึงสักที พบแต่ปัญหากันอยู่เรื่อย๔ กระแสธรรม กระแสไทเท่ากับบอกว่า อารยธรรมนั้น ยังไม่บรรลุผลสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น
ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ (จุดบรรจบ: รัฐศาสตร์ กับ นิติศาสตร์)
คนไม่น้อย พูดกันบ่อยว่า ให้เอาวิกฤตเป็นโอกาส แต่เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นจริง ก็มักลืมคตินี้ไป หาได้ประโยชน์จากวิกฤตนั้นไม่
หลัก พระพุทธศาสนาสอนว่า บรรดาการสูญเสียทั้งหลาย การสูญเสียที่เลวร้ายที่สุด คือการสูญเสียทางปัญญา และในทางตรงข้าม บรรดาการได้เพิ่มขึ้นมา การได้เพิ่มขึ้นซึ่งปัญญา เป็นการได้ที่เลิศสุด (เอตทคฺคํ ภิกฺขเว วุฑฺฒีนํยทิทํปญฺญาวุฑฺฒิ- องฺ.เอก.๒๐/๓๗/๑๗)
โดยนัยนี้ บรรดาประโยชน์ทั้งหลายที่จะได้จากโอกาสแห่งวิกฤตไม่มีประโยชน์ใดยิ่งใหญ่กว่าการได้ปัญญาสภาพวิกฤตนั้นเองเป็นโอกาสอันเยี่ยม
ซึ่งมีข้อมูลและแบบฝึกหัดมากมายในการเรียนรู้ให้เจริญปัญญา และปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้นั้น
แม้อาจจะมิต้องใช้ประโยชน์ในยามวิกฤตเอง ก็มีความสำคัญยิ่งกว่านั้นที่จะเป็นประโยชน์ยั่งยืนนานในกาลระยะยาวเบื้องหน้า
ไม่ ว่าคนจะได้ประโยชน์อื่นใดหรือไม่ หรือแม้จะเกิดการสูญเสียใดๆเมื่อรู้จักคิดพิจารณา มนุษย์ย่อมอาจถือเอาประโยชน์ทางปัญญาได้ทุกโอกาสเพื่อประโยชน์ทางปัญญาดัง ว่านี้ จึงร่วมใจให้มีการพิมพ์หนังสือนี้ขึ้นมาหลังจากมีผู้ศรัทธามากท่านขอพิมพ์ หนังสือนี้เมื่อสิบวันก่อน
ได้ทราบว่าหนังสือหมดไปอย่างรวดเร็ว หลายท่านขอพิมพ์ครั้งใหม่ จึงถือโอกาสเพิ่มเติมเล็กน้อยสำหรับการพิมพ์ครั้งปัจจุบัน อันเป็นวาระที่ ๒ในโอกาสนี้
ขอร่วมตั้งใจปรารถนาดี ให้ทุกท่านตั้งอยู่ในธรรม และประสบประโยชน์สุขจากการดำเนินตามธรรม และให้ผู้ร่วมสังคมเห็นทางนำประเทศชาติให้ดำเนินสู่ความสงบสุขโดยธรรมพระ พรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)๒๒ มีนาคม ๒๕๔๙
เพื่อนกันตลดอไป กูรักมึงว่ะ
เพื่อนบางคน...อาจคอยมองดูคุณอยู่แบบห่างๆ แต่ไม่กล้าแสดงออก
แต่เพื่อนบางคน...อาจจะเข้ามายุ่งกับคุณโดย เพราะเขาเป็นคนกล้า
เพื่อนบางคน...อาจทำทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณได้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ในขณะที่เพื่อนบางคน...ไม่ได้ยินคำขอร้องของคุณด้วยซ้ำ
เพื่อนบางคน...อาจพูดอะไรตรงๆ กับคุณเพราะรัก
แต่เพื่อนบางคนของคุณ...อาจพูดแต่คำหวานๆ ซึ่งแฝงไปด้วยความน่ากลัว
เพื่อนบางคน...อาจเหมือนคนที่ไม่อดทน มักบ่นอะไรเล็กๆ น้อยๆ เสมอ
แต่จริงๆ แล้วเขา...อาจเป็นคนที่มีความอดทน มากกว่าที่คุณคิดเสียอีก
เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยมีความลับกับคุณ อาจแม้กระทั่งให้คุณอ่านไดอารี่แสนหวงของเขา
แต่เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยแม้แต่จะเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวให้คุณฟัง
เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยโทรศัพท์หาคุณเลย มีแต่คุณเท่านั้นที่มัวแต่โทรหาเขาทุกวัน
เพื่อนบางคน...อาจโทรมาหาคุณได้โดยที่คุณไม่ต้องขอร้องเลยด้วยซ้ำ
เพื่อนบางคน...อาจจะอยู่เคียงข้างคุณ ในยามที่คุณต้องการใครซักคน โดยที่ไม่มีใครขอ
แต่เพื่อนบางคน...ไม่อาจแม้แต่จะรับรู้ความรู้สึกของคุณได้
เพื่อนบางคน...อาจถึงขนาด นั่งร้องไห้กับคุณ
ในขณะที่อีกหลายๆ คน...ไม่สนด้วยซ้ำว่าคุณกำลังอยู่ที่ไหน
เพื่อนบางคน...อาจเคยทำผิดกับคุณบ้าง แต่เขาก็ยังพยายามที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
ในขณะที่เพื่อนบางคน...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำผิดต่อคุณ
เพื่อนบางคน...อาจหมายความตามที่เขาพูด เช่น ขอโทษก็คือขอโทษ
ในขณะที่เพื่อนบางคน...พูดขอโทษ แต่หมายถึงสมน้ำหน้า
เพื่อนบางคน...อาจจำได้ว่าพยายามโทรหาคุณข้ามวันข้ามคืน ถึงแม้ว่าเขาจะติดต่อคุณไม่ได้ แต่ก็ยังคงพยายาม
ในขณะที่เพื่อนบางคน...อาจจำได้ไม่เกินครึ่งวันด้วยซ้ำว่าคุณโทรหาเขา
เพื่อนบางคน...อาจเหมือนคนที่มีอารมณ์แปรปรวน อาจทำอะไรที่คุณคาดไม่ถึง
แต่ไม่แน่เขา...อาจเป็นน้อยกว่าคุณก็ได้ เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว
เพื่อนบางคน...อาจชอบอยู่กับกลุ่มคนเยอะๆ ที่สนุก เฮฮา
แต่เพื่อนบางคน...อาจจะภูมิใจกับกลุ่มเพื่อนเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า
เพื่อนบางคน...อาจมัวนั่งเงียบๆ จนให้คุณไม่อาจรู้ได้ว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ในขณะที่เพื่อนบางคน...พูดมากเสียจนคุณรำคาญ
เพื่อนบางคน...อาจอยากให้คุณรับรู้ความรู้สึกจากเขาทางสายตา
แต่เพื่อนบางคน...อาจเดินมาบอกความรู้สึกกับคุณด้วยตัวเอง
เพื่อนบางคน...อาจจะไม่มีการแสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าคุณจะทำให้เขาเสียใจเพียงใด
แต่ในขณะที่เพื่อนบางคน...อาจเดินเข้ามาต่อว่าคุณ จนคุณไม่เหลือซากก็ได้
เพื่อนบางคน...สามารถอ่านใจคุณได้
ในขณะที่อีกหลายๆ คน...ไม่อาจรับรู้และเข้าใจ ความรู้สึกของคุณได้ แม้ว่าคุณจะบอกเขาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ตาม
อรรถกถา ปาลิเลยยสูตรที่ ๙
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะกัน
บท ว่า จาริกํ ปกฺกามิ ความว่า ในคราวที่ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะกัน วันหนึ่ง พระศาสดาจึงทรงนำเรื่องของพระเจ้าทีฆีติโกศลมาแล้วตรัสสอนด้วยพระคาถาทั้ง หลายมีอาทิว่า ไม่ว่าในกาลไหนๆ ในโลกนี้ เวรทั้งหลาย ไม่ (เคย) ระงับด้วยเวรเลย. วันนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังทะเลาะกันอยู่ ราตรีก็สว่างแล้ว แม้วันที่สองพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรื่องนั้นซ้ำอีก. แม้วันนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นยังคงทะเลาะกันอยู่เหมือนเดิม ราตรีก็สว่างแล้ว ถึงวันที่ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังตรัสเรื่องนั้นซ้ำอีกแล.
พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปองค์เดียว
ครั้น แล้ว ภิกษุรูปหนึ่ง จึงได้กราบทูลกะพระองค์อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงขวนขวายน้อย หมั่นประกอบการประทับอยู่เป็นสุขในปัจจุบันอยู่เถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจักปรากฏ เพราะความบาดหมาง ทะเลาะวิวาทกันครั้งนี้เอง พระศาสดาทรงดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้มีจิตถูกโทสะครอบงำแล้วแล เราตถาคตไม่สามารถจะไกล่เกลี่ยโมฆบุรุษพวกนี้ให้ยอมกันได้เลยดังนี้แล้ว ทรงดำริ (อีก) ว่า ประโยชน์อะไรของเราตถาคตกับโมฆบุรุษเหล่านี้ เราตถาคตจักอยู่ด้วยการเที่ยวจาริกไปคนเดียว. พระศาสดาทรงดำริอย่างนี้แล้ว รุ่งเช้าครั้นทรงชำระพระวรกายเรียบร้อยแล้ว จึงได้เสด็จ (ออก) เที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี มิได้ตรัสเรียกใครๆ (ให้ตามเสด็จไปด้วย) พระองค์เดียวเท่านั้นเสด็จหลีกจาริกไปไม่มีเพื่อนสอง. พระเถระกล่าวคำนี้ว่า ยสฺมึ อาวุโส สมเย ก็เพราะท่านได้ทราบการเสด็จเที่ยวไปของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหมดว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จหลีกไปกับภิกษุรูปเดียว วันนี้จักเสด็จหลีกไปกับภิกษุสองรูป วันนี้จักเสด็จหลีกไปกับภิกษุ ๑๐๐ รูป วันนี้จักเสด็จหลีกไปกับภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป และวันนี้จักเสด็จหลีกไปเพียงลำพังพระองค์เดียว คือการเสด็จเที่ยวไปของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหมดปรากฏ คือแจ่มแจ้งแก่พระเถระนั้น.
...
ขณะนั้น พระองค์เกิดพระดำริขึ้นว่า สุขแท้หนอที่เราตถาคตอยู่แยกจากภิกษุผู้ก่อความบาดหมางกันเหล่านั้น. ฝ่ายช้างพลายก็คิดถึงเหตุเป็นต้นว่า ไม่มีช้างเหล่าอื่นคอยเคี้ยวกินกิ่งไม้ที่เราโน้มลง แล้วเกิดความคิดขึ้นว่า สุขแท้หนอที่เราอยู่ช้างเดียว เราได้ทำวัตรถวายพระศาสดา. พระศาสดาตรวจดูพระดำริของพระองค์แล้วทรงดำริว่า จิตของเราตถาคตเป็นเช่นนี้ก่อน จิตของช้างเป็นเช่นไรหนอแล ทรงเห็นจิตของช้างนั้นเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน จึงทรงดำริว่า จิตของเราทั้งสองเหมือนกันดังนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า จิตของช้างตัวประเสริฐผู้มีงางอน กับจิต อันประเสริฐ (ของเราตถาคต) นี้ ย่อมเข้ากันได้ (และ) ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้ายินดีอยู่ในป่า (จิต ของเขากับจิตของเราตถาคตย่อมเข้ากันได้ทั้งนั้น)
อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณาสก์ ขัชชนิยวรรคที่ ๓
วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ทาน การให้ที่ไม่สิ้นสุด
ทาน
มีหลายทาน ยกตัวอย่าง คนกำลังจะจมน้ำเราก็ช่วยเขา เราได้บุญนี่ก็เป็นทานเขา
ไม่มีข้าวปลาอาหารรับประทาน เราก็เอาไปให้เขา
เขาเป็นคนยากไร้ไม่มีผ้าผ่อนท่อนสไบ
ห่ม เราก็เอาไปให้ นี่ก็เรียกว่าทานอีกเหมือนกัน ก็ช่วยเหลือกันไป
...ตามตำราเขาว่า เรายิ่งให้ยิ่งได้ แต่ถ้าเราหวงมันอด หมดก็ไม่มีมา
"แต่ว่าทานอะไรก็ไม่ล้ำเลิศประเสริ
ฐ เท่ากับการให้ความดีเป...็นทาน หรือให้ธรรมะเป็นทาน" การที่เรา
ช่วยให้เขาเป็นคนดีนะดีที่
สุดแล้ว เพราะฉะนั้น ทานอะไรหนอทานน้ำใจใสสะอาด
ปราศจากมลทินที่เราให้จะประเสริฐเท่า
กับให้ธรรมะ ให้ธรรมะเป็นทานนี่ประเสริฐที่สุดการทำคนให้เป็นคนดี
ให้ละชั่วประพฤติดี รักษาจิตให้ผ่องใส นั่นแหละ คือทานชั้นสูง
แต่การที่ะช่วยคนอื่นให้ละชั่วประ
พฤติชอบได้ ก็ด้วยเรามีโอกาสชี้แจงให้เขาได้ประพฤติธรรมในพระพุทธศาสนาบ้าง ด้วยการพิมพ์หนังสือแจกจ่ายเป็นบ้าง เพราะการช่วยให้โจรเป็นคนดี
ให้คนชั่วเป็นคนดีได้และให้คนไม่มี
ความรู้มีความรู้ได้ เป็นการทานอันประเสริฐยิ่ง สมจริงตาม พระพุทธดำรัสว่า
"สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง"พระธรรม
สิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
ห่ม เราก็เอาไปให้ นี่ก็เรียกว่าทานอีกเหมือนกัน ก็ช่วยเหลือกันไป
...ตามตำราเขาว่า เรายิ่งให้ยิ่งได้ แต่ถ้าเราหวงมันอด หมดก็ไม่มีมา
"แต่ว่าทานอะไรก็ไม่ล้ำเลิศประเ
ฐ เท่ากับการให้ความดีเป...็นทาน หรือให้ธรรมะเป็นทาน" การที่เรา
ช่วยให้เขาเป็นคนดีนะดีที่
สุดแล้ว เพราะฉะนั้น ทานอะไรหนอทานน้ำใจใสสะอาด
ปราศจากมลทินที่เราให้จะประเสริ
กับให้ธรรมะ ให้ธรรมะเป็นทานนี่ประเสริฐที่ส
ให้ละชั่วประพฤติดี รักษาจิตให้ผ่องใส นั่นแหละ คือทานชั้นสูง
แต่การที่ะช่วยคนอื่นให้ละชั่วป
พฤติชอบได้ ก็ด้วยเรามีโอกาสชี้แจงให้เขาได
ให้คนชั่วเป็นคนดีได้และให้คนไม
ความรู้มีความรู้ได้ เป็นการทานอันประเสริฐยิ่ง สมจริงตาม พระพุทธดำรัสว่า
"สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง"พระธรรม
สิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
subhadravadhi: วันวาน อนาคต
วันวาน อนาคต
ยทตีตํ ปหีนํ ตํ อปฺปตญจ อนาคตํ
ปจฺจุปนฺนญฺจ ยํ ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ
อสํหีรํ อสํกุปฺปํ ตํ วิทฺวา อนูพรูหเย
อดีตดับไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง
จึงไม่ควรคำนึงถึงอดีต ไ่ม่มุ่งหวังอนาคต พึงเจริญวิปัสนาญาณให้รู้
แจ้งสภาวะธรรม ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนั้นๆ อันตัณหาทิฏฐิไม่อาจฉุดรั้ง
และทำให้วิบัติได้
( ม.อุ.๑๔.๒๗๒. ๒๔๑)
วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
มรรคสัจ ความจริงคือคือทางสู่ความดับทุกข์
สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นเข้าใจเกี่ยวกับทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์และทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ ดังนั้น สัมมาทิฏฐิจึงเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
ในคัมภีร์อรรถกถา ได้กล่าวถึง ทุกขสัจและสมุทัยสัจ ว่าเป็นความจริงเกี่ยวกับวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิด(วัฏฏะสัจจะ)ส่วนนิโรธและมรรคสัจเป็นความจริงเกี่ยวกับวิวัฏฏะคือการออกจากวัฏฏะ (วิวัฏฏะสัจจะ) ด้วเหตุดังกล่าว ผู้ปฏิบัติธรรมพึงกำหนดรู้วัฏฏสัจจะคือทุกข์และเหตุของการเกิดทุข์อันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาเท่านั้น ไม่ควรกำหนดรู้วิวัฏฏสัจจะเพราะเป็นสิ่งที่ปุถุชนยังเข้าไม่ถึง(บุคคลที่ยังไม่บรรลุอนุโลมญาณจะไม่สามารถรับเอามรรค ผลและนิพพานเป้นอารมณ์ของวิปัสสนาได้เลย เพราะยังมิได้ประจักษแจ้งสภาวธรรมเหล่านี้ ดังนั้นการพิจารณาพระนิพพานเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาจึงไม่ถูกต้อง อนึ่งอุปมานุสสติที่เป็นการระลึกถึงความสงบของนิพพาน จัดเป็นการน้อมลักษณะของนิพพานคือความปราศจากราคะ(วิราคะ) เป้นต้น มาพิจารณาเพื่อให้เกิดสมาธิเท่านั้น ไม่อาจนำไปสู่มรค ผล นิพพานได้โดยตรง เเละเป็นกัมมัฏฐานที่เหมาะแก่พระอริยเท่านั้น
ในคัมภีร์อรรถกถา(ที.อ.๒. ๔๑๔ )กล่าวไว้ว้่าผู้ปรารภความเพียรได้เรียนรู้จากวิปัสนาจารย์โดยย่อว่า ขันธ์๕ เป็นทุกขสัจ ตัณหาเป้นสมุทัยสัจ หรือโดยละเอียดว่า ขันธ์ ๕ ประกอบด้วย รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิณญาณ และในบรรดารูปขันธื ๕ ทั้งหลายเหล่านั้นประกอบด้วยมหาภูตรูปและอุปาทยรูป เป็นต้น แล้วท่องจำ หลังจากนั้นพึงกำหนดรู้สัจจะ ๒ อย่างแรกเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาส่วนสัจจะที่เหลือคือ นิโรธสัจ เเละ มรรคสัจไม่จำเป็นต้องกำหนดรู้เพียงแต่เข้าใจวาสัจจะทั้งสองเป็นภาวะที่น่าเลิศน่าปราถนาพอใจก้นับว่าเพียงพอแล้ว
หยุด ตัวเดียว คือสำเร็จ
ฉินฺโนปิ รุกฺโข ปุนเรว รูหติ
เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต
นิพฺพตฺตติ ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุนํ.
เมื่อรากปราสจากอันตรายมั่นคงอยู่
ต้นไม้ที่ตัดแล้วย่อมกลัลงอกขึ้นได้ ฉันใด
เมื่อบุคคลยังถอนเชื้อตัณหาไม่ได้ ทุกข์นี้ย่อมเกิดขึ้นบ่อยๆ ฉันนั้น
ละตัณหาได้ ไม่ต้องเกิด
ตัณหาทีลักษณะที่ทำให้เพลิดเพลินและผูกพัน ผู้คนจึงมักจะเพลินเพลินในภพและอารมณ์ต่างๆที่ๆด้มา อีกทั้งต้องการความถาวรการตั้งอยู่ของสิ่งเหล่านั้นที่ได้มา เพื่อการที่จะได้สมอารมณ์ตามต้องการ เจตนาหรือกรรมเหล่านี้มัีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมตามสมควรซึ่งเป็นสิ่งก่อให้เกิดภพใหม่
เมื่อบุคคลใกลล้จะตาย จะมีกรรมอารมณ์ทั้งดีและชั่วบางครังเรียกกรรมคตินิมิต (ความคิดอย่างหนึ่งอย่างใด ที่เกี่ยวข้องกับกรรม(การกระทำ)ในอดีตหรืออาจจะมีคติแห่งภพใหม่ที่ผลของกกรรมจะนำไปเกิด
กรรมอารมณ์หรือกรรมนิมิต หรือ คตินิมิตซึ่งปรากฏแก่บุคคลในขณะใกล้เสียชีวิต จะถูกตัณหายึดมั่นไว้จนไม่สามารถสลัดออกจากใจได้ อุปมาเหมือนเงาของภูเขาที่แผ่ปกคลุมแผ่นดิน กรรมอารมณ์ กรรมนิมิต เเละคตินิมิต ก็แผ่คลุมจิตใจในขณะใกล้เสียชีวิต (มรณาสันนชวนะ หรือ ชวนจิตใกล้ตาย หรือ อภิสังขารวิณญาณ คือ จิตปรุงแต่ง ปฏิสนธิ )
พุทธพจน์ในอังคุตตรนิกาย ความว่า "อิติ โข อานนฺท กมฺมํ เขตตํ .วิญฺญาณํ พีชํ. ตณฺหา เสนฺโห. อานนท์ ด้วยเหตุนี้เเล กรรมจึงชื่อว่าไร่นา วิญญาณจึงชื่อว่าเมล็ดพืช ตัณหาจึงชื่อว่าความชุมชื่น" อธิบายว่า จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วเปรียบเสมือนไร่นาอันเป็นที่เพาะปลูก อภิสังขารวิญญาณคือจิตปรุงแต่งปฏิสนธิ ที่ประกอบด้วยเจตนาในขณะใกล้เสียชิวิตซึ่งเหมือนกับเจตนาในขณะทำกรรมครั้งก่อนเหมือนเมล็ดพืช ตัณหาคือความเพลิดเพลินในภพและในอารมณ์ต่างๆเหมือนฝนเหมือนความชุ่มชื่น ในขณะใกล้เสสียชีวิตนั้นชวนจิตปรุงแต่งปฏิสนธิได้รับเอาอารมณ์ กรรมนิมิตเเละคตินิมิตเป็นอารมณ์ อีกทั้งตัณหาที่พอใจในกรรมอารมณ์
เป็นต้น ย่อมก่อให้เกิดปฏิสนธิจิตในภพใหม่ด้วยการอุปถัมภ์ของชวนจิตดังกล่าว
การเกิดใหม่เกิดได้ปัจจัย ๒ ประการ คือ กรรม และตัณหา ลำพังเเพียงกรรมไม่อาจนำไปสู่การปฏิสนธิได้ เพราะไม่มีตัณหาเป็นเครื่องอุปถัมภ์ค้ำจุน ดังนั้น พระพุทธองค์จึงไม่ตรัสว่าเหตุให้เกอดทุกข์คือกรรม แต่ตรัสว่าตัณหา เพื่อแสดงถึงมูลเหตุของการเกิดความทุกข์